ราชันเร้นลับ 1331 : อิ่มเอมใจ

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

คดีฆาตกรรมไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเวนเดลล์ ได้ยินหญิงสาวกล่าวออกมาเช่นนั้น มันมิได้แตกตื่น เพียงมองผ่านอีกฝ่ายเข้าไปสำรวจสภาพแวดล้อมภายในห้อง

มันเห็นชายคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น หน้าอกแดงก่ำไปด้วยเลือด

“คุณแน่ใจหรือว่าเขาตายแล้ว” เวนเดลล์ถามเสียงเรียบ

สตรีในวัยยี่สิบเหม่อลอยสักพักก่อนจะตอบด้วยความลังเล

“อาจจะ… ฉันไม่ทราบ…”

“ถ้ายังมีโอกาสรอด เราควรรีบพาเขาส่งโรงพยาบาลโดยด่วน” น้ำเสียงของเวนเดลล์ ฟังดูคล้ายกำลังคุยกับครอบครัวของคนไข้มากกว่าฆาตกร

สตรีผู้ถือมีดชุ่มเลือดเบี่ยงตัวหลบเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าไปในห้อง

เวนเดลล์ขยับเข้าไปใกล้เหยื่อ

มันไม่จำเป็นต้องนั่งยอง เพียงจดจ้องสักพักก็ยืนยันได้จากสัญชาตญาณ:

“เขาตายแล้ว”

สตรีวัยยี่สิบ เจ้าของผมสีป่านกระเซิงยาวประบ่า มิได้เปลี่ยนสีหน้ามากนัก เพียงก้มมองนิ้วเท้าและกล่าว

“โทรแจ้งตำรวจเถอะค่ะ”

“คุณชื่ออะไร” ขณะถาม เวนเดลล์ได้ยินเสียงฝีเท้าหนึ่งดังมาจากบันได

คงเป็นบริกรหรือเจ้าของโรงแรมซึ่งได้ยินเสียงกรีดร้องเมื่อครู่ จึงส่งคนมาตรวจสอบ

“เทรซี่…” หญิงสาวหน้าตาบ้านๆ และใสซื่อตอบเสียงแผ่ว

เธอกลับเข้าไปในภวังค์โดยไม่กล่าวคำใดต่อ

ขณะเวนเดลล์เตรียมกล่าวบางสิ่ง มันเห็นเจ้าของโรงแรมซึ่งเป็นคนเช็กอินให้ตน วิ่งมาถึงหน้าประตู

“โอ้ท่านเทพธิดา!” หลังจากเห็นสถานการณ์ภายในห้องชัดเจน ชายชราอดไม่ได้ที่จะโพล่ง

เวนเดลล์ยื่นมือขวาออกไปและกดลง เป็นสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายสงบสติ จากนั้นก็กล่าว

“คุณไปแจ้งตำรวจ ผมจะคอยเฝ้าที่นี่”

บรรยากาศและถ้อยคำของมัน ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าต้องทำตาม เจ้าของโรงแรมรีบหันหลังกลับและวิ่งลงไปด้านล่างโดยไม่ลังเล

อันที่จริง เวนเดลล์แค่ต้องการตรวจสอบสถานการณ์เบื้องต้นตามนิสัยของสุภาพบุรุษ ไม่คิดจะเข้ามาพัวพันมากนัก ยังไงเสีย ตนก็ยังอยู่ระหว่างภารกิจ แต่อาการเหม่อลอย โดดเดี่ยว และมึนงงของมิสเทรซี่ ทำให้มันรู้สึกสงสารอยู่หลายส่วน เป็นการตอบสนองตามปรกติของผู้ชาย

มันมองไปรอบตัว เปล่งเสียงประหนึ่งกำลังพูดกับอากาศ:

“ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมใช่ว่าจะได้รับบทลงโทษรุนแรงเสมอไป บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์”

เทรซี่บรรจงเงยหน้าจ้องสุภาพบุรุษ

ในดวงตาที่คล้ายกับปลาตาย เผยความสับสนปนประกายแวววาว

เวนเดลล์ชำเลืองใบหน้าหญิงสาว:

“เขาทุบตีคุณหรือ”

“ค่ะ” คล้ายกับอีกฝ่ายมีอำนาจลึกลับบางอย่าง เทรซี่เปิดปากพูดทั้งที่ต้องการจะเงียบ

ดวงตาของเวนเดลล์เลื่อนลงมาจ้องมีดที่เลือดหยุดไหลแล้ว

“ใครเป็นคนเสนอให้มาที่นี่ คุณหรือเขา?”

เทรซี่ตอบเชื่องช้า:

“เขา”

เวนเดลล์พยักหน้าเล็กน้อย

“คุณมีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะแก้ต่าง ผมสามารถเป็นพยานให้ได้ว่า พวกคุณทะเลาะกันก่อนมีการลงมือ เห็นได้ชัดว่า เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปในทิศทางดังกล่าว ฝ่ายชายจะถือครองความได้เปรียบ ผมไม่ได้กำลังดูแคลนสตรี แต่นั่นเป็นข้อมูลเชิงสถิติจากวิทยาศาสตร์และประสบการณ์”

มันเว้นวรรค ตามด้วยถาม

“พวกคุณมีความสัมพันธ์กันอย่างไร? เกิดอะไรขึ้น?”

ดวงตาเทรซี่สั่นไหวเล็กน้อย หญิงสาวฟื้นตัวจากสภาวะปิดกั้นตัวเองทันที

ประหนึ่งกำลังตอบคำถามจากนายตำรวจ เทรซี่กล่าวด้วยดวงตาแฝงความหวังเจือเศร้า

“เปล่าค่ะ ฉันเป็นเมียน้อยของเขา”

พูดจบ หญิงสาวเผยรอยยิ้มตำหนิตัวเอง

“ฉันเคยเป็นผู้หญิงน่ารังเกียจที่ไล่ตามแต่เงินทองราวกับคนบ้า หลังจากออกจากโรงเรียน ฉันถูกเขาหลอกให้มาเป็นเมียน้อย… เขายกโรงแรมแห่งหนึ่งให้ฉันอยู่ และรอเขามาหาหรือเรียกออกไปพบในทุกสัปดาห์… ฉันค่อยๆ หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต เริ่มหดหู่และดำดิ่ง จนกระทั่งอยากจะคืนทุกสิ่งและออกไปจากชีวิตเขา แต่เขาไม่ยอม คอยข่มขู่ฉันมากมาย ไม่ปล่อยให้ฉันไปไหน การพบกันหลังๆ ก็ลงเอยด้วยการทะเลาะทุกครั้ง… เมื่อสักครู่ เขาบอกว่ามีทางเดียวที่เขาจะยอมให้ฉันเป็นอิสระ นั่นคือความตาย จากนั้นเขาก็ทุบตีฉันและหยิบมีดออกมา… เหตุการณ์หลังจากนั้นคุณคงทราบดี…”

เมียน้อย… เวนเดลล์ชำเลืองใบหน้าเทรซี่ด้วยความเห็นใจ

“ร่องรอยในที่เกิดเหตุช่วยยืนยันว่าคำพูดของคุณตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้น”

เดิมที มันเข้าใจว่าเทรซี่และผู้ตายเป็นสามีภรรยา แต่ความจริงกลับเลวร้ายยิ่งกว่า

เทรซี่พยักหน้า

“ขอบคุณค่ะ”

เธอไม่กล่าวสิ่งใดอีกจนกระทั่งตำรวจยูโทเปียมาถึงและทำลายความเงียบ หญิงสาวยกมือขึ้นและรับการใส่กุญแจมือ

เวนเดลล์ชำเลืองฝ่าเท้าเทรซี่เล็กน้อย ตามด้วยกล่าวกับตำรวจ

“พาเธอไปตรวจสุขภาพก่อน ปฐมพยาบาลเบื้องต้น หลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดฝัน”

ตำรวจเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกตนถึงต้องเชื่องฟังคำพูดพยาน แต่ท้ายที่สุด พวกมันนำตัวเทรซี่และเวนเดลล์ไปโรงพยาบาลเล็กๆ ท่ามกลางฝนตกหนัก

เนื่องจากเทรซี่เป็นสตรี เวนเดลล์และตำรวจจึงทำเพียงรออยู่ที่ทางเดิน ไม่ได้เข้าไปในห้อง

เมื่อเวลาผ่านไป เวนเดลล์เห็นสตรีตั้งครรภ์คนหนึ่งถูกนำเข้าไปในห้องคลอด คล้ายกับว่าคลอดเองไม่ได้ จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด

ผ่านไปครู่หนึ่ง มันได้ยินเสียงร้องของทารก ซึ่งหมายถึงการถือกำเนิดของชีวิตใหม่ โดยในขณะเดียวกัน เทรซี่เดินออกจากห้องปฐมพยาบาล

“เห็นนั่นไหม ความงดงามของชีวิต” เวนเดลล์กล่าวกับเทรซี่ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

เทรซี่ฟังเสียงร้องของทารกผสมผสานกับเสียงลมฝน สีหน้าเผยความซาบซึ้ง

ใบหน้าซังกะตายและเหม่อลอยถูกขจัดออก แทนที่ด้วยความบริสุทธิ์สดใส

ถัดมาไม่กี่วินาที เทรซี่ได้สติอีกครั้ง จึงหันไปพยักหน้าให้เวนเดลล์

“ขอบคุณค่ะ”

คราวนี้ เธอมิได้เฉื่อยชาราวกับคนหมดอาลัยตายอยากอีกต่อไป

เวนเดลล์ถอนหายใจโล่งอก เดินทางไปยังสถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวัน

หลังจากทำสิ่งที่ควรทำจนครบ มันเดินไปยังริมถนน เตรียมขึ้นรถม้าเช่าเพื่อกลับไปยังโรงแรม ‘ดอกไอริช’

ทว่า ท่ามกลางค่ำคืนฝนตกหนัก เวนเดลล์มองไม่เห็นรถม้าหรือคนเดินถนนแม้แต่คนเดียว

“นี่เป็นอีกหนึ่งข้อเสียของเมืองเล็ก ยังขาดความสะดวกสบาย” เวนเดลล์พึมพำ กางร่มที่พกมาด้วย เดินเท้ากลับโรงแรมดอกไอริชอย่างชำนาญ

ในฐานะอดีต ‘เจ้าพนักงาน’ มันมีความพลังวิเศษเกี่ยวกับความทรงจำด้านทิศทาง จึงไม่ต้องกังวลว่าจะหลงในเมืองแปลกหน้า

ปัจจุบัน แม้ฝนจะแผ่วลงไปมาก แต่สายลมยังคงโหมกระหน่ำ พัดพาเม็ดฝนกระทบเสื้อผ้าเวนเดลล์ในแนวเฉียง

มันรีบยกมือขวาขึ้น พยายามบังช่วงหน้าอกและท้อง

เอกสารลับถูกซ่อนอยู่ในบริเวณดังกล่าวของเสื้อ

แม้ในยามหลับ เวนเดลล์ก็แทบไม่เคยแยกจากกับเอกสารลับ สิ่งเป็นกลายเป็นนิสัยประจำตัวไปโดยปริยาย ดังนั้น หากมีการเตือนความจำตัวเองอย่างต่อเนื่อง มันก็จะไม่เผลอปล่อยให้เอกสารอยู่ในตำแหน่งที่อันตราย

ยูโทเปียเป็นเมืองเล็ก เวนเดลล์เดินเท้าได้สิบห้านาทีก็มาถึงโรงแรมดอกไอริชในสภาพหมวกและเสื้อเปียกปอนเพราะแรงลม

นั่นทำให้มันค่อนข้างกังวล ด้วยเกรงว่าเอกสารลับจะเปียกน้ำจนเสียหาย

อันที่จริง การกระทำของเราถือว่าละเมิดกฎเหล็กในการปฏิบัติภารกิจ… แต่ถ้าได้เห็นสตรีอยู่ในสภาพนั้น จะไม่ช่วยเหลือก็คงใจดำเกินไปหน่อยกระมัง? นั่นคือสิ่งที่สุภาพบุรุษควรทำ… เวนเดลล์ตำหนิตัวเองเล็กน้อย แต่ก็มิได้นึกเสียใจ

หลังจากเข้าไปในห้อง มันถอดเสื้อคลุมออก หยิบเอกสารมาวางบนโต๊ะ

ซองเอกสารมีรอยเปียกชัดเจน คล้ายกับจะฉีกขาดทันทีหากถูกสัมผัสเพียงเล็กน้อย

เวนเดลล์กดกริ่งเรียกบริกรเพื่อขอเตาถ่านจาก มันคิดจะเพิ่มอุณหภูมิห้องเพื่อทำให้ซองเอกสารแห้งเร็วขึ้น

ระหว่างรอ มันพบว่าแม้จะเป็นกลางดึก แต่โรงแรมแห่งนี้ก็ไม่เงียบเลยสักนิด คล้ายกับเสียงกรีดร้องของผู้ตาย และเสียงการมาเยือนของตำรวจ จะทำให้ผู้คนในละแวกใกล้เคียงตื่นจากการนอน

สายลมด้านนอกเอื่อยลงจากเดิมมาก เวนเดลล์ได้ยินเสียงเด็กร้อง เสียงทะเลาะของคู่สามีภรรยา เสียงเลื่อยไม้ราวกับกำลังสีไวโอลิน เสียงสะอื้นเป็นระยะ เสียงฝีเท้าของผู้คนเดินขึ้นลงบันได และเสียงการสนทนาซึ่งบ้างก็เบา บ้างก็ดังกะทันหันราวกับลืมตัว

มันไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับฉากที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา เพียงแต่รู้สึกว่าเป็นการยากที่จะหลับลง

ผ่านไปสักพัก บริกรนำเตาถ่านมาพร้อมกับฟืนถ่านหิน

เวนเดลล์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ถามอย่างเป็นกันเอง

“คุณรู้จักผู้หญิงที่ชื่อเทรซี่เมื่อครู่ไหม”

บริกรส่ายหน้า

“ไม่ครับ”

จากนั้นก็เสริม

“ผมได้ยินว่าเธอเป็นคนท้องถิ่น อาศัยอยู่ชานเมืองด้านนอกจนกระทั่งก่อนปีนี้”

“รู้อะไรเกี่ยวกับเธอบ้าง” เวนเดลล์ถามตามความเคยชิน

“เธอมักจะมาที่โรงแรมของเราเดือนละสามถึงห้าครั้งพร้อมกับผู้ตาย” บริกรถอนหายใจ “เธอดูไม่มีความสุขเลย”

เวนเดลล์เงียบไปสักพัก ก่อนจะส่งบริกรกลับไปและเดินมานั่งบนโต๊ะ

เวลาผ่านไป ซอกเอกสารลับค่อยๆ กลับมาแห้ง

ปัจจุบัน ทั้งภายในและภายนอกโรงแรมค่อนข้างเงียบ มีเพียงเสียงและเสียงลมกระทบหน้าต่าง

เวนเดลล์หวนนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นึกสงสารชะตาชีวิตของมิสเทรซี่ พลางหยิบซองเอกสารและพลิกกลับด้าน

ทันใดนั้นเอง มันพบว่าส่วนหนึ่งของซองเอกสารได้รับความเสียหาย กระดาษด้านในโผล่ออกมาเล็กน้อย

เวนเดลล์ขมวดคิ้ว เพราะทราบดีว่าตนจะต้องถูกลงโทษ

แต่แน่นอน บทลงโทษคงไม่หนักหนาเกินไปเนื่องจากความลับของเอกสารคงไม่สูงหนัก เพราะถ้าเป็นเอกสารลับสุดยอด อีกฝ่ายคงไม่ส่งคนแบบตนมาทำงานนี้

เดิมที เวนเดลล์คิดจะรักษาสภาพปัจจุบันเอาไว้ และส่งต่อโดยรายงานความเสียหายไปตามจริง แต่เมื่อชำเลืองสายตา มันพบคำหนึ่งบนเอกสารผ่านเนื้อหาที่โผล่ออกมา

“ยูโทเปีย”

หัวใจเวนเดลล์ทวีความเครียด ขณะเดียวกันก็รู้สึกราวกับว่า เสียงลมฝนด้านนอกห้องหยุดลงกะทันหัน

………………………