บทที่ 1457 มายาภาพหนึ่งสิ้นสลาย

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ข้านอนอยู่ที่ใด?

รอบด้านทำไมเป็นความมืดผืนหนึ่ง…

ข้ารู้สึกราวกับว่าได้ยินเสียงคนพูดจา แต่ก็ได้ยินไม่ชัดนักว่าอีกฝ่ายกล่าวพูดอะไร

ข้าเหนื่อยเล็กน้อย ช่างมัน ไม่ฟังแล้ว ข้ารู้สึกว่าตนเองเองควรจะหายไป แต่ก่อนหน้าที่จะหายไป ขอตรึกตรองเกี่ยวกับชีวิตนี้สักรอบ

ในชีวิตนี้ของข้า…แท้จริงแล้วน่าสนใจอย่างยิ่ง

ข้าไม่รู้มาตลอดว่าข้าเป็นใคร

ดังนั้น ข้าก็ย่อมไม่รู้ว่าข้าชื่อว่าอะไร

บางที ข้าก็ไม่มีชื่อสินะ

แปลกชะมัด ทำไมจึงมีผู้ที่ไม่มีชื่ออยู่ด้วย ตามที่ข้ารู้ เกรงว่าทุกผู้คนบนโลกใบนี้ก็ล้วนแต่มีชื่อของตนเอง

แต่ว่าข้านั้นกลับไม่มี

ข้าเองก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดเป็นเช่นนี้ แต่มีเพียงความทรงจำอันพร่าเลือนเล็กน้อยเท่านั้น คล้ายกับว่า…ก่อนหน้านี้เนิ่นนานนั้นมีอยู่วันหนึ่ง ข้ามอบชื่อของตัวเองให้ผู้อื่นไปแล้ว

ด้วยความยินยอมพร้อมใจด้วย

รู้สึกว่าตนเองนั้นโง่เง่าสิ้นดี ทำไมถึงได้ยินยอมส่งมอบชื่อของตนให้ผู้อื่นเล่า…

ไม่รู้สินะ บางทีอาจจะมีเหตุผล

เฮ้อ… ความคิดคล้ายกับสับสนเล็กน้อย ให้ข้าค่อยๆ เรียงร้อยหน่อย… ความจริงแล้วเรื่องพวกนี้ ล้วนแต่ลอยวนอยู่ในระบบความคิดของข้า ราวกับว่ามันสำคัญมากแต่ข้ากลับคิดไม่ออก หรือต่อให้คิดออกก็หาหนทางไม่ได้

สิ่งที่ข้าพอจะคิดออกคือวัยเยาว์ของข้า

วัยเยาว์ที่ว่า ข้านั้นหมายถึงช่วงเวลายี่สิบปีแรกของชีวิตมนุษย์ บนโลกที่แสนจะธรรมดา ข้าก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ข้าเข้าเรียนในสถานศึกษา ผ่านการเล่น ได้มีประสบการณ์เล่นเกมอย่างพวกเด็กๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า

ส่วนผู้คนรอบด้าน คล้ายจะเอาแต่บอกกับข้าว่า ให้ตั้งใจเรียน ต้องอย่างนี้ ต้องแบบนั้น…ข้าก็เริ่มปวดหัวขึ้นมาบ้าง จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้ามองฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้า ทันใดนั้นก็สงสัยว่าทำไมจึงมีฝนเล่า ฝนนั้นหมายถึงสิ่งใด

ปัญหานี้ อาจารย์ได้ตอบให้แก่ข้า หรือว่าบางทีตั้งแต่วันนั้น ข้าก็เริ่มสงสัยใคร่รู้ในเรื่องราวทั้งหมดของโลกใบนี้ ข้าชอบถามว่าเพราะอะไร ชอบได้รับคำตอบ เช่นนี้จึงจะทำให้ข้าพอใจ

และเพื่อความพอใจนี้ ข้าก็เริ่มตั้งใจเรียนจริงจัง ตั้งใจอ่านหนังสือ ราวกับว่ามีความปรารถนากำลังผลักดันข้า ให้ข้าไปคว้าทุกสิ่งที่ยังไม่รู้

ทุกๆ ความรู้ที่ข้าได้รับมาใหม่ ก็ค่อยๆ ปลดปัญหาที่ว่าเพราะอะไร ข้าล้วนแต่เบิกบานใจอย่างมาก สนุกสนานอย่างมาก ข้ารู้สึกว่าข้านั้นไม่ใคร่จะเหมือนคนอื่นอยู่พอควรทีเดียว

หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะธรรมดามากเกินไป ดังนั้นแล้วข้าจึงหลงใหลในสิ่งที่แตกต่างจากผู้อื่น ดังนั้นแล้วจึงยิ่งเพียรกับการเรียนรู้ เพื่อไปคว้าความรู้ทั้งหมดมาให้แก่ตนเอง

ชีวิตมนุษย์เช่นนี้ ดำเนินไปจนกระทั่งยี่สิบปี ข้าในยามนั้น ต้องการแสดงออกสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นต่อหน้าเพื่อน ต่อหน้าอาจารย์ หรือต่อหน้าเพศตรงข้าม

ข้าคล้ายกับว่าอยากแสดงว่าตัวตนแตกต่างจากผู้อื่น กระทั่งว่าลึกไปแล้วในใจ ข้ารู้สึกว่าตนนั้นแตกต่าง

ที่สุดแล้ว…ข้าไม่ได้หน้าตาโดดเด่นเหนือธรรมดา ไม่ได้มาจากตระกูลร่ำรวย เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่แสนจะธรรมดาเท่านั้น แต่สิ่งนี้ไม่กระทบต่อนกตัวน้อยที่ครองหัวใจของข้า

เจ้านกน้อยตัวนี้ มีปีกโผสู่ท้องฟ้ากว้าง มันมีอิสรเสรี เป็นความวาดหวังของข้า และเป็นสิ่งที่ให้ข้ารู้สึกว่ามีปีกอันไม่เหมือนกับเหล่าผู้คนทั้งหลาย

เมื่อสืบสาวราวเรื่อง ข้าในยามนั้นราวกับมีสองตัวตน ความคิดที่จะโผทะยาน และโลกธรรมดาในความเป็นจริง ทำให้ตัวข้าในยามนั้นชอบที่จะจมอยู่ในภวังค์

และก็เป็นในช่วงเวลานั้นเอง ที่ข้าพบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง นางคือนักเรียนจากห้องข้างๆ และเป็นการแอบรักครั้งแรกในชีวิตของข้า

การแอบรักนั้นเป็นความสุข การแอบชอบใครสักคนก็เป็นความทุกข์เช่นกัน

แต่ใจข้ายินยอมกระทำ

เพราะว่า นี่ทำให้ข้ายิ่งชอบแสดงตัวตนกว่าเก่า บางเวลานั้น…ยังคงจำช่วงเวลานี้ได้ คล้ายกับว่าการแสดงตัวตนของข้าก็คือความสามารถของข้าในชาตินี้ ข้านั้นวาดหวังกระทั่งตนเองจะกลายเป็นนักรบ วาดหวังว่าตนเองจะกลายเป็นบุตรรักแห่งโลกใบนี้ ปรารถนาว่าตนเองจะอยู่ท่ามกลางสายตาผู้คน จนกระทั่งดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้

ดังนั้นแล้ว ทุกครั้งที่ข้าได้เอ่ยคำ ข้าก็จะใช้ความสามารถทุ่มเท อย่างลุ่มหลง จนกระทั่งการแอบรักนี้สิ้นสุดลง

มันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายสุดท้ายก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าแอบรักนาง

ในวันสุดท้ายที่จบการศึกษา ข้ารู้สึกแย่อย่างยิ่ง แต่ก็รวบรวมความกล้าเอาไว้ ทว่าสุดท้ายแล้ว…ข้าได้แต่ก้มหัวลงเงียบๆ บางทีนี่ก็อาจเป็นคำสาป จนกระในการเรียนของสถานศึกษาที่สูงกว่าเดิมนั้น ข้าก็ยังคงแอบรักอยู่

และเวลานี้เอง ข้าก็เริ่มชอบการดูชะตาขึ้นมา ทุกครั้งที่ข้าไม่เบิกบานใจ ข้าก็จะหาอาจารย์ดูดวงท่านหนึ่ง นั่งอยู่เบื้องหน้าเขาแล้วส่งเงินให้เล็กน้อย

ที่นี่มีเทคนิคเล็กน้อยอยู่อย่างหนึ่ง คือจะมอบเงินให้ก่อนไม่ได้ หลังจากนั้นท่านจะได้คำชมมากมาย และคำสรรเสริญนับไม่ถ้วน

คำพูดประเภทที่ว่าดวงของเจ้ามันดีนักหนานับไม่ถ้วนนี้ จะทำให้ข้าเบิกบานใจนัก จนกระทั่งสุดท้ายนั้นข้าก็ได้มอบเงินเล็กน้อยให้แก่อาจารย์ท่านนี้ไป

ชีวิตแบบนี้ดำเนินไปได้หลายปี จนกระทั่งเรียนจบ ข้าก็ได้รับจดหมายรักแรกในชีวิต ข้ายินดีนักแต่ข้าไม่ได้ชอบผู้หญิงคนนั้น

จนกระทั่งหลังจากเรียนจบ ข้ามีการงานเป็นของตัวเอง ข้ากระตือรือร้นที่จะแสดงตัวตน เกรงว่าเวลานั้นคงเป็นแรงทะเยอทะยานขั้นสูงสุด ดังนั้นข้าจึงตั้งใจทำงาน ขยันหมั่นเพียรแสดงออก ขยันเพื่อให้ได้รับการยอมรับ

ช่วงชีวิตในยามนั้นเมื่อมาย้อนคิดแล้วช่างมีความหมายนัก เพราะว่าระหว่างที่ข้าพยายามมีตัวตน ข้าก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง พวกเราตกหลุมรักกัน

ความรักนั้น เป็นกาแฟขมๆ ถ้วยหนึ่ง

แม้จะรสขมแต่ก็หอมหวาน หลังจากดื่มลงไปแล้ว…ก็ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงความขมส่วนหนึ่งและหวานอีกส่วน

รักแรกของข้า จบสิ้นแล้ว

ในเวลานั้น ข้าก็เรียนรู้เรื่องบุหรี่ของโลกใบนี้

และเริ่มรู้สึกว่าเหล้าของโลกนั้นน่าสนใจ หลังจากนั้น บุหรี่และเหล้าก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของข้า

ข้าก็ยังคงพยายามมีตัวตนอยู่เช่นเดิม เพียงแต่ว่าแรงขับภายในใจนั้น เกรงว่าหลังผ่านขวบปีนานเข้านานเข้าก็กลายเป็นจืดชืดขึ้นมามากมาย และในเวลานี้เอง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพศตรงข้ามข้างกายข้านั้นเริ่มมีมากขึ้น

ความรักที่สอง ความรักครั้งที่สาม ความรักครั้งที่สี่ กาแฟขมๆ แต่ละแก้วนั้นคล้ายกับกองอยู่รวมกัน

ให้ข้าค่อยๆ ดื่มไปทีละแก้ว จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ข้าได้พบกับสตรีผู้หนึ่ง รูปร่างสูง เวลานางยิ้มจะมีดวงตาโค้งราวพระจันทร์ ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจ

ข้าคิดว่า เกรงว่านี่คงจะเป็นการดื่มกาแฟแก้วสุดท้ายในชีวิตของข้าแล้ว

พวกเรารักกัน และแต่งงานกัน

ข้าในยามนั้น เหมือนกะพริบตาก็ได้เห็นตัวเองยามแก่ชราแล้ว ข้าสบายใจ ปลอดโปร่งและรู้สึกสวยงาม…

จนกระทั่งหลายปีให้หลัง อยู่มาวันหนึ่ง กระจกได้แตกออก การแต่งงานในยามนั้นมาถึงที่สิ้นสุด

สิ่งที่ยากจะแยกว่าใครผิดใครถูก ยากจะแยกว่าใครทำร้ายใคร

ความทุกข์ทน การต่อสู้ ขบฟัน การเปลี่ยนแปลง…ได้กลายเป็นจังหวะดนตรีหลักในชีวิตของข้ายามนั้น นกน้อยในหัวใจตอนนี้กลับโผทะยานสูงขึ้นจนกระทั่งปะทะเข้ากับดวงอาทิตย์ ได้รับแสงแดด

บางทีโชคชะตาอาจชอบเล่นตลกกับชีวิตของคน ชีวิตภายหลังจากนั้น โลกของข้ากลับมีคนต่างเพศเพิ่มขึ้นอีกมาก พวกนางบ้างก็สูงชะลูด บ้างก็มีราศี บ้างก็อ่อนหวาน บ้างก็ชอบควบคุม…ล้วนงดงามทุกคน ล้วนเป็นคนงามชั้นเลิศ การมาของพวกนาง มาแล้วก็จากไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ในเวลาเดียวกันทำให้ข้าเกิดความมึนงงอยู่บ้าง

เพราะว่าสุดท้ายแล้ว…สิ่งที่ข้าถือไว้ในมือก็คือกาแฟขมๆ แต่ละก้าว ราวกับบุหรี่ ราวกับเหล้า

บุหรี่ ทำร้ายปอด

เหล้า ทำร้ายตับ

สตรีเพศ…ทำร้ายหัวใจ

แต่ว่าข้าก็ยังชอบบุหรี่ ยังชอบเหล้า และยังอาวรณ์ความรัก…

จนกระทั่ง ถึงยามที่ข้าอายุสี่สิบ ข้าพลันพบว่าข้าชอบพูดคุยกับบรรดามิตรสหายากกว่าพวกสตรีต่างเพศพวกนั้น พูดเรื่องที่ผ่านไปและอนาคต

ดื่มๆ เหล้าไป ก็ชอบลากแขนมิตรสหายมาอวดโอ้ใส่กัน หัวเราะเบิกบานด้วยกัน ล้อกันและกัน หวนรำลึกถึงวัยเยาว์

บางที นี่ก็คงเป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทหนึ่ง ทำให้มิตรสหายของข้ายิ่งมากขึ้น ข้าได้ยินเรื่องราวของพวกเขา พวกเขาเองก็ได้ยินเรื่องราวของข้า พวกเราสนทนาและสื่อสารถึงกัน

บางทีก็อาจจะมีกำแพงบ้าง บางทีก็อาจมีความลับที่เก็บไว้บ้าง แต่นี่ก็ไม่สำคัญ สุขสำราญเท่านั้นสำคัญที่สุด

ในเวลานั้น ทุกคนที่ข้ารู้จักล้วนเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง ทุกคนมีเรื่องราวของตัวเอง ทุกคนนั้น…ล้วนแต่เดียวดายจากในกระดูก

และเมื่อรู้เยอะเข้าก็ราวกับว่าตัวข้าเองไม่ได้รู้สึกเดียวดายขนาดนั้นแล้ว

มิตรสหายของข้ามีทั้งชายและหญิง มีทั้งแก่และเด็ก ไม่ว่าจะเป็นจากชนชั้นวรรณะใดล้วนแต่มีอยู่ เพราะนี่ไม่สำคัญ รอยยิ้มอันจริงใจนั้นมีพลังทำลายได้ทุกสิ่ง

โดยช้าๆ มิตรสหายจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ชอบที่จะสนทนากับข้า

โดยช้าๆ รอยยิ้มของข้าก็สดใสเจิดจ้า

โดยช้าๆ คล้ายกับว่าข้าหาวิธีที่ทำให้ตัวเองมีความสุขได้แล้ว

การสื่อสาร ในชีวิตของข้าในช่วงเวลานั้น เหนือยิ่งกว่าความปรารถนารู้ เหนือยิ่งกว่าการแสดงตัวตน เหนือยิ่งกว่าความรัก และได้กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตข้า

นี่ก็คือการแบ่งปันแบบหนึ่ง หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะในใจเก็บกดจนถึงระดับหนึ่ง ราวกับน้ำที่ทะลักออกมา ไม่เพียงเป็นสิ่งที่ข้าต้องการ คนจำนวนมาก…ก็ล้วนต้องการ

และท่ามกลางการแบ่งปันและสื่อสารนี้ ข้าข้ามผ่านปีแล้วปีเล่า ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไร ข้าไม่ชอบการสื่อสารอีกแล้ว ข้าเริ่มแสวงหาความสุขสงบ ความสงบเช่นนี้รวมถึงทางวิญญาณ และรวมถึงทางวัตถุ

ข้าคิดว่า นั่นคือช่วงเวลาที่เส้นผมบนหัวของข้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวนั่นแหละ

ข้าไม่ตั้งกฎเกณฑ์ว่าจะไปทำอะไร ไม่ตั้งกฎเกณฑ์ว่าจะไปคิดอะไร ทุกสิ่งที่ทำให้ข้ารู้สึกสบายข้าจะคิดเรื่องนั้นและจะไปทำให้สำเร็จ ข้าเริ่มชอบมองท้องฟ้า เริ่มชอบมองก้อนเมฆ เริ่มชอบมองพระอาทิตย์ขึ้น แต่ข้าไม่ชอบมองพระอาทิตย์ตก

ทว่าท้องฟ้าในยามกลางคืน ข้าเองก็ชอบ

ข้าชอบนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก ดื่มด่ำกับเครื่องดื่มหนึ่งแก้ว จากนั้นหยิบหนังสือสักเล่มขึ้นมา อ่านไปมองท้องฟ้าไป อิ่มเอมกับช่วงเวลาและสัมผัสทุกสิ่ง

ข้าไม่นอนดึก แต่เริ่มตื่นเช้าขึ้น

ข้าไม่หลงใหลในสรรพสิ่งอีกไม่ว่าเรื่องอะไร เพราะว่าส่วนมากข้าได้รับคำตอบแล้ว

ข้าไม่คิดไปแสดงตัวตนอีก เพราะว่าข้ามองทุกสิ่งออกมากเกินไปแล้ว

ข้าไม่ได้สื่อสารไม่พักแบบนั้นอีก เพราะหากทำเช่นนั้นก็จะทำให้ผู้อื่นรำคาญ

ข้ากลับไม่ได้ไปนึกคิดถึงเพศตรงข้ามอีกแล้ว เพราะว่าเมื่อมองพวกนาง ข้าได้แต่ยิ้ม ในสายตาหวนระลึกความทรงจำเหล่านั้น เพียงแค่เงาร่างในความทรงจำตน ข้าเองก็นึกได้แบบรางเลือนแล้ว

สิ่งที่ข้าปรารถนานั้น ก็คือให้ตัวเองได้มีชีวิตอยู่สุขสบายสักหน่อย ในใจนิ่งขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับว่าทุกสิ่งในโลกใบนี้ พลันเปลี่ยนเป็นงดงามในสายตาของข้า

ชีวิตแบบนี้ ได้ดำเนินไปเนิ่นนาน… จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ข้าได้ลูบใบหน้าของตนเอง สัมผัสได้ถึงรอยยับย่นมากมาย ข้ามองมือทั้งสองของตัวเอง มองเห็นรอยย่นและผิวกระด้าง

ดวงตาของข้าก็เริ่มพร่ามัวขึ้นมา มองรอบด้านทั้งหมดด้วยความรางเลือน ทว่าตัวข้าที่จับจ้องกระจกนั้นยังคงพยายามที่จะหยัดกายขึ้น ท่ามกลางรอยยิ้มนั้น ข้ายังคงรู้สึกอิ่มเอม

ทว่า…นอกกระจกนี้ ข้าทราบดี ข้าหวาดกลัวแล้ว ข้าเปลี่ยนเป็นคนขลาดเขลาและระมัดระวังยิ่งขึ้น

ข้ารู้ว่าข้ากำลังกลัวสิ่งใด เพราะว่าบางครั้งหลังสะดุ้งตื่นยามค่ำคืน ข้าคล้ายกับว่าปราณแห่งความตายนั้นหลอมรวมเป็นเงาร่าง และคอยจับจ้องข้าจากนอกหน้าต่างอยู่เงียบๆ

คล้ายกับว่า พวกมันกำลังเรียกขานข้า เฝ้ารอข้า

ข้ายังไม่อยากไปกับพวกมัน

ยิ่งไปกว่านั้นในบรรดาพวกมันยังมีมิตรสหายเก่าที่ข้าเคยคบด้วย

ข้าไม่คิดอยากเห็นพวกเขา ข้ากลัวมาก

ข้าไม่อยากตาย ข้าอยากมีชีวิต อยู่ตลอดไป…ท่ามกลางแรงขับของความปรารถนา ทำให้บางครั้งข้ารู้สึกหายใจไม่เต็มท้อง

ข้าในเวลานั้นเพิ่มความสนใจยังมิตรสหายเก่าแก่ที่ยังอยู่ของข้า ไปคอยเตือนให้พวกเขาระวังร่างกายและคอยดูแลสุขภาพของพวกเขา เพราะว่า…ข้าไม่อยากเห็นพวกเขาจากไป

นี่ทำให้ข้ายิ่งหายใจไม่เต็มท้องหนักกว่าเก่า กลัวว่าความตายของตนเองจะมาถึง

มนุษย์ ทำไมต้องตายด้วยนะ

บางครั้งข้าก็คิดถึงปัญหานี้ขึ้นมา และคิดว่าสุดท้ายแล้วข้ากลัวอะไรนะ กลัวความตายจริงๆ หรือ…

คำตอบย่อมแน่นอนสิ

แต่ว่าหลังคำตอบอันแน่นอนนี้ ข้ายังมีอีกคำตอบหนึ่ง

ข้ากลัวความเดียวดาย

เมื่อข้าไปแล้ว ข้าย่อมโดดเดี่ยว

พวกเขาไปแล้ว ข้าก็จะโดดเดี่ยว

ความกลัวต่อความตายเช่นนี้ และกลัวต่อความโดดเดี่ยวเช่นนี้ได้กลายเป็นพลังหนึ่ง เติมเต็มความหวังของข้า คอยพยุงให้ข้าอยู่ต่อไป เพียงแต่ว่า…ร่างกายของข้าเหมือนผ้าแหว่งขาดวิ่น หลังพลังชนิดนี้พรั่งพรูแล้วก็เห็นได้ว่ารูแหว่งเว้าพวกนี้เหมือนจะชำรุดเร็วกว่าเก่าจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ข้าอยากให้พวกมันคงสภาพอยู่ได้ แต่ข้าทำไม่ได้

บางที แรงที่จะลุกขึ้นจากเตียงของข้า มันก็ไม่มีอีกแล้ว ข้าสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของความตายกระจายไปเต็มร่างของข้า ความหวังของข้า ทุกสิ่งของข้า ล้วนหายไป

ในเวลานั้น ข้าพลันเข้าใจถึงหลักเหตุผลหนึ่ง

ความกลัว ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย

ในวันนั้น ข้าจำได้ คล้ายกับว่าข้ามีแรงกำลังอีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงพยายามรั้งตัวลุกขึ้นนั่ง จัดแต่งตัวเองให้พร้อมสรรพ เดินไปยังสวนแล้วก็เก้าอี้ของข้าตัวนั้น สุดท้ายแล้วข้านั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วมองดูแสงตะวันลับฟ้า

ลมฤดูใบไม้ผลิพัดมาเย็นยะเยือก ทำให้เหล่าใบไม้ในจวนสั่นเล็กน้อย

บนกิ่งไม้นั้น ในฤดูนี้เหลือเพียงก้อนใบเหลือง หลังจากพัดม้วนแล้วก็ร่วงลงมาอย่างประคองไม่อยู่

ข้ามองพระอาทิตย์ตก มองดูใบไม้ที่เหลืออยู่ใบเดียวบนต้น พลันรู้สึกว่าทุกอย่างช่างงดงามเหลือเกิน และโดยช้าๆ ข้าก็ยิ้มออกมา

รอยยิ้มนี้…ข้ามองเห็นตะวันลับฟ้า ข้ามองเห็นในพริบตานั้นท่ามกลางแสงสีเหลืองหม่น ใบไม้ใบเดียวบนต้นนั้นพลันร่วงลงมา

ลอยละลิ่วโยกเอน…ราวกับเก้าอี้โยกนี้ของข้า

จนกระทั่ง มันลอยมาอยู่เบื้องหน้าข้า ขวางอยู่หน้ากรอบสายตาของข้า ปิดบังแสงทั้งมวล ปิดบังทัศนียภาพทั้งหมดในสายตาของข้า

แต่ว่าสติของข้ากลับไม่ได้หายไป

รอบด้านของข้าเป็นสีดำสนิท ข้าไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่ใด หรือว่ายังอยู่บนเก้าอี้…

และเพราะว่าจิตสำนึกของข้ายังดำรงอยู่ ดังนั้น…จึงมีข้าผู้นี้ที่ระลึกถึงความทรงจำของตนตอนเป็นมนุษย์

ข้าคิดว่า ชีวิตของข้านี้ หากว่าให้คนอื่นมากล่าวก็ไม่นับว่ามีสีสัน แต่สำหรับข้า นี่คือชีวิตเดียวของข้า

และเป็นเพราะในยามนี้เอง ข้าก็คล้ายกับจะได้ยินเสียงเรียก ได้ยินเสียง…

คล้ายกับว่า มีคนกำลังขานนามของข้า ให้ข้าตื่นขึ้น…

แต่ว่าข้าฟังไม่ชัดเจน จึงได้แต่อาศัยความรู้สึกไปกะประมาณ ส่วนเสียงนี้รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง ข้าคล้ายกับว่าในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาก่อน

“เขากำลังพูดสิ่งใด…”

“พูดดังกว่านี้หน่อย ข้าไม่ได้ยิน” ข้ามองความมืด จากนั้นพยายามเอ่ยปาก บางทีอาจจะเป็นเพราะความพยายามของข้าจึงได้ผลขึ้นมา โดยช้าๆ ในยามที่สติสัมปชัญญะของข้าพร่าเลือน น้ำเสียงนั้นกลับแจ่มชัดขึ้น

“ข้าหวัง…ให้เจ้าได้มีอิสรเสรี ตลอดกาลทุกชาติภพ”

ความคิดของข้าพลันสั่นสะเทือนครั้งใหญ่!

“ข้าหวัง…ให้เจ้าได้สุขสำราญใจ ตลอดกาลทุกชาติภพ”

ความนึกคิดของข้าพลันบังเกิดคลื่นยักษ์!!

“ข้าหวัง…ให้เจ้าไม่ลืมหัวใจดั้งเดิมของตน ตลอดกาลทุกชาติภพ”

จิตวิญญาณของข้าพลิกม้วนโห่คำราม!!!

“ข้าหวัง…ให้เจ้ามีสุขสวัสดี ตลอดกาลทุกชาติภพ”

ดวงจิตเทพของข้าพลันสั่นสะเทือนวงแหวนดารา!!!!

“สุดท้ายนั้น นามหวังเป่าเล่อนี้ ข้าคืนให้แก่เจ้า” น้ำเสียงอันคุ้นเคย ลอดเข้ามาในหูของข้า…สะเทือนก้องอยู่ในร่างซึ่งลอยอยู่ในกลางดารา และดวงตาทั้งคู่ของข้า…ก็พลันตื่นขึ้น!!!

“ข้าชื่อ…หวังเป่าเล่อ!”

บทสุดท้าย

วงแหวนดาราพิภพ

ท่ามกลางความเวิ้งว้าง หวังเป่าเล่อลุกขึ้นจากการหลับใหลเงียบๆ ดวงตาของเขาแฝงแววสับสนเต็มเปี่ยม เขามองไปยังที่ห่างไกล เนิ่นนาน…จนกระทั่งเขายกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วของตน

ครึ่งครู่ให้หลัง หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจบางเบา ราวกับว่ารู้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาใช้มือขวาคว้าไปยังทิศทางห่างไกล ไข่มุกเม็ดหนึ่ง พร้อมกาสุราหนึ่งพลันปรากฏขึ้นต่อหน้า

เมื่อมองไข่มุกเม็ดนี้ หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน เขายกมือขึ้นก่อนจะจับมันไว้เบาๆ

ขนาดของไข่มุกคือใจกลางของฝ่ามือเขา นี่คือทุกสิ่งของเขาและเป็นโลกของเขา

สุดท้ายแล้วเขาใช้มือขวาหิ้วกาสุรายกขึ้นดื่มอย่างแรงไปอึกหนึ่ง…ส่ายหัวเพราะรสชาติขมปร่า ก่อนจะเดินไปยังทะเลดาราเบื้องหน้าเงียบๆ

เงาร่างของเขา โดดเดี่ยว เย็นชา เดินห่างไกลออกไป ไกลแสนไกล

“เส้นทางอันโดดเดี่ยวสายนี้ ข้ายังคง…เดินต่อไปเถอะ”

สุดท้ายแล้วก็เป็นภาพมายาที่สิ้นสลายฉากหนึ่ง

บุญคุณของผู้ใด ด่านเคราะห์ของผู้ใด…

จบบริบูรณ์