บทที่ 1164 ขอยืมหมู

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,164 ขอยืมหมู

เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินเช่นนั้น มุมปากของเขาก็กระตุกระริก

ปรากฏว่าที่พวกเขาอุตส่าห์ต่อสู้กันมาแทบรากเลือดตายนี้ มันก็เป็นเพียงอีกหนึ่งร่างแยกของเว่ยหมิงเฉินเท่านั้นเองหรือ?

เช่นนี้ไม่ถูกต้อง

เหตุไฉนเว่ยหมิงเฉินถึงได้มีความเก่งกาจขนาดนั้น?

เพียงร่างแยกของเว่ยหมิงเฉินก็ทำให้พวกเขาย่ำแย่ถึงเพียงนี้ หากต้องเผชิญหน้ากับเว่ยหมิงเฉินตัวจริงขึ้นมา พวกเขาจะไม่ตายเอาหรือ?

นี่คือความรู้สึกที่น่ารำคาญใจเป็นอย่างยิ่ง

“โชคร้ายนัก แผนการอุตส่าห์ราบรื่นดีแล้ว แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวจนได้”

เม่ยฮัวโส่วเจ้าสำนักกระบี่สายฟ้าวายุอดถอนหายใจออกมาด้วยความท้อแท้ไม่ได้

“เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ เศร้าเสียใจไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา พวกเรามาวางแผนการรับมือกันดีกว่าว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไรกันต่อไป”

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

แต่ถึงอย่างไรบรรยากาศก็ยังปกคลุมด้วยความเศร้าหมองอยู่ดี

“ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าเว่ยหมิงเฉินจะแอบฝังเสี้ยววิญญาณของตนเองเอาไว้ในตัวคนจากสำนักมหากระบี่ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเล็ดลอดผ่านม่านพลังเข้ามาได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว แผนการของเราคงสำเร็จด้วยดี ต่อให้เว่ยหมิงเฉินจะระแคะระคายเรื่องนี้ในภายหลัง แต่เขาก็คงไม่มีหลักฐานมาเอาผิดพวกเราได้…”

เม่ยหลินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บใจ

นี่นับว่ามนุษย์ลงมือทำ สวรรค์กำหนดผลลัพธ์โดยแท้จริง

แม้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะกำจัดสมาชิกระดับสูงของสำนักมหากระบี่ สำนักกระบี่มายา สำนักกระบี่กระดูกขาว และสำนักกระบี่สนธยาได้เป็นจำนวนมาก แต่ฝ่ายพวกเขาเองก็สูญเสียไม่ใช่น้อยเช่นกัน

เจ้าสำนักกระบี่กังวานเจิ้นหรู่หลงตายในการต่อสู้ ท่านเจ้าเมืองไป๋หยุนฉู่อวิ๋นซุนตายในการต่อสู้ ฮั่วเฟยฮัวเจ้าสำนักคฤหาสน์กำยานได้รับบาดเจ็บสาหัส… กล่าวได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็สูญเสียกันอย่างใหญ่หลวงทั้งคู่

แต่ปัญหายังไม่จบสิ้น

คำว่า ‘การล่าได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว’ ของเว่ยหมิงเฉินนั้น คือสิ่งที่ข่มขู่คุกคามจิตใจของทุก ๆ คนทำให้หายใจอย่างติดขัดไม่สะดวกปลอดโปร่ง

ลำพังร่างแยกของเว่ยหมิงเฉินก็น่ากลัวมากแล้ว

นี่ยังไม่นับขุมกำลังของวิหารเทพพงไพรที่กระจายตัวอยู่ทั่วแผ่นดินตงเต้ามาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน…

ไม่ว่ากวาดสายตามองไปยังแห่งหนใด ล้วนเป็นพื้นที่ของศัตรูทั้งสิ้น

ในโลกที่แสนกว้างใหญ่แห่งนี้ ดูเหมือนจะไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเขาเสียแล้ว

หลินเป่ยเฉินหันหน้ามองกลับไปที่นักพรตหญิงชิน

นางคือความหวังของเขา

เขาต้องกอดขานางให้แน่น อย่าได้ปล่อยเด็ดขาด

ทว่า ในบรรยากาศแห่งความเงียบงันนั้น ความเปลี่ยนแปลงได้บังเกิดขึ้น

ในอากาศธาตุเหนือบ่อลาวา อยู่ดี ๆ ก็มีมือของใครคนหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากกลางอากาศราวกับทะลวงแผ่นกระดาษฉีกกระชากมวลอากาศให้แยกออกจากกัน

บัดนี้ หัวใจของทุกคนเต้นรัวเร็วด้วยความตื่นตระหนก พลังลมปราณในร่างกายโคจรเต็มอัตรา เตรียมตัวพร้อมสำหรับการต่อสู้

อีกแล้วหรือ?

อย่าบอกนะว่าเว่ยหมิงเฉินกลับมาอีกครั้ง?

แต่จะรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

ทันใดนั้น ศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นผมสีขาวยุ่งเหยิงก็โผล่พ้นออกมาจากช่องว่างในอากาศ

ตามมาด้วยไม้เท้าไม้ไผ่ด้ามหนึ่ง

และขวดน้ำเต้าขวดหนึ่ง

“ผู้อาวุโสฉี”

เม่ยหลินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ทุกคนเพ่งตามอง เมื่อยืนยันจนแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายคือผู้อาวุโสฉีจริง ๆ พวกเขาถึงได้กลับมาหายใจหายคออย่างเป็นปกติอีกครั้ง

“เอ่อ…”

เมื่อผู้อาวุโสฉีเห็นความเละเทะในสุสานใต้ดินและอาการบาดเจ็บของทุกคน ชายชราก็แสดงสีหน้ารู้สึกผิดออกมาเล็กน้อย “ดูเหมือนข้าคงมาช้าเกินไปกระมัง?”

ทุกคนนิ่งเงียบ

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดนามแม่นางหลินเดินเข้าไปกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ท่านยังจะมีหน้ามาพูดอีกหรือ? หน้าที่ของท่านคือรั้งตัวเว่ยหมิงเฉินไว้ให้ได้นานที่สุดไม่ใช่รึ? แล้วเหตุไฉนเขาถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้? หากท่านนักบวชชินไม่ได้มาช่วยเหลือพวกเราทันเวลา ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็คงตายกันไปหมดแล้ว”

“เอ่อ คือว่า…”

ผู้อาวุโสฉีหน้าแดงก่ำ ละล่ำละลักตอบว่า “เป็นเราผู้เฒ่าถูกเด็กผู้นั้นหลอกลวงเอง เด็กผู้นั้นเจ้าเล่ห์ร้ายกาจมากเกินไป เราผู้เฒ่าไม่ทันระวังตัว…”

แผนการในวันนี้ ผู้อาวุโสฉีต้องรับหน้าที่สำคัญที่สุด

แต่กลายเป็นว่าชายชราก่อความผิดพลาด

“ระดับพลังของเขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อน”

นักพรตหญิงชินพลันพูดขึ้นมา “เขาสามารถฟื้นฟูพลังขึ้นมาได้เร็วกว่าที่เราคิด ดังนั้นเรื่องนี้ข้าไม่โทษผู้อาวุโสฉีหรอก”

“ท่านนักบวชชินกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”

เมื่อเห็นเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกสงสัยในอะไรบางอย่างขึ้นมาเล็กน้อย

สังเกตจากกิริยาท่าทางของผู้อาวุโสฉีแล้ว เขาน่าจะมีสถานะต่ำต้อยกว่าสตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดและนักพรตหญิงชินอยู่พอสมควร มิเช่นนั้น ก็คงไม่ต้องรีบอธิบายด้วยความรู้สึกผิดเช่นนี้หรอก…

ความสัมพันธ์ระหว่างคนกลุ่มนี้ช่างซับซ้อนนัก

“พวกเราอย่าเพิ่งแตกตื่นกันเลยดีกว่า”

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสฉี ก่อนจะหันกลับมากวาดสายตามองหน้าทุกคน

และนางก็กล่าวต่ออย่างแช่มช้าว่า “นับตั้งแต่วันแรกที่เราวางแผนการครั้งนี้ขึ้นมา พวกท่านก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าถึงอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึง ต่อให้แผนการในครั้งนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่นจนถึงที่สุด แต่เราก็คงไม่สามารถปิดบังการสังหารคนของสำนักมหากระบี่ได้ตลอดไป สุดท้ายแล้ว ทางวิหารเทพพงไพรก็จะค้นพบเรื่องนี้อยู่ดี ดังนั้นพวกท่านยังจะมาเสียเวลาวิตกกังวลกันอยู่ทำไมอีก?”

เมื่อได้รับฟังคำพูดของสตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาด สภาพจิตใจของทุกคนก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาเล็กน้อย

สิ่งที่นางพูดออกมานั้นไม่ผิดจากความเป็นจริง

นี่คือสิ่งที่พวกเขาเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้วตั้งแต่แรก

ในปัจจุบันนี้ วิหารเทพพงไพรขยายอำนาจกดขี่ผู้คน กฎเหล็กของพวกเขาคือหากผู้ใดลุกขึ้นต่อต้าน ผู้นั้นก็จะต้องตาย

หลินเป่ยเฉินเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแล้ว

เขาชอบใจในคำพูดของสตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดผู้นั้น

คำพูดของนางสามารถถอดความหมายได้ว่า…

คนเราจะตายช้าตายเร็ว อย่างไรก็ต้องตายเหมือนกัน

ดังนั้น ก่อนตายสู้เอาเวลามาใช้ให้เป็นประโยชน์ไม่ดีกว่าหรือ?

นับว่าสตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดผู้นี้มีศิลปะในการพูดคุยใช้ได้ทีเดียว…

แต่ประเด็นสำคัญก็คือนางเป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่ง

เมื่อได้รับฟังสิ่งที่สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดกล่าวออกมา สีหน้าของทุกคนก็กลับกลายเป็นสงบสุขุมมากขึ้น

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดกล่าวต่ออีกครั้ง “แต่ที่สำคัญก็คือหากครั้งนี้เราสามารถหลอมรวมพลังวิเศษจากเผ่าปีศาจจันทราทมิฬได้สำเร็จ นั่นก็จะช่วยทำให้โอกาสที่เราจะชนะในสงครามนี้มีมากขึ้น”

หลังได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของทุกคนก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ไม่เลวเลย

การลงทุนลงแรงของพวกเขาในครั้งนี้ใช่ว่าจะสูญเปล่า

“ต้องใช้เวลาอีกนานเพียงใดกว่าที่การหลอมรวมพลังจะเสร็จสิ้น?”

ฮั่วเฟยฮัวถามออกมา

“คงอีกไม่นานแล้ว”

นักพรตหญิงชินจ้องมองไปยังทิศทางของบ่อลาวาใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดิน สีหน้าของนางปรากฏให้เห็นเด่นชัดถึงความคาดหวังอันสูงส่ง

“หากเป็นเช่นนั้น พวกเราสมควรอยู่ที่นี่เพื่อเฝ้ารอให้จอมมารแห่งเผ่าปีศาจจันทราทมิฬหลอมรวมพลังสำเร็จก่อนหรือไม่?”

เม่ยหลินถามสิ่งที่อยู่ในใจใครหลายคนออกมา

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดส่ายหน้า “ไม่จำเป็น แค่ให้ท่านนักบวชชินกับหลินเป่ยเฉินอยู่กันสองคนก็พอแล้ว บัดนี้ เมืองไป๋หยุนคือหนึ่งในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพวกเรายังมี…”

พูดมาถึงตรงนี้ นางก็หันมามองทางพวกของเม่ยฮัวโส่ว ฮั่วเฟยฮัวและคนอื่น ๆ ก่อนกล่าวต่อ “แต่ที่สำคัญก็คือสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว พวกเราควรเตรียมรับมือให้ดี ผู้นำเม่ย เจ้าสำนักฮั่ว พวกท่านรีบกลับไปที่สำนักของตนเองและเคลื่อนย้ายผู้คนให้เร็วที่สุด อพยพคนในสำนักของพวกท่านมายังหุบเขาที่พวกเราได้สร้างค่ายอาคมเอาไว้ เรื่องราวครั้งนี้ล่าช้าเพียงหนึ่งวัน ก็ถือว่าอันตรายใหญ่หลวงมากแล้ว”

“รับทราบแล้ว”

เม่ยฮัวโส่วพยักหน้าก่อนจะสูดหายใจลึกและโคจรพลังลมปราณเยียวยาอาการบาดเจ็บของตนเองต่อจากเดิม

ฮั่วเฟยฮัวเองก็พยักหน้าเช่นกัน “ใช่แล้ว แม้ว่าการประลองกระบี่จะยังไม่จบ แต่ก็คงแข่งขันกันต่อไปอีกไม่ได้ พวกเราต้องรีบกลับ… ท่านเจ้าเมืองหลิน พวกเราคงต้องรบกวนขอความช่วยเหลือจากท่านสักเล็กน้อย”

“หา?”

หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยงและถามว่า “ข้าสามารถช่วยเหลือพวกท่านได้ด้วยหรือ?”

ฮั่วเฟยฮัวกล่าวโดยไม่เกรงใจ “พวกเราอยากขอยืมหมูของท่าน”

ว่าไงนะ?

หลังจากขมวดคิ้วขบคิดเล็กน้อย เด็กหนุ่มถึงได้เข้าใจ

ฮั่วเฟยฮัวต้องการจะขอยืม ‘หมูบินได้’ ของเขานั่นเอง

พวกมันทั้งสี่ตัวเคยเป็นสัตว์เลี้ยงของเผ่าอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็ก แต่หลินเป่ยเฉินก็นำมาเลี้ยงดูต่อเมื่อสังหารเจ้านายเก่าของมันหมดสิ้น พวกมันเป็นสัตว์อสูรที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วสูง หากนำมาใช้ในการเดินทาง ย่อมประหยัดเวลาไปได้เยอะ

“หมูเหล่านั้นเป็นของอาจารย์ข้าขอรับ”

หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิดเล็กน้อย ก็หันหน้ามองไปที่ลู่กวนไห่และกล่าวว่า “บัดนี้อาจารย์ของข้าไม่อยู่ ไม่ทราบว่าอาจารย์อาเล็กมีอะไรจะกล่าวไหมขอรับ?”

อาจารย์อาเล็ก?

ทุกสายตาหันขวับจ้องมองไปที่ลู่กวนไห่

ทันใดนั้น ใบหน้าขาวเนียนแสนเย็นชาของลู่กวนไห่ก็มีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาอย่างชัดเจน