ราชันเร้นลับ 1332 : ขวัญผวากลางดึก

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

“ทำไมเอกสารลับของที่เราคอยคุ้มกัน ถึงเอ่ยถึงยูโทเปีย? …ที่นี่พิเศษยังไง?”

ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองเวนเดลล์ คล้ายกับมีเสียงอื้ออึงดังภายในโสตประสาท

ในวินาทีนี้ มันรู้สึกราวกับร่างกายอ่อนล้าเพราะทำงานหนักเกินขีดจำกัด รู้สึกคล้ายกำลังจะป่วย

เวนเดลล์รีบข่มใจให้สงบ นึกทบทวนประสบการณ์ที่มันเผชิญในยูโทเปียอย่างละเอียด และพบว่าแทบไม่มีความผิดปรกติในรายละเอียด ทุกสิ่งสามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน

สิ่งเดียวที่ทำให้มันไม่ค่อยสบายใจก็คือ การมาถึงที่นี่ของตนคือเรื่องบังเอิญเกินไป:

จริงอยู่ รถไฟไอน้ำมักหยุดแล่นบ่อยครั้งเพราะพายุ แต่การที่รถไฟขบวนดังกล่าวมาหยุดลงหน้าสถานีเดียวกับในเอกสารลับ จะเรียกว่าไม่บังเอิญก็คงไม่ได้

เวนเดลล์จ้องเอกสารลับบนโต๊ะด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ลังเลอยู่นานว่าควรเปิดอ่านดีหรือไม่

บางที เนื้อหาอาจกล่าวถึงยูโทเปียแค่ผ่านๆ และพฤติกรรมของเราจะกลายเป็นการทำผิดวินัยร้ายแรง… แต่บางที นี่อาจเป็นเอกสารจากเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่รายงานเกี่ยวกับยูโทเปียโดยตรง เนื้อหาด้านในบางส่วนอาจช่วยให้เรามีชีวิตรอดกลับไปได้… เวนเดลล์คิดไม่ตกอยู่สักพัก ก่อนจะชำเลืองออกไปมองความมืดด้านนอกหน้าต่าง จากนั้นก็เลื่อนมือไปจับเอกสาร

มีเพียงการรอดชีวิตเท่านั้น จึงมีสิทธิ์กังวลว่าจะถูกลงโทษหรือไม่!

เวนเดลล์ตัดสินใจเปิดซองกระดาษทันที และพลิกอ่านเอกสารด้านในซึ่งถูกพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด

ขณะกวาดสายตาอ่าน มือของมันสั่นเทาเล็กน้อย ความเย็นแผ่ซ่านไปถึงแผ่นหลัง เตาถ่านซึ่งกำลังลุกไหม้ก็ไม่ช่วย

ไม่ว่าจะมองมุมใด รายงานเอกสารลับในมือของตน ก็บ่งบอกชัดเจนว่ายูโทเปียคือเมืองที่ไม่ปรกติ

ที่นี่อาจไม่ใช่เมืองที่มีอยู่จริง!

เวนเดลล์ปากแห้งไปชั่วขณะ ราวกับกำลังได้ยินเสียงยมทูตลากเคียว ย่างกรายเข้ามาใกล้ทีละนิด

มันอยากจะลุกพรวดขึ้น แต่ท้ายที่สุดก็ควบคุมตัวเองและเลือกจะไม่ทำตัวกระโตกกระตาก

นั่นเพราะมันรู้สึกคล้ายกับว่า จากความมืดนอกหน้าต่าง จากห้องชั้นบน จากทางเดินหน้าประตู มีดวงตากำลังจ้องมองตนอยู่

ทำยังไงดี? จนถึงตอนนี้ยังไม่มีความผิดปรกติใดเกินขึ้น… อาจเป็นไปได้ว่า ถ้าเราไม่รู้อะไรเลย ก็จะได้มองเห็นแสงสว่างของวันถัดไปอย่างปลอดภัย… แต่การได้อ่านข้อมูล ทำให้เรารู้อยู่แก่ใจว่าที่นี่ไม่ปรกติ และนั่นอาจชักนำอันตรายเข้ามาหา… แต่ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยตัวปล่อยใจไปตามโชคชะตา… เวนเดลล์นึกทบทวนอันตรายที่มันเคยประสบพบเจอ จากนั้นก็รีบตัดสินใจ

มันคิดจะกลับไปยังรถจักรไอน้ำ เพื่ออยู่ให้ห่างจากยูโทเปียมากที่สุด

อย่างน้อยคนบนรถไฟก็ยังปรกติ ส่วนเมืองนี้เต็มไปด้วยอันตราย

แต่แน่นอน เวนเดลล์มิอาจตรงกลับไปยังรถไฟอย่างโผงผาง มันต้องทำให้ทุกสิ่งดูปรกติมากที่สุด คล้ายกับเป็นการเดินทางออกจากโรงแรมกลางดึกด้วยเหตุผลอื่น จากนั้นค่อยตรงไปยังสถานีรถไฟ

ท่ามกลางกระแสความคิด เวนเดลล์เก็บเอกสารลับกลับ ยืนขึ้นอย่างใจเย็น สวมเสื้อนอกและหมวกทรงสูง

ถัดมา มันถือกระเป๋าเดินทางไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างถือร่ม เดินตรงไปที่ประตูอย่างใจเย็นและบิดลูกบิด

ปัจจุบัน ทางเดินค่อนข้างมืด มีโคมไฟแก๊สติดผนังเพียงไม่กี่ดวงในแต่ละฝั่ง ส่งผลให้ความสว่างไม่เพียงพอ ปราศจากเสียงของชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง เงียบจนได้ยินเสียงเข็มตกพื้น

เมื่อเวนเดลล์ก้าวไปตามทางเดิน พื้นไม้ใต้ฝ่าเท้าส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดตลอดเวลา ยิ่งเป็นคืนที่เงียบสงัดและหนาวเหน็บเช่นนี้ ดูคล้ายกับเสียงสามารถดังออกไปเป็นระยะทางไกล

เวนเดลล์ขมวดคิ้ว แต่ยังคงก้าวต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งมองเห็นบันไดที่กึ่งกลางทางเดิน

มันเดินไปตามธรรมชาติโดยไม่พยายามเก็บซ่อน

เมื่อเข้าใกล้บันได ด้านหลังเกิดเสียงเสียดสี

“คุณลูกค้าจะไปไหนหรือ” เสียงของบริกรชายดังแว่วในหูเวนเดลล์

ร่างของเวนเดลล์ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบรรจงหันหลังกลับไปอย่างเชื่องช้า และได้พบกับประตูไม้ซึ่งเขียนว่า ‘ห้องบริการ’ กำลังเปิดออก บริกรชายคนหนึ่งยืนอยู่ในเงาของประตู

มันยิ้มและกล่าวอย่างเยือกเย็น

“ผมลืมของสำคัญไว้บนรถไฟ กลัวว่าจะถูกขโมย จึงต้องรีบกลับทันที”

กล่าวจบ มันรำพันเสียงเบา

“เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นในโรงแรม ผมนอนไม่หลับ ไม่อยากพักที่นี่แล้ว”

“ต้องขอประทานโทษด้วยครับ” บริกรคำนับเล็กน้อย

“ผมจะไม่แพร่งพรายออกไป” เวนเดลล์ผงกศีรษะพลางให้สัญญา จากนั้นก็หันหลังกลับและเดินไปทางบันได

อาจเป็นเพราะมีแสงน้อย ทุกย่างก้าวของมันเป็นไปอย่างระมัดระวัง ราวกับกำลังเดินบนขอบผา

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว เวนเดลล์ซึ่งคอยระแวงบริกรชายด้านหลัง ในที่สุดก็กลับลงมาถึงชั้นหนึ่ง

ปัจจุบัน ไม่มีใครอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมแม้แต่คนเดียว ทุกสิ่งถูกปกคลุมในความมืด แสงสว่างจากภายนอกช่วยให้เห็นเพียงเค้าโครงอย่างคลุมเครือ ดูราวกับเป็นสัตว์ประหลาดที่จ้องจะกินคน

เวนเดลล์มองตรงไปข้างหน้า เดินผ่านห้องโถงมืดจนกระทั่งถึงประตู

ขณะผลักประตูออก มันได้ยินเสียงกรอบแกรบดังมาจากด้านหลัง คล้ายกับเสียงหนูเพ่นพ่าน หรือไม่ก็เสียงคนย่อง

สมองเวนเดลล์ปั่นป่วนอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ห้ามใจไม่ให้วิ่งหนี ทำเพียงแหงนมองท้องฟ้าที่ฝนหยุดตกแล้ว

ถัดมา มันสูดอากาศเย็นๆ และสดชื่น จับทิศทางสักพักก่อนจะหันหน้าไปทางสถานีรถไฟ

ความเร็วในการก้าวเดินค่อยๆ เพิ่มขึ้น คล้ายกับคนกลัวความมืดและอยากถึงจุดหมายเต็มที

เดินและเดิน จนกระทั่งเวนเดลล์เห็นป้ายหนึ่งตรงมุมหางตา

“สำนักงานโทรเลขยูโทเปีย”

สำนักงานโทรเลข… บางที หากลอบเข้าไปส่งโทรเลขถึงสำนักงานใหญ่ในเบ็คลันด์หรือฐานทัพอิสเคอร์เซ่นได้ พวกเขาอาจส่งครึ่งเทพมาช่วยเราออกไป… ถ้าถูกขังอยู่ที่นี่จริงๆ นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เรารอด… เวนเดลล์เปลี่ยนแผน มันเดินเฉียงจนกระทั่งมาถึงประตูหน้าของสำนักงานโทรเลขยูโทเปีย

แต่แทนที่จะรีบหาทางลอบเข้าไป มันเพ่งสมาธิเพื่อจับความเคลื่อนไหวด้านใน

ถัดมา มันได้ยินเสียงหายใจถี่และรุนแรง

ทำเอาเวนเดลล์ที่เคยคิดว่าไม่น่าจะมีใครอยู่ข้างใน พบว่าด้านในอาจมีมากกว่าหนึ่งคน

ทันใดนั้นเอง เสียงลมหายใจได้เงียบไป

ขนทั่วร่างเวนเดลล์ลุกตั้งชันทันที

สัมผัสวิญญาณกำลังเตือนมันว่า ด้านหลังประตูสำนักงานโทรเลข มีร่างหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างเงียบงัน!

โดยไม่ลังเล เวนเดลล์เลิกคิดที่จะส่งโทรเลขทันที เพียงเดินผ่านหน้าประตูและตรงไป

ตลอดการเดินทางที่เหลือ แม้แต่เสียงลมพัดก็ทำให้เวนเดลล์ตัวสั่น กังวลว่าตนอาจเผชิญอันตรายไม่คาดฝัน

ทุกวินาทีเป็นราวกับการใช้กรรมในนรกสำหรับเวนเดลล์ จนกระทั่ง มันมาถึงด้านนอกของสถานีรถไฟและพบว่าประตูปิดอยู่

นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับมัน อันดับแรก เวนเดลล์นำร่มไปถือในมือซ้ายข้างที่ถือกระเป๋า จากนั้นก็เดินอ้อมจนพบรั้ว จึงใช้มือจับและดันตัวเองลอยขึ้น กระโดดข้ามไปอย่างง่ายดาย

จนกระทั่งฝ่าเท้าสัมผัสพื้นอย่างมั่นคง เวนเดลล์ถอนหายใจโล่งอกก่อนจะเดินไปทางชานชาลาอย่างไม่รีบร้อน

ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง

“มาทำอะไรที่นี่” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น

นิ้วเท้าเวนเดลล์พลันจิกพื้น เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนแผ่นหลัง

มันหันหลังกลับไปเชื่องช้าพลางเตรียมพร้อมรับมือเหตุไม่คาดฝัน

สิ่งแรกในการมองเห็นคือตะเกียงแก้วทรงโบราณ ตามด้วยเจ้าหน้าที่สถานีคนเดิม

เวนเดลล์ถอนหายใจพลางรำพัน

“กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ คุณไม่ควรปรากฏตัวในลักษณะเมื่อครู่… สำหรับสุภาพบุรุษ การทำให้ผู้อื่นตกใจไม่ใช่มารยาทที่ดีนัก”

“ผมไม่ใช่สุภาพบุรุษ” พนักงานสถานีตอบเสียงแห้ง

เวนเดลล์ชี้ไปยังมุมหนึ่งของชานชาลา

“ผมจะเข้าห้องน้ำ”

มันสังเกตโครงสร้างของชานชาลาเตรียมไว้นานแล้ว

“แล้วมาทำอะไรแถวนี้” เจ้าหน้าที่ถามซัก

“หลงทาง” เวนเดลล์ตอบห้วน

ถัดมา มันเลิกสนใจอีกฝ่ายและค่อยๆ เดินไปทางห้องน้ำชานชาลา

ด้านหลังเวนเดลล์ เจ้าหน้าที่สถานียืนจ้องโดยไม่กล่าวคำใด

พฤติกรรมดังกล่าวสร้างภาระทางใจให้เวนเดลล์เป็นอย่างมาก แต่มันยังคงรักษาความนิ่งของฝีก้าวเอาไว้

ภายในห้องน้ำ อาศัยแสงไฟจากโคมไฟผนัง เวนเดลล์ใช้เวลาเกือบหนึ่งนาทีเพื่อบรรเทาความเครียดในร่างกาย จึงค่อยปัสสาวะออกมา

กลับถึงรถไฟ ในที่สุดเวนเดลล์ก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมามาก สายตาของมันกวาดมองผู้โดยสารที่นอนหลับตามตำแหน่งต่างๆ บนขบวน

ตลอดไม่กี่ชั่วโมงถัดมา มันนอนไม่หลับ เพราะเอาแต่คอยเฝ้าระวังเหตุไม่คาดฝัน

เมื่อเวนเดลล์เริ่มเบลอ ท้องฟ้าสว่างขึ้นเล็กน้อย ทยอยขจัดความมืดไปทีละส่วน

สองชั่วโมงถัดมา นักท่องเที่ยวที่ค้างคืนในยูโทเปียเริ่มกลับมาทีละหนึ่ง บ้างซื้อไวน์แดงท้องถิ่นเป็นของฝาก บ้างมีสีหน้าอิดโรย คล้ายกับถูกกระทืบมาหรือไม่ก็เมาค้าง

เวนเดลล์ระแวงทุกคน แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติใด

ปู๊น!

ในที่สุด เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นอีกครั้ง หัวรถจักรไอน้ำเริ่มแล่นจากจุดหยุดนิ่ง

ท่ามกลางเสียงฉึกฉัก รถไฟออกจากสถานียูโทเปียโดยสมบูรณ์

ผ่านไปสักพัก ท้องฟ้าด้านบนมืดครึ้มอีกครั้ง แต่โชคดีที่ปราศจากพายุ เพียงไม่นาน แสงอาทิตย์ก็ทะลวงผ่านก้อนเมฆและมอบความสว่างไสวให้โลกทั้งใบ

สำหรับเวนเดลล์ เหตุการณ์นับตั้งแต่ลงจอดที่ยูโทเปียจนกระทั่งตอนนี้ ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างปรกติ หากไม่ใช่เพราะได้อ่านรายงานลับที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อ มันคงไม่ตระหนักว่ายูโทเปียเป็นเมืองที่มีปัญหา

หลังจากรถไฟแล่นมาถึงสถานีถัดไปซึ่งทุกคนคุ้นเคย เวนเดลล์ถึงคราวผ่อนคลายตัวเอง ศีรษะวิงเวียนเล็กน้อย คล้ายกับใช้พลังงานมากเกินไปในวันที่ผ่านมา

มันนึกทบทวนประสบการณ์ขณะอยู่ในยูโทเปียอีกครั้ง

ครุ่นคิดไปได้สักพัก เวนเดลล์พลันเหยียดหลังตั้งตรง

ย้อนกลับไปเมื่อคืน ในตอนที่มันอ้างกับเจ้าหน้าที่สถานีว่ามาเข้าห้องน้ำ ขณะนั้นมันถือทั้งกระเป๋าเดินทางและร่ม ดูไม่เหมือนกับผู้โดยสารที่เพิ่งลงจากรถไฟแม้แต่น้อย

แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่พบความผิดปรกติ หรืออาจค้นพบ แต่ก็ปล่อยผ่านอย่างน่าฉงน!

…………………………