บทที่ 596.1 สิบเซียนกระบี่บนยอดเขาของกำแพงเมืองปราณกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ฟ่านต้าเช่อที่วันนี้ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ กำลังนั่งเหม่อลอยขณะที่ดื่มเหล้าอยู่ในร้านเหล้า

เฉินซานชิวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร เขาเองก็บาดเจ็บไม่น้อย

ตกลงกันไว้แล้วว่าห้าคนร่วมแรงกันล้อมสังหารเซียนกระบี่น่าหลันเย่สิงในฟ้าดินขนาดเล็กเมล็ดงาซึ่งเป็นลานฝึกวรยุทธ

ผลกลับกลายเป็นว่านอกจากเฉินผิงอันแล้ว เฉินซานชิว เยี่ยนจั๋ว ต่งฮว่าฝู บวกกับฟ่านต้าเช่อที่เป็นตัวถ่วงที่สุดล้วนไม่มีใครมีจุดจบที่ดี ต่างกันแค่ว่าใครบาดเจ็บมาก ใครบาดเจ็บน้อยเท่านั้น

เยี่ยนจั๋วกลับไปฝึกกระบี่ต่อ ต่งถ่านดำก็ไม่รู้ว่าไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่ไหน จากนั้นก็คงจะกินๆ ดื่มๆ ซื้อนั่นซื้อนี่ แต่สรุปแล้วก็คือบัญชีทั้งหมดล้วนลงไว้ในนามเฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วทั้งสิ้น

ฟ่านต้าเช่อเอ่ย “ซานชิว อยู่ดีๆ ข้าก็เริ่มกลัวว่าจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองซะแล้ว กลายเป็นโอสถทองก็จะไม่มีอาจารย์กระบี่คอยปกป้องอยู่ข้างกายอีก”

เฉินซานชิวยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ดีกว่าเจ้าหน่อย มาเกิดในครรภ์ที่ดี แซ่สกุลใหญ่ ในบ้านมีเงินมีคน ต่อให้กลายเป็นโอสถทองแล้วก็ยังมีอาจารย์กระบี่ของตระกูลคอยคุมหลังให้ ดีใจ ดีใจจริงๆ ข้าจะดื่มก่อนล่ะ”

แล้วเฉินซานชิวก็ยกชามเหล้าของตัวเองดื่มไปก่อนหนึ่งอึกจริงๆ

ทุกวันนี้เฉินซานชิวเองก็ค้นพบแล้วว่า ยามพูดคุยกับสหายที่จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผมอย่างฟ่านต้าเช่อ ไม่สู้พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่จำเป็นต้องสนใจความรู้สึกของอีกฝ่ายให้มากเกินไปนัก

ฟ่านต้าเช่อหัวเราะตามไปด้วย ก่อนจะเอ่ยว่า “เฉินผิงอันรับปากว่าศึกใหญ่ครั้งถัดไป ข้าจะติดตามพวกเจ้าออกจากหัวกำแพงเมืองด้วย ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็คืออาจารย์กระบี่ของข้าไงล่ะ”

ฝึกกระบี่บนลานประลองยุทธมาหลายครั้งขนาดนี้ ต่อให้ฟ่านต้าเช่อจะโง่แค่ไหนก็ยังพอจะมองความตั้งใจบางอย่างของเฉินผิงอันออก นอกจากจะช่วยขัดเกลาขอบเขตให้ฟ่านต้าเช่อแล้ว ยังต้องการให้ทุกคนร่วมมือกันอย่างคุ้นเคย เพื่อที่ว่าทุกคนจะได้รอดชีวิตท่ามกลางการเข่นฆ่าครั้งถัดไป ขณะเดียวกันก็พยายามสังหารปีศาจให้ได้มากขึ้น

เฉินซานชิวยกชามเหล้าขึ้นมาชนกับฟ่านต้าเช่อเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเจ้าฟ่านต้าเช่อร้ายกาจ ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ทำให้เฉินผิงอันกลายมาเป็นองค์รักษ์ของตัวเองได้”

ฟ่านต้าเช่อรินเหล้าอีกชาม เช็ดปากแล้วเอ่ยว่า “พอคิดแบบนี้ก็รู้สึกเต็มใจอยากจะเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้ว”

ฟ่านต้าเช่อกดเสียงลงเอ่ยว่า “ตอนนี้เฉินผิงอันเป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตห้าแล้ว อีกทั้งยังมาฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่พอดี เหตุใดตัวเขาเองไม่มาโพนทะนาที่ร้านเหล้าบ้างเลย?”

เฉินซานชิวยิ้มกล่าว “คาดว่าคงอายเกินกว่าจะป่าวประกาศกระมัง เพราะถึงอย่างไรก็ยังไม่เป็นขอบเขตถ้ำสถิตเลย”

ฟ่านต้าเช่อส่ายหน้า “เขามีอะไรให้ต้องอายกัน”

ก่อนหน้านี้มาดื่มเหล้าด้วยกันที่นี่ เฉินผิงอันลุกขึ้นดื่มคารวะลูกค้าทุกคน พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังดีว่า เซียนกระบี่ทุกท่าน เหตุใดพวกเจ้ายังไม่ฝ่าทะลุขอบเขตกันเสียที ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก เรื่องแบบนี้มีอะไรให้ต้องเกรงใจกัน ดื่มเหล้าที่ถูกที่สุด กินบะหมี่หยางชุนที่อร่อยที่สุดและผักดองที่ไม่เก็บเงินของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปแล้ว แล้วยังไม่ฝ่าทะลุขอบเขตเสียที นี่ก็เท่ากับว่านั่งยองในห้องส้วมแล้วไม่ยอมขี้เลยนะ พวกเจ้าไม่รู้สึกผิดต่อเหล้า ต่อคำโคลงคู่และคำกลอนของร้านข้าหรือ? หากพวกเจ้าไม่มานะยิ่งกว่านี้ วันหน้าคนโสดที่มาดื่มเหล้าที่นี่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มเหมือนกันหมดทุกคน!

ตอนนั้นพวกนักดื่มฟังจนอึ้งงันกันไปหมด รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็ดูเหมือนว่าหากจะคิดเป็นจริงเป็นจัง ยกตัวอย่างเช่นพูดกระทบกระเทียบประโยคว่านั่งยองในห้องส้วมแล้วไม่ขี้นั้น คนที่เสียเปรียบกลับจะกลายเป็นตัวเอง

อันที่จริงเรื่องพวกนี้ยังถือว่าดี เรื่องที่ทำให้คนเต้นผางอยากด่ามารดามากที่สุดยังเป็นเรื่องที่เดิมพันกันว่าต่งฮว่าฝูจะควักเงิน พวกนักพนันน้อยใหญ่แทบไม่มีใครที่ชนะการเดิมพันได้ แรกเริ่มทุกคนยังอารมณ์ดีกันอยู่มาก เพราะถึงอย่างไรเถ้าแก่รองกับเจ้าอ้วนน้อยตระกูลเยี่ยนก็ต้องเสียเงินมากมายเป็นเพื่อนพวกเขาเหมือนกัน ภายหลังผังหยวนจี้ที่เป็นคนเดียวซึ่งถือว่าลงเดิมพันชนะมาดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าด้วยรอยยิ้มเบิกบาน ดังนั้นทุกคนจึงค่อยๆ เริ่มตระหนักได้ บวกกับที่นึกขึ้นมาได้ว่าตาเฒ่าก่อกำเนิดที่เป็นเจ้ามือก็เป็นคนเดียวกับเจ้าตะพาบที่ก่อนหน้านี้อยู่ดีๆ ก็แต่งบทกวีขึ้นมาได้ไม่ใช่หรือ

เจ้าชาติสุนัข ช่างทำได้อย่างคล่องแคล่วคุ้นเคยนัก!

ดังนั้นวันนี้เฉินผิงอันจึงไม่ได้ตามเฉินซานชิวและฟ่านต้าเช่อไปดื่มเหล้าที่ร้าน แต่ไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แทน

ระหว่างที่เดินทางไป เฉินผิงอันที่หลังจากแบ่งส่วนแบ่งแล้วก็ยังได้เงินฝนธัญพืชมาหลายเหรียญตั้งใจไว้ว่าจะต้องเปลี่ยนคนที่มาเป็นเจ้ามือในคราวหน้า ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่เถาเหวิน เพราะมองดูแล้วเหมือนเป็นคนซื่อ

ไปถึงหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันไม่ได้บังคับเรือยันต์ให้หยุดลงข้างกายของศิษย์พี่โดยตรง แต่เลือกจะเดินเท้าไปอีกร้อยกว่าลี้

ระหว่างนี้ก็เจอเด็กๆ ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างกลุ่มหนึ่งที่กำลังฝึกกระบี่อยู่กับผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง

มองดูการฝึกกระบี่ที่เป็นเช่นนี้ ไม่มีข้อห้ามใดๆ

เฉินผิงอันนั่งลงบนหัวกำแพงเมือง มองดูอยู่ไกลๆ ห่างไปไม่ไกลมีเด็กตัวเท่าก้นเจ็ดแปดคนกำลังโต้เถียงกัน กำลังเถียงกันเรื่องที่ว่าต้องมีหลินจวินปี้กี่คนกันแน่ถึงจะเล่นงานเถ้าแก่รองคนหนึ่งได้พอดี

เด็กที่ขึ้นมาเล่นบนหัวกำแพงเมืองได้ อันที่จริงล้วนไม่ธรรมดา หากไม่รวยก็ต้องเป็นชนชั้นสูง หรือไม่ก็มีคุณสมบัติของการฝึกกระบี่มาตั้งแต่ก่อนกำเนิด

เด็กๆ ที่อยู่ในตรอกอย่างตรอกเหยียนชือ ตรอกหลิงซีจะไม่มีทางมาที่นี่ หนึ่งเพราะตัวนครอยู่ห่างจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไกลเกินไป เด็กๆ ชาวบ้านธรรมดามีกำลังเท้าไม่มากพอ นอกจากนี้บนหัวกำแพงเมืองก็มีปณิธานกระบี่หนักเกินไป ปราณกระบี่เข้มข้นเกินไป พวกเด็กๆ ร่างกายอ่อนแอ ไม่อาจแบกรับความทรมานเช่นนี้ได้

นี่ก็คือชีวิตคน คนบางคนเป็นเหมือนปลาได้น้ำมาตั้งแต่เด็ก แต่คนบางคนยิ่งเติบใหญ่กลับเหมือนจมน้ำลึกไม่ก็ตกอยู่ท่ามกลางกองเพลิง

มีเด็กคนหนึ่งหันมาเห็นเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงตะโกนขึ้นมาว่า “เถ้าแก่รอง เจ้าลองบอกหน่อยว่าเจ้าสามารถจัดการหลินจวินปี้ห้าคนได้ด้วยฝ่ามือเดียวหรือไม่ หากเจ้าพยักหน้าตอบตกลง วันหน้าเจ้าก็จะกลายเป็นเพื่อนของข้าหยวนจ้าวฮว่าแล้ว!”

เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้ามา เพียงแค่โบกมือบอกเป็นนัยให้เขาไสหัวไป

เด็กน้อยที่ชื่อน่าสนใจไม่น้อยคนนั้นยังไม่ยอมถอดใจ ถามต่ออีกว่า “สามคนล่ะ? สามคนก็น่าจะได้แล้วกระมัง?!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เคยสู้กับเขา ไม่รู้เหมือนกัน”

หยวนจ้าวฮว่าตะโกนว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยเขียนจดหมายท้ารบฉบับหนึ่งให้เจ้าดีไหม? บอกว่าเถ้าแก่รองคิดจะใช้ฝ่ามือข้างเดียวท้ารบกับทุกคนซึ่งมีทั้งหลินจวินปี้ เหยียนลวี่และเจี่ยงกวนเฉิงเป็นหนึ่งในนั้น!”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน พุ่งวูบมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กคนนั้นที่ยืนเอาสองมือเท้าเอว แล้วเขาก็ต้องอึ้งตะลึงไป ที่แท้ก็เป็นเด็กผู้ชายตัวปลอม เขาจึงจับศีรษะของนางแล้วบิด ยกเท้าถีบเข้าที่ก้นของนางเบาๆ “ไปไหนก็ไปเลย เจ้าเขียนหนังสือเป็นหรือ ถึงได้บอกว่าจะเขียนจดหมายท้ารบน่ะ”

หยวนจ้าวฮว่ายืนได้มั่นคงแล้วก็พูดอย่างมีโทสะว่า “ข้ารู้จักตัวอักษรมากพอก็แล้วกัน! มีความรู้มากกว่าเจ้าเยอะเลยล่ะ!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แล้วคำว่าขี้โม้ล่ะ เขียนเป็นหรือไม่?”

หยวนจ้าวฮว่าเอ่ย “เขียนเป็น แต่ข้าไม่เขียน อันที่จริงตัวเจ้าเขียนไม่เป็น เลยอยากจะให้ข้าสอนเจ้าใช่ไหมล่ะ? ฝันไปเถอะ!”

เห็นได้ชัดว่านางเป็นหัวโจกของกลุ่ม เด็กๆ คนอื่นจึงทำท่าเหมือนมีศัตรูร่วมกัน พากันคล้อยตามหยวนจ้าวฮว่า

เฉินผิงอันนั่งแปะลงไปบนพื้น หันหน้าไปทางนครที่อยู่ทางเหนือ บิดหมุนฝ่ามือหยิบใบไผ่ใบหนึ่งออกมาเป่าเป็นเพลง

หยวนจ้าวฮว่าฟังแล้วก็เอ่ยอย่างไม่ใยดีว่า “ไม่เห็นจะเพราะเลย”

พวกเด็กๆ คนอื่นจึงได้แต่พยักหน้ารัวๆ เป็นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก

หยวนจ้าวฮว่าเห็นว่าเฉินผิงอันไม่ต่อปากต่อคำก็ให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาเพียงแค่ใช้สองมือตบลงบนหัวเข่าเบาๆ สายตามองไปยังทิศไกล เหนือไปกว่านคร ที่นั่นก็คือหอมายาที่การค้ารุ่งเรือง มีปลาและมังกรปะปนกัน

เฉินผิงอันพลันยิ้มถามว่า “พวกเจ้าคิดว่าตอนนี้เซียนกระบี่สิบคนไหนที่ร้ายกาจที่สุด? ไม่ต้องจัดอันดับก่อนหลัง”

หยวนจ้าวฮว่ากลอกตามองบน “หากไม่มีลำดับก่อนหลังแล้วยังจะพูดกับผายลมทำไม ไม่มีความหมาย เจ้าเดาเอาเองเถอะ”

เฉินผิงอันคิดจะลุกขึ้นไปฝึกกระบี่

ตอนนี้เรียนกระบี่กับศิษย์พี่ค่อนข้างผ่อนคลาย ใช้กระบี่บินสี่เล่มมาต้านทานปราณกระบี่ ก็แค่ตายน้อยครั้งลงเท่านั้น

หยวนจ้าวฮว่ายื่นมือออกมา “เฉินผิงอัน หากเจ้ามอบพัดพับอันหนึ่งให้ข้า ข้าก็จะเปิดเผยความลับสวรรค์ให้เจ้ารู้”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดีดลูกคิดคำนวณได้เก่งเลยนี่นา”

หยวนจ้าวฮว่ากางมือสองข้างออกมาขัดขวางไม่ให้เฉินผิงอันจากไป พูดด้วยสีหน้าดื้อดึงว่า “เร็วเข้า! จะต้องเป็นพัดอันที่ตัวอักษรเขียนได้สวยที่สุดแล้วก็เยอะที่สุดด้วย!”

เดิมทีเฉินผิงอันไม่คิดจะสนใจ แต่จู่ๆ นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงนั่งกลับลงไป เอ่ยว่า “เจ้าพูดมาก่อน แล้วค่อยดูที่อารมณ์ของข้า”

หยวนจ้าวฮว่าพูดรัวเร็วดุจเทถั่วเหลืองออกจากกระบอกไม้ไผ่ “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ต่งซานเกิง อาเหลียง ใต้เท้าอิ่นกวาน เฉินซี ฉีถิงจี้ จั่วโย่ว น่าหลันเซาเหว่ย เฒ่าหูหนวก เฉินจือ สิบคนนี้แหละ! เอาพัดมาเร็ว!”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน แล้วก็เอาพัดพับไผ่หยกอันหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อจริงๆ เขาตบมันลงบนฝ่ามือของเด็กชายตัวปลอมผู้นี้ “จำไว้ว่าเก็บไว้ให้ดี มันมีค่าหลายเหรียญเงินเทพเซียนเลยนะ”

หยวนจ้าวฮว่าคลี่พัดออก นางชอบมันมาก เพียงแต่ว่าตัวอักษรบนหน้าพัดน้อยไปหน่อย นางรู้จักแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น จึงเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “เปลี่ยนอันใหม่ ข้าต้องการอันที่มีตัวอักษรมากหน่อย”

เฉินผิงอันกดศีรษะเล็กๆ ของนางอีกครั้ง แล้วจึงบิดเบาๆ หันศีรษะของนางไปอีกด้าน ยิ้มเอ่ยว่า “แม่หนูน้อยอย่างเจ้ากล้าต่อรองราคากับข้าด้วยหรือ? หยุดแต่พอสมควรเถิด ไม่อย่างนั้นระวังว่าข้าจะเปลี่ยนใจ”

หยวนจ้าวฮว่าหุบพัดพับในมือ เดินอ้อมไปด้านหลังแล้วเอื้อมมือออกมาอีก “ถ้าอย่างนั้นข้าจะซื้อพัดอีกอันที่มีตัวอักษรมากที่สุดจากเจ้า!”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “แล้วเงินล่ะ?”

หยวนจ้าวฮว่าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ต่งซานเกิง อาเหลียง ใต้เท้าอิ่นกวาน เฉินซี ฉีถิงจี้ จั่วโย่ว น่าหลันเซาเหว่ย เฒ่าหูหนวก เฉินจือ นับตั้งแต่วันนี้ไปรวมเถ้าแก่รองเฉินผิงอันเข้าไปอีกคน! นี่ก็คือเซียนกระบี่ใหญ่สิบเอ็ดคนที่แข็งแกร่งที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่เรา!”

เฉินผิงอันหัวเราะชอบใจ มอบพัดพับที่มีตัวอักษรเยอะมากจริงๆ ให้นางอีกอันหนึ่ง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “แม่หนูน้อยใช้ได้เลยนี่นา หลอกเอาเงินไปจากข้าได้ เจ้าคือคนแรกของกำแพงเมืองปราณกระบี่เลย”

หยวนจ้าวฮว่าหรือจะสนใจ ‘ชื่อเสียงจอมปลอม’ นี้ เวลานี้มือทั้งสองข้างของนางล้วนมีพัดพับอยู่ข้างละหนึ่งอัน นางดีใจอย่างมาก แล้วจู่ๆ นางก็พลันกดเสียงต่ำถามด้วยน้ำเสียงปรึกษาหารือ “เจ้ามอบให้ข้าอีกสักอันสิ ตัวอักษรน้อยหน่อยก็ไม่เป็นไร ข้าสามารถจัดเจ้าอยู่ในอันดับสิบคนแรก หรือห้าคนแรกก็ยังไม่มีปัญหา!”

น่าเสียดายที่เถ้าแก่รองผู้โง่งมคนนั้นได้ยิ้มเดินจากไปแล้ว

แต่ก่อนจะจากไปเขาหยิบตราประทับเล็กๆ ชิ้นหนึ่งขึ้นมาเป่าลมใส่ บอกให้หยวนจ้าวฮว่ามอบพัดพับอันที่มีตัวอักษรน้อยให้เขา แล้วประทับตราลงไปเบาๆ ครั้นจึงมอบพัดพับคืนให้แม่นางน้อย

ทำเอาพวกเด็กๆ กลุ่มใหญ่หันมามองหน้ากันเอง

เมื่อเฉินผิงอันเดินจากไป และพอถ่ายทอดวิชากระบี่เสร็จ เซียนกระบี่ก่อกำเนิดผู้เฒ่าคนนั้นก็เดินเข้ามาหากลุ่มเด็กๆ

หยวนจ้าวฮว่ากำลังฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพง ด้านหน้าวางพัดพับสองอันที่คลี่กางออก พยายามจะอ่านตัวหนังสือพวกนั้นให้ออก แน่นอนว่านางชอบพัดอันที่เขียนตัวอักษรไว้แน่นขนัดมากกว่า เพราะมองดูแล้วน่าจะแพงกว่า

แต่ผู้เฒ่ากลับค้อมตัวลงมองพัดอันที่มีตัวอักษรน้อยกว่า แล้วก็หลุดหัวเราะพรืด

‘เรื่องดีๆ ส่วนใหญ่มักดำรงอยู่ได้ไม่นาน ก้อนเมฆงดงามแยกสลายได้ง่าย แก้วใสแวววาวเปราะบางแตกง่าย’

‘ก้อนเมฆงดงามแยกสลายได้ง่ายยังหวนคืนมาได้อีกครั้ง จิตใจเหมือนแก้วใสแวววางเปราะบางแต่ยังไม่แตก’

ประโยคแรกนั้นเป็นบทกวีที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในใต้หล้าไพศาล

ประโยคหลังนั่นเหมือนเอาหางหมามาต่อหางเตียว จับโน่นจับนี่มาผสมกันมั่ว สองประโยคหน้าหลังความหมายต่างกันไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ น่าจะเป็นคนหนุ่มผู้นั้นที่แต่งขึ้นมาเองอย่างส่งเดช

แต่ถึงอย่างไรก็มีความหมายดี ช่วยแก้ไขความหมายที่เศร้าสร้อยของประโยคแรก พูดได้แค่ว่ามีความตั้งใจที่ไม่เลว แค่นี้เท่านั้น