บทที่ 1456 ขอใช้ชีวิตข้าเพื่อปลุกเจ้า!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ไม่พบกัน…เนิ่นนาน

หวังเป่าเล่อนับเวลาไม่ค่อยถูกเสียแล้ว ระยะเวลาที่เขากลายเป็นรูปสลักนั้นเนิ่นนานจนเกินไป ไม่รู้กี่หมื่นปีมาแล้ว แต่ละดวงจิตเทพของแต่ละยุคสมัยนั้นล้วนทยอยพาเผ่าพันธุ์จากไป ส่วนมหาจักรวาลเองนั้นก็ผ่านการดับสลายและเกิดใหม่มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

เกรงว่า…สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนก็คือ เขายังคงอยู่ ร่างต้น…ก็ยังคงอยู่

กระทั่งอาจจะกล่าวได้ว่า หวังเป่าเล่อสามารถออกจากวงแหวนพิภพนี้ได้ตั้งนานแล้ว และไปยังสรวงสวรรค์ แต่ว่าสถานที่แห่งนี้…ร่างต้นคือสิ่งผูกพันสุดท้ายสิ่งเดียวของเขา

ในยามนี้หวังเป่าเล่อยืนอยู่กลางท้องฟ้า มองดูดินแดนรูปหน้าคน มองใบหน้าที่คุ้นเคย ประตูใหญ่เปิดออกในความทรงจำของเขาช้าๆ ภาพแต่เก่าก่อนค่อยๆ ไหลเข้ามาในครรลองสายตาของเขา…ราวสายน้ำ

ครึ่งครู่ให้หลัง หวังเป่าเล่อถอนหายใจบางเบา หยิบเอากาสุราในมือแล้วดื่มเข้าไปอึกใหญ่ ดวงตานั้นทอประกายแปลกประหลาด

แท้จริงแล้ว เขาคิดได้แต่แรกแล้วว่าจะทำเช่นไรให้ร่างต้นได้สติ แม้ว่าความปรารถนาไม่อาจถูกทำลาย แต่…ก็สามารถเข้าแทนที่ได้

ส่วนวิธีการของหวังเป่าเล่อนั้น เขาค่อยๆ คิดได้หลังจากเฝ้ามองสรรพชีวิตมานับหมื่นๆ ปี

“บนโลกนี้ เหล่าสรรพชีวิตล้วนมีความปรารถนา…แต่ความปรารถนานั้น มิได้มีเพียงแค่เสียง รส ภาพ กลิ่น สัมผัสและจิต”

“บนโลกใบนี้ ยังมีอย่างอื่นนอกจากปรารถนาทั้งหก…มีอยู่โดยตลอด” หวังเป่าเล่อพึมพำ เขามองสรรพชีวิตมาหลายปี มองเห็นเหล่าผู้คนในเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วน ความปรารถนาที่จะสืบทอด ความปรารถนาที่จะเรียนรู้ เขาได้รู้ถึงความปรารถนาต่อเรื่องที่ยังไขไม่ได้

ความปรารถนาพวกนี้ หวังเป่าเล่อขนานนามมันว่า…ปรารถนารู้

ปรารถนารู้ทุกสิ่งที่ยังไม่รู้ ความปรารถนาที่ผลักดันให้เข้าใจทุกสิ่ง

นอกจากนี้แล้ว เขาก็ยิ่งอยากเห็นร่างของสรรพชีวิตในบรรดาเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วน ท่ามกลางความเบ่งบานของแต่ละชีวิต ความปรารถนาจากก้นบึ้งหัวใจที่อยากจะโดดเด่น ความปรารถนาที่จะแตกต่าง ในที่นี้บ้างก็อยากเป็นวีรบุรุษ บ้างก็ปรารถนานำพาเผ่าพันธุ์ให้ยิ่งใหญ่บ้าคลั่ง ไม่ว่าเป็นอย่างไร ความปรารถนาพวกนี้คล้ายกับว่าจะติดตามพวกเขาทั้งชีวิต…

หลังหวังเป่าเล่อมองดูเนิ่นนาน เขาก็เรียกความปรารถนานี้ว่า…ปรารถนาตัวตน

มีตัวตนก็เพื่อตนเอง เพื่อให้เผ่าพันธุ์ปรากฏอยู่ ให้ตัวตนในชีวิตนี้มีคุณค่า

หลังสองปรารถนานี้แล้ว ยังมีอีกความปรารถนาหนึ่ง รุนแรงเช่นเดียวกัน กระทั่งว่าระดับความรุนแรงนั้นอาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ละเผ่าพันธุ์ แตกต่างตามเหตุแห่งมรรคาเต๋าและดวงจิตเทพแต่ละคนของสรรพชีวิตแต่ละราย

นั่นก็คือ…ปรารถนาอารมณ์

ท่ามกลางการสังเกตของหวังเป่าเล่อนี้ เขาพบว่าความปรารถนานี้พิเศษอย่างยิ่ง มันอาจจะเป็นน้ำผึ้งหรือยาพิษก็ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…มันล้วนทำให้สรรรพชีวิตนั้นแสวงหาความทุ่มเท บ้างก็กลายเป็นยาพิษทำร้ายจิตใจ แต่ว่าส่วนลึกของดวงวิญญาณนั้นยังคงรอคอย และอาวรณ์ถวิลหา

“บางที อาจจะเพราะพวกเราทุกชีวิตล้วนแต่เดียวดาย ทว่ากลับไม่ต้องการอยู่อย่างโดดเดี่ยว” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา ในสมองนั้นปรากฏภาพตัวเองเฝ้ามองสรรพชีวิต สัมผัสได้ถึงความปรารถนาชนิดที่สี่

ความปรารถนาชนิดที่สี่นี้ บ้างก็คล้ายกับปรารถนาตัวตน แต่กลับไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่แล้วมันแฝงอยู่ในการแสดงทางวาจา การแสดงออก แฝงอยู่ในความสามารถของทุกสรรพชีวิต ตัวของหวังเป่าเล่อเองมีอยู่ ทุกสรรพชีวิตเองก็มีอยู่

หวังเป่าเล่อเรียกสิ่งนี้ว่า..ปรารถนาสื่อสาร

ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับคนอื่นๆ หรือว่าพูดคุยกับตนเอง ล้วนแต่เป็นความปรารถนาที่จะสื่อสารทั้งสิ้น ก็เหมือนกับที่หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนเองในยามนี้ กำลังจมอยู่กับความปรารถนาที่จะสื่อสาร

“แล้วยังมีอีกปรารถนาหนึ่ง…” ระหว่างที่หวังเป่าเล่อกล่าว เขาก็พบว่าหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด หรือว่าอารยธรรมใด ในช่วงเวลาห้วงหนึ่งอันแตกต่างกัน จะเกิดสภาวะประหลาดอันเรียกว่า…ความสงบขึ้นมา

ราวกับความปรารถนาที่เหล่าสรรพชีวิตทั้งหมดแสวงหานี้ ปรารถนาสุขสงบล้วนแฝงอยู่ในนั้นเสมอมา ไม่ว่าตัวตนจะแข็งแกร่งเท่าไร อยู่ในเผ่าพันธุ์เกรียงไกรเพียงใด ล้วนแต่ต้องแย่งชิงหรือว่ายอมสยบในสิ่งต่างๆ…

ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ สุดท้ายแล้วก็เพื่อให้ตนเองสบายกายสบายใจ สรรพสัตว์ทุกสิ่งเป็นเช่นนี้ ไม่มีหนีพ้น

ต่อให้ไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่ก็เป็นแค่เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น หลังจากเวลาเคลื่อนผ่าน ทุกอย่างก็ล้วนต้องกลับมาอยู่ในห้วงปรารถนานี้

ดังนั้นแล้ว หวังเป่าเล่อจึงเรียกว่าความปรารถนานี้ว่า…ปรารถนาสุขสงบ

สำหรับความปรารถนาสุดท้าย หวังเป่าเล่อค้นพบมันจากบรรดาผู้อยู่ใกล้ความตายของสรรพสัตว์ในเผ่าพันธุ์ทั้งหลาย สิ่งนี้ยิ่งเด่นชัดนั้นในยามที่อยู่บนร่างของผู้อยู่บนเส้นแบ่งเป็นตาย เนื่องเพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะไม่มีความเสียใจ หรืออยากไล่ตามสิ่งใดก่อนตาย แล้วยินยอมหลับตาจากไป

และไม่ใช่เพราะทุกคนมีสิทธิในการเลือกความตายของตนเองได้ ดังนั้นแล้ว…ชีวิตส่วนมากในเผ่าพันธุ์ทั้งหลายนั้น ในยามนี้ ในร่างของพวกเขาก็จะมีความปรารถนาอันแรงกล้าบังเกิดขึ้น

ความปรารถนา…ที่จะมีชีวิตต่อไป

ความปรารถนาเช่นนี้ ยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด หลายครั้งนั้นที่พบเห็นทำให้หัวใจของหวังเป่าเล่อบังเกิดระลอกคลื่น

สุดท้ายแล้ว เขาเรียกสิ่งนี้ว่า…ปรารถนาชีวิต

ความปรารถนาทั้งหกประการก็คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อได้สังเกตพบในเวลาหลายล้านปีนี้ สรุปมาได้เป็นความปรารถนาพื้นฐานของชีวิต และเป็นสิ่งที่เขาคิดว่านี่เป็นกุญแจปลุกให้ร่างต้นตื่นขึ้น

ในเมื่อความปรารถนานั้นไม่อาจดับมอด เช่นนั้นก็ย่อมถูกชักนำและแทนที่ได้…ราวกับใช้อีกวิธีการในการแสดงมันออกมา

และหกปรารถนาที่เกิดมาภายหลัง ย่อมต้องการสติสัมปชัญญะ ดังนั้นแล้ว…เมื่อแทนที่สำเร็จ หวังเป่าเล่อเชื่อว่า ร่างต้นย่อมได้ทุกสิ่งกลับคืนมา

“แต่ทุกสิ่งตรงนี้ ต้องให้ตัวของร่างต้นชักนำเอาเอง ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ให้จิตนึกคิดของร่างต้นตื่นจากการหลับใหลก่อน…” หวังเป่าเล่อมองดินแดนรูปใบหน้าคน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็สืบเท้าไปเบื้องหน้า

หลังจากเข้าใกล้ ดวงดาวที่ถูกดินแดนนี้ชักนำเข้ามานั้นพลันระเบิดแสงอันแรงกล้า แล้วยิ่งมีไอหมอกดำขนาดยักษ์แผ่เข้ามาจากใจกลางดินแดน มันแผ่ซ่านไปทั่วแปดทิศ

แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ หยุดยั้งหวังเป่าเล่อไม่ได้สักนิด

หลังจากที่เขาเข้าใกล้ เหล่าดวงดาวที่ทอแสงเหล่านั้นราวกับว่าไม่สามารถทนแรงต้านทานได้ ล้วนแต่แตกสลายเป็นสี่ห้าส่วน กลายเป็นเศษชิ้นส่วนกระจายออกไปทั่ว

ส่วนหมอกดำที่แทนที่ความปรารถนาก็เป็นเช่นนี้ มันไม่สามารถก่อเกิดมลทินอะไรให้หวังเป่าเล่อได้สักนิด หวังเป่าเล่อในยามนี้อยู่ในสถานะที่หมอกพวกนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว

แต่เขาเองก็ไม่อาจจะลบล้างปราณดำที่แปลงจากความปรารถนานี้ได้ ยกเว้นแต่ว่าเขาจะลบล้างสรรพชีวิตในวงแหวนดาราพิภพไปด้วย และทำให้ความปรารถนานั้นไม่มีต้นตอ มิเช่นนั้น หมอกดำก็จะคงอยู่ตลอดไป

ดังนั้นแล้ว ท่ามกลางสภาวะที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ของหมอกดำเหล่านี้ หวังเป่าเล่อก็เดินไปถึงดินแดนแห่งนั้น เดินอยู่บนตำแหน่งหัวคิ้วของใบหน้ารูปคน เขายืนอยู่ตรงนั้นพลางยกมือขวา จากนั้นจิตแห่งเซียนขุมหนึ่งก็ระเบิดออก กวาดล้างทั่วทั้งดินแดน

เมื่อจิตแห่งเซียนนี้กวาดผ่านไป ชีวิตที่มีความปรารถนาทั้งหลายบนดินแดนนี้ก็พลันแผดเสียงโหยหวน แต่ละคนนั้นราวกับถูกระเหิดไปในพริบตา กระจายหายไป กระทั่งเหล่าซากปรักหักพังในที่แห่งนี้ก็ถูกลบล้างไปในพริบตา

เมื่อมองดูแล้ว พืนที่แห่งนี้สะอาดขึ้นไม่น้อย กระทั่งเหล่าหมอกควันสีดำกลับพัดม้วนเข้าหากันเองไม่กระจายไปด้านนอกอีก เมื่อมองจากระยะไกลจะเห็นดินแดนรูปใบหน้าคนนี้แจ่มชัดขึ้นมาแล้ว

“ร่างต้น…ตื่นขึ้นมา!” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากเสียงเบา เมื่อเขาเอ่ยปาก ในพริบตานั้นดวงดาราในความว่างเปล่าแห่งนี้ก็ได้กลายสภาพเป็นกฎจำนวนนับไม่ถ้วน กระแทกเข้าสู่ภายในของดินแดน ก่อเกิดเสียงดังลั่น สะท้านไปแปดทิศ

กระแสเสียงแห่งกฎอันน่าครั่นคร้ามที่อยู่ในประโยค กล่าวกันโดยทั่วไปแล้ว อาศัยจากพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อในยามนี้ มากเพียงพอจะปลุกทุกสิ่งที่อยู่ในวงแหวนดาราพิภพได้

แต่สิ่งเดียว….ที่ยังไม่มีร่องรอยการตื่นขึ้นมาเลยนั้นก็คือร่างต้นของเขา มีเพียงผืนแผ่นดินสะเทือนครั้งใหญ่จนก่อเกิดรอยแยกปรากฏเท่านั้น!

“ผลลัพธ์ ก็ยังไม่อาจปลุกเจ้าได้หรือ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ

ความปรารถนาในที่นี้ลึกล้ำมากเกินไป มันหนักหนา แถมต้นกำเนิดยังมาจากสรรพชีวิตทั้งแดนวงแหวนดาราพิภพ ต่อให้หวังเป่าเล่อตรงนี้มีกำลังพอสยบทุกสรรพชีวิตได้ แต่…ร่างต้นของเขาก็มีพลังอันแข็งกล้าถึงที่สุดอยู่

ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นผลจากการหลอมรวมกับมหาเทพแล้ว นี่คือสภาวะของชีวิตที่เกือบจะบริบูรณ์

ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เขาไม่มีทางถูกปลุกขึ้นมาได้อีก

“ช่างเถอะ ช่างเถอะ…” หวังเป่าเล่อแหงนหน้า เขามองไปยังที่ห่างไกล ทิศทางที่มองไปย่อมเป็นตำแหน่งของมหาจักรวาล คลับคล้ายคลับคลา เหมือนเขาจะมองเห็นเงาร่างคุ้นเคยรูปหนึ่ง

ในนั้นมีบิดามารดาของหวังเป่าเล่อ ท่านอาจารย์ เจ้าเยี่ยเหมิง โจวเสี่ยวหยา แล้วยังมีสหายของเขาและลมปราณนับไม่ถ้วน…

“มหาเทพ ทำให้ร่างต้นสมปรารถนา”

“ร่างต้น ทำให้ข้าสมปรารถนา”

“ในยามนี้ข้าได้กลายเป็นร่างแยกอิสระนานแล้ว ไม่ได้เกี่ยวพันสิ่งใดกับร่างต้นอีก เช่นนั้นวิธีเดียวที่จะให้เขาตื่นได้ก็คือ…ใช้ชีวิตของข้า แลกชีวิตของเขา ให้ข้าหายไปจนสิ้นเพื่อแลกกับการปลุกเขา!”

หวังเป่าเล่อยิ้ม จากนั้นก็ยกมือขวาคว้าไปยังความว่างเปล่า สุรากาหนึ่งปรากฏ เขาดื่มลงไปในคราเดียวอย่างที่ไม่เคยดื่มเช่นนี้มาก่อน

เหล้าในกาคำนี้ หมดไปเกือบครึ่งส่วน

หลังจากโบกมือแล้ว เขาก็โยนกาทิ้งไป จากนั้นก็ลอยตัวไปยังท้องฟ้าเหนือดินแดนแห่งนั้น หลังจากที่ใช้มือขวาคว้าจับอีกครั้ง ไข่มุกวิญญาณหนึ่งเม็ดก็ปรากฏ หลังพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้วแล้ว หวังเป่าเล่อก็โยนมันทิ้ง ให้มันลอยขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้ง เขาสูดลมหายใจแล้วหัวเราะออกมา

หัวเราะมากเข้ามากเข้า ร่างกายของเขาก็เริ่มต้นแผดเผา จิตเซียนทะยานขึ้น ร่างเนื้อ วิญญาณเทพ ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาล้วนมอดไหม้ในพริบตานั้นเอง

หลังจากการเผาไหม้นี้ ดวงดาราทั้งผืนก็สั่นสะเทือน อาณาเขตดารานั้นเกิดเสียงดังลั่น ทั้งอาณาเขตเต๋าเองก็ระเบิดสิ้น ส่วนวงแหวนดาราพิภพสั่นสะท้าน

สรรพชีวิตหมื่นสิ่ง เผ่าพันธุ์ทั้งหลาย กระแสจิตทั้งหลายในพริบตานั้นล้วนแต่สั่นสะท้านจากก้นบึ้งของหัวใจ สายตามากมายนับไม่ถ้วนค้นหาสาเหตุของการสั่นสะเทือนนี้

“ความเดียวดาย ช่างไร้ความหมายนัก”

“กลับเป็นเจ้าร่างต้นที่ฉลาด หลับใหลมาจนบัดนี้ ไม่ต้องไปสัมผัสกับความรู้สึกที่ทุกคนได้จากไปแล้ว แต่ตนเองกลับยังลนลานสับสน…”

“สำหรับข้าแล้ว นับว่าได้ยืนหยัดมาแล้ว ได้สัมผัสมาแล้ว ได้แบ่งปันมาแล้ว และเคยได้ใช้ชีวิตมา สิ่งเหล่านี้…เพียงพอแล้ว”

“เพียงพอแล้ว!”

“เช่นนั้นวันนี้ ข้าก็…จะช่วยให้เจ้าสมปรารถนา!”

“เจ้าตื่นเองไม่ได้ ไม่อาจเปลี่ยนถ่ายความปรารถนาทั้งหกได้ ไม่เป็นไร…ข้าจะช่วยเจ้า”

“แผดเผาเต๋าของข้า แผดเผาวิญญาณของข้า แผ่พลังดวงจิตเทพของข้า…เช่นนี้ มอบปรารถนาทั้งหกให้แก่ร่างต้น ให้เกิดสติและการรับรู้ของเจ้า ยามนี้…เจ้าควรตื่นได้แล้ว!”

หวังเป่าเล่อหัวเราะเสียงดัง ส่วนร่างกายก็พลันมอดไหม้ในยามนั้น เขาโบกมือขึ้นแรงครั้งหนึ่ง จากนั้นร่างหนึ่งในหกส่วนก็พลันกระจายตัวกลายเป็นแสงสีขาวสายหนึ่งทันที

“นี่คือ…ปรารถนารู้!” ระหว่างที่กล่าว หวังเป่าเล่อก็โบกมือ แสงที่แสดงถึงความปรารถนารู้ไม่รู้สิ้นพลันระเบิดออกมา แสงโชติช่วงสุดประมาณ จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าสู่หว่างคิ้วขอดินแดนรูปหน้าคน

ดินแดนนั้นเกิดเสียงดังสะเทือน ใบหน้าคนสั่นไหว!

นี่ยังไม่จบ หวังเป่าเล่อโบกมืออีก จากนั้นร่างหนึ่งในหกส่วนก็กระจายอีกครั้ง กลายเป็นลำแสงสีฟ้า ลำแสงนี้ราวกับแฝงด้วยความฝัน ราวกับแฝงด้วยความปรารถนาที่จะแสดงออก ในพริบตานั้นเองก็พุ่งเข้าสู่ใบหน้านั้นเช่นเดิม

“นี่คือปรารถนาตัวตน!”

ดินแดนสั่นสะเทือนอีกครั้ง รุนแรงยิ่งกว่าเก่า

หลังจากนั้น แสงเส้นที่สามก็ปรากฏ มันคือแสงสีแดงฉาน นั่นคือปรารถนาอารมณ์ ราวกับลูกไฟที่มอบความอบอุ่นให้มนุษย์อย่างไรอย่างนั้น และอาจจะทำให้คนมอดไหม้เป็นธุลีได้ แต่บางทีนี่ก็คือเสน่ห์ของมัน เหมือนแมงเม่าจำนวนนับไม่ถ้วนยินยอมพุ่งเข้าหากองไฟ!

“นี่คือปรารถนาอารมณ์!”

น้ำเสียงหวังเป่าเล่อแหบแห้ง ลมปราณกระจายตัวไปมากแล้ว แต่ดวงตายึดมั่นของเขานั้นยังคงเจิดจ้า ระหว่างที่โบกมือ ลำแสงที่สี่ก็ปรากฏขึ้น

ลำแสงนี้ แฝงไปด้วยความปรารถนาสื่อสาร พุ่งเข้าหาใบหน้านั้น!

“นี่คือปรารถนาสื่อสาร!”

ดินแดนรูปใบหน้าในยามนี้เกิดเสียงดังขึ้นไม่หยุด จนเริ่มแตกหัก ส่วนไอหมอกดำภายในนับไม่ถ้วนได้กลายสภาพเป็นรูปใบหน้ากำลังร้องโหยหวน

“นี่คือปรารถนาสุขสงบ!”

หวังเป่าเล่อยิ้มขึ้นอีกครั้ง เขาใช้สองมือโบกขึ้น ลำแสงที่ห้ารวมตัวกันฝังพุ่งเข้าไปในนั้นทันที ระหว่างที่หวังเป่าเล่อเอ่ยอยู่นั่นเอง…ร่างของเขาก็เริ่มเลือนรางจนเหลือเพียงหนึ่งในหกส่วนสุดท้ายแล้ว!

“ส่วนสุดท้ายนั้นคือ…ปรารถนาชีวิต!” ร่างของหวังเป่าเล่อพลันแตกหักออกมาเกิดเสียงดังลั่น ทุกสิ่งทุกอย่างในพริบตานั้นได้กลายเป็นลำแสงที่หก นำพาความยึดมั่นและการไล่ตาม นำความปรารถนาพุ่งเข้าไปยัง…ดินแดนรูปใบหน้าแห่งนั้น!

ในพริบตา ทั้งวงแหวนดาราพิภพก็สั่นไหวรุนแรง สรรพชีวิตสะท้านขวัญ ส่วนหวังเป่าเล่อเองก็หายไปโดยสมบูรณ์ บนดินแดนแห่ง ก้องกังวานด้วยประโยคหนึ่งซึ่งสะท้อนอยู่ท่ามกลางสายแห่งชีวิตสุดท้ายของเขา

“หวังเป่าเล่อ นามนี้ ข้าคืนให้แก่เจ้า!”

หลังจากเสียงนี้ดังสะท้อน ทั้งดินแดนก็พลันเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งวงแหวนดาราพิภพ เสียงกระแทกอันรุนแรงนี้ทำให้ดินแดนแห่งนั้นทั้งหมดแหลกละเอียดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และกระจายกลายเป็นฝุ่นไปในพริบตา…

กระทั่งหลังจากเสื่อมสลายดำเนินไปจนจบ และพื้นที่แห่งนั้น…หายสิ้นไป

ส่วนสิ่งที่ลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า มีเพียงร่างกายหนึ่ง…ที่ถูกฝังอยู่ในดินแดนนั้นไม่รู้นานกี่ปีกี่ชาติ!

ร่างกายนี้สวมชุดคลุมยาว เส้นผมโบกสะบัด เขาหลับตา สีหน้าซีดขาว และไม่ขยับกายเลยสักนิด…เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วน นี่ก็คือ…ร่างต้นของหวังเป่าเล่อ!

ขนตาของเขากะพริบไหวเล็กน้อย ราวกับกำลังสั่น เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ลืมตาทั้งสองขึ้นมาคล้ายกับกำลังตกอยู่ในห้วงฝันร้าย…