บทที่ 596.2 สิบเซียนกระบี่บนยอดเขาของกำแพงเมืองปราณกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เซียนกระบี่ผู้เฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที พลันย่อตัวลงมองตราประทับสีชาดที่ไม่สะดุดตาแล้วก็หลุดหัวเราะ น่าสนใจไม่น้อย

ตราประทับนั้นคือคำว่า ‘โลกมนุษย์มีการจากลามากมาย กระจกแตกก็กลับมากลมอีกครั้ง’

พอคิดถึงชาติกำเนิดของแม่หนูน้อยหยวนจ้าวฮว่าผู้นี้ บิดาที่เดิมทีมีหวังว่าจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนรบตายอยู่บนสนามรบทางทิศใต้ เหลือแค่มารดาที่มีชีวิตพึ่งพากันและกัน ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็เงยหน้ามองแผ่นหลังของคนหนุ่มที่เดินจากไปไกลผู้นั้น

ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ยังแตกต่างไปจากบัณฑิตของสำนักศึกษาและสถานศึกษาที่เคยมาเยือนที่นี่อยู่ดี

ไม่ได้บอกว่าพวกเขาไม่ยินดีทำอะไร แต่ทุกคนกลับต้องมีจุดจบที่ชนกับกำแพงแทบทุกหนทุกแห่ง นานวันเข้าก็หมดอาลัยตายอยาก หวนกลับคืนสู่ใต้หล้าไพศาลด้วยความหม่นหมอง

เฉินผิงอันไปถึงจุดที่จั่วโย่วอยู่

จั่วโย่วถาม “ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าแล้ว”

จั่วโย่วกล่าว “การศึกษาหาความรู้และอบรมจิตใจก็ไม่อาจเพิกเฉยได้เช่นกัน”

ใต้หล้านี้ก็คงมีศิษย์พี่อย่างจั่วโย่วเท่านั้นที่ไม่กังวลว่าขอบเขตของศิษย์น้องตัวเองจะต่ำ แต่กลับกังวลว่าจะฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเกินไป

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “มีศิษย์พี่คอยจับจ้องอยู่ ต่อให้ข้าอยากขี้เกียจก็ไม่กล้าหรอก”

จั่วโย่วหัวเราะเสียงเย็น “ทำไมถึงไม่พูดว่า ‘ต่อให้จะอยากตายอยู่ด้านล่างกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้มากหน่อย แต่ก็ยังทำไม่ได้’ ล่ะ?”

เฉินผิงอันรู้เลยว่าการฝึกกระบี่ครั้งนี้ตนต้องเจ็บหนักแน่

……

จินกุ้ยแม่นางกุ้ยฮวาบนเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวา แท้จริงแล้วคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของกุ้ยฮูหยิน เมื่อสิบปีก่อนมีขอบเขตอะไร ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไรการฝ่าทะลุขอบเขตก็ยากยิ่ง ดังนั้นเมื่อเรือข้ามทวีปมาจอดเทียบท่าที่ภูเขาห้อยหัวในครั้งนี้ กุ้ยฮูหยินจึงตั้งใจให้นางไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ที่ภูเขาห้อยหัว ขุนเขาแอบอิงมหาสมุทร คือสถานที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ไม่เพียงแค่นี้ ครั้งนี้กุ้ยฮุหยินยังมอบเงินฝนธัญพืชให้จินกุ้ยหนึ่งเหรียญเพื่อใช้เป็นเงินจับจ่ายใช้สอย นางยิ้มเอ่ยกับลูกศิษย์ว่า หากเจอของรักชิ้นที่คิดถึงมาเกือบยี่สิบปีก็อย่าได้ลังเลอีกเลย ทำเอาจินซู่ตกใจสะดุ้งโหยง หมายจะปฏิเสธ แต่กุ้ยฮูหยินกลับโบกมือ ขณะเดียวกันก็กำชับจินซู่หนึ่งประโยคว่า ท่านฉีและลูกศิษย์ของเขาล้วนเพิ่งเคยมาเยือนภูเขาห้อยหัวเป็นครั้งแรก จำไว้ว่าพยายามช่วยเหลือพวกเขาให้มาก

จินซู่เองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

ฉีจิ่งหลงและป๋ายโส่วผู้เป็นลูกศิษย์ของเขาต่างก็ไม่ได้แนะนำตัวว่ามาจากสำนักใด จินซู่จึงเห็นพวกเขาเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อกับเด็กรับใช้ที่พากันออกเดินทางมาทัศนศึกษายังทิศไกล

อุตรกุรุทวีปขึ้นชื่อว่ามีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ แต่สองอาจารย์และศิษย์ต่างก็ไม่ได้พกกระบี่ติดกาย

ครั้งนี้พวกเขาโดยสารเกาะกุ้ยฮวาเดินทางไกลมายังภูเขาห้อยหัว ได้ยินว่าเพราะเป็นสหายของเฉินผิงอัน จึงได้เข้าพักในเรือนกุยม่ายที่อยู่ในนามของเฉินผิงอันมานานแล้ว จินซู่เคยพูดคุยกับอาจารย์และศิษย์สองคนนี้ไม่มาก บางครั้งได้ไปเป็นแขก ไปนั่งดื่มน้ำชาในเรือนหลังเล็กเป็นเพื่อนกุ้ยฮูหยินบ้าง จินซู่รู้แค่ว่าฉีจิ่งหลงมาจากอุตรกุรุทวีป โดยสารเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูกเดินทางลงใต้มาตลอดทาง ระหว่างทางหยุดพักที่เขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี จากนั้นก็ตรงมาที่นครมังกรเฒ่า พอดีกับที่เกาะกุ้ยฮวาจะเดินทางมายังภูเขาห้อยหัว จึงได้เข้าพักในเรือนกุยม่ายที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยมีใครได้มาเข้าพัก

กุ้ยฮูหยินผู้เป็นอาจารย์ไม่พูดถึงตบะของอีกฝ่าย จินซู่เองก็คร้านจะถามประวัติความเป็นมาของพวกเขาให้มากความ เพียงแค่มองพวกเขาเป็นผู้โดยสารทั่วไปที่พบเจอกันครั้งเดียวแล้วก็คงไม่ได้พบเจอกันอีก

ฐานะทางบ้านเป็นอย่างไร ขอบเขตเป็นอย่างไร เป็นคนแบบไหน เกี่ยวอะไรกับนางจินซู่ด้วย?

เพียงแต่ว่าเรื่องที่อาจารย์มอบหมายมา จินซู่ไม่กล้าเพิกเฉย การจอดเทียบท่าของเกาะกุ้ยฮวาในครั้งนี้ยังคงจอดใกล้กับศาลาจัวฟ่าง นางเล่าประวัติความเป็นมาของศาลาจัวฟ่างให้ฉีจิ่งหลงฟัง คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มชื่อประหลาดคนนั้น เพียงแค่เห็นกรอบป้ายที่เขียนด้วยลายมือของเต๋าเหล่าเอ้อร์ก็หมดความสนใจที่จะไปหาความครึกครื้นในศาลาหลังเล็กแล้ว กลับกลายเป็นฉีจิ่งหลงที่ยืนกรานจะเข้าไปยืนในศาลาแห่งนั้นให้ได้ จินซู่เองนั้นไม่มีปัญหา แต่เด็กหนุ่มป๋ายโส่วกลับหมดความอดทน จึงมีเพียงฉีจิ่งหลงที่เดินเบียดกลุ่มคนไปอย่างเชื่องช้า ปักหลักยืนอยู่ในศาลาจัวฟ่างที่มีคลื่นกระแสคนเบียดเสียดไปมาอยู่นาน สุดท้ายก็ออกมาจากศาลาหลังเล็กซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทั้งแปดแห่งของภูเขาห้อยหัวที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด แล้วยังเงยหน้าจ้องมองกรอบป้ายนั้นอยู่นาน ราวกับว่าจะมองอะไรออกจริงๆ นี่ทำให้จินซู่รู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อย ท่าทางเสแสร้งเช่นนี้ยังสู้เฉินผิงอันผู้นั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ

ยังดีที่เดิมทีจินซู่ก็เป็นสตรีที่มีนิสัยเย็นชา จึงมองอะไรจากสีหน้าของนางไม่ออก

บวกกับที่ข้างกายยังมีแม่นางกุ้ยฮวาที่สนิทสนมกับนางอยู่อีกหลายคน สามวันต่อจากนี้จะเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน จินซู่นึกถึงเงินฝนธัญพืชที่เก็บซ่อนไว้อย่างระมัดระวังเหรียญนั้นก็พอจะยิ้มออกได้บ้าง

ป๋ายโส่วผู้นั้นเป็นคนที่ไร้ความละเอียดอ่อนอย่างแท้จริง เขาบ่นมาตลอดทาง ตำหนิว่า ‘เจ้าคนแซ่หลิว’ ถ่วงเวลาการไปเยือนหอเหลยเจ๋อของตัวเอง

เด็กหนุ่มไม่เรียกฉีจิ่งหลงด้วยความเคารพว่าอาจารย์ แล้วก็ไม่เรียกว่าอาจารย์ฉี เอาแต่เรียกว่า ‘คนแซ่หลิว’ ไม่ขาดปาก อันที่จริงนี่เป็นเรื่องประหลาดอย่างมาก

พาลูกศิษย์ที่ไม่รู้จักเด็กจักผู้ใหญ่ ขาดมารยาทและสัมมาคาระเช่นนี้ออกเดินทางไกลมาด้วยกัน อันที่จริงจินซู่คิดว่าฉีจิ่งหลงผู้นี้ประหลาดยิ่งกว่าเสียอีก

ออกมาจากศาลาจัวฟ่างที่มีมวลกระแสชนมหาศาล จินซู่สอบถามตามลำดับว่าอาจารย์ฉีมีโรงเตี๊ยมที่หมายตาไว้หรือไม่ โรงเตี๊ยมของเรือนหลิงจือทัศนียภาพยอดเยี่ยมที่สุด แต่จะแพงไปสักหน่อย ดังนั้นผู้โดยสารที่สนิทคุ้นเคยกับเกาะกุ้ยฮวาส่วนใหญ่จึงมักจะไปพักที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย เฉินผิงอันที่เคยมาเยือนก็ไปพักที่นั่นเช่นกัน เพียงแต่ว่าโรงเตี๊ยมมีขนาดไม่ใหญ่ ตั้งอยู่ในจุดลึกของตรอกเก่าโทรม ไม่ค่อยสะดุดตานัก แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นโรงเตี๊ยมที่ดีเท่าไร ยังดีที่ราคาถูกคุ้มค่า ฉีจิ่งหลงจึงยิ้มกล่าวว่ารบกวนแม่นางจินซู่พาข้าไปที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยด้วย

ป๋ายโส่วไม่เต็มใจอย่างยิ่ง กำลังจะเปิดปากบ่น ฉีจิ่งหลงกลับหันมามองเขาเสียก่อน เด็กหนุ่มจึงกลืนคำพูดที่วิ่งมารออยู่ตรงปากกลับลงท้องไปแต่โดยดี ได้แต่นินทาอยู่ในใจเท่านั้น

คนทั้งกลุ่มไปถึงโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยที่หลบอยู่ในจุดลึกของตรอก ป๋ายโส่วเห็นเถ้าแก่หนุ่มที่มีรอยยิ้มเจิดจ้าผู้นั้นก็ให้รู้สึกว่าตัวเองคือหมูที่ถูกคนจูงมารอเชือด ดังนั้นหลังจากที่นั่งลงในห้องพักห้องหนึ่งกับคนแซ่หลิวแล้ว ป๋ายโส่วจึงเริ่มต้นบ่นทันทีว่า “คนแซ่หลิว ผู้ฝึกกระบี่จากอุตรกุรุทวีปของพวกเราที่มาเยือนภูเขาห้อยหัว ไม่ใช่ว่าต่างก็เข้าพักกันที่เรือนชุนฟานหนึ่งในสี่เรือนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขาห้อยหัวหรอกหรือ? มาอยู่ในสถานที่เล็กๆ เก่าโทรมแบบนี้ทำไมกัน ทำไม หรือเจ้าหลงใหลในความงามของพวกพี่สาวแม่นางกุ้ยฮวาพวกนั้นเข้าแล้ว?”

ฉีจิ่งหลงรินชาสองถ้วย ป๋ายโส่วรับถ้วยชามาก็กระดกดื่มหมดรวดเดียว แล้วบ่นพึมต่อว่า “คนแซ่หลิว ข้าต้องพูดจาจากใจจริงกับเจ้าบ้างแล้วล่ะ ต่อให้เป็นจินกุ้ยที่สวยที่สุดในกลุ่มนั้น แต่รูปร่างหน้าตานางก็ยังสู้เทพธิดาหลูที่หลงใหลคลั่งไคล้เจ้าไม่ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ? อ้อ ใช่แล้ว ได้ยินมาว่าเจ้าของเรือนชุนฟานเคยเกือบจะได้เป็นคู่รักเทพเซียนกับบรรพจารย์ของเทพธิดาหลูแห่งภูเขาสุ่ยจิง เจ้าเลยกลัวว่าจะมีคนเอาข่าวไปบอกเทพธิดาหลู แล้วนางก็จะมาดักขวางทางเจ้าที่ภูเขาห้อยหัวหรือ? ไม่มีทางหรอก เทพธิดาหลูผู้นี้ไม่ใช่เจ้าจวนซุนของจวนไช่เฉวี่ยเสียหน่อย แต่หากจะให้ข้าพูดนะ ในบรรดาสตรีที่มาชื่นชอบเจ้า หากพูดถึงรูปโฉม แน่นอนว่าหลูสุ้ยย่อมสวยที่สุด แต่ถ้าเป็นเรื่องนิสัย ข้าชอบซุนชิงมากที่สุด เปิดเผยตรงไปตรงมา แต่กลับมีความลึกลับเล็กๆ ส่วนคนของศาลซานหลางนั่นออกจะกระตือรือร้นเกินไปหน่อย สายตาดุร้าย พอเห็นเจ้าคนแซ่หลิวก็เหมือนผีขี้เหล้าที่เห็นสุรารสเลิศอย่างไรอย่างนั้น ข้าเห็นก็รู้แล้วว่าพวกเจ้าสองคนไม่มีทางไปต่อได้ ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกันเลย”

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “วันหน้าเมื่อต้องกลับไปสำนักกระบี่ไท่ฮุย ยังต้องการแวะไปเยือนภูเขาลั่วพั่วของเขตการปกครองหลงเฉวียนอีกรอบหรือไม่?”

ป๋ายโส่วหุบปากฉับ แกล้งเป็นคนหูหนวกเป็นใบ้ทันใด และดูเหมือนว่ายังรู้สึกไม่มั่นคงพอ จึงฝืนนิสัยของตัวเองรินชาถ้วยหนึ่งให้คนแซ่หลิวอย่างนอบน้อม

ช่วยไม่ได้ ตอนนี้พอป๋ายโส่วคิดถึงถ่านดำที่จิตใจอำมหิตแต่กลับชอบเสแสร้งบางคน เขาก็หนังหัวชา ปวดตับแล้ว

คิดไม่ถึงว่าเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่วผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้า ออกเดินทางไกลครั้งแรก ยังไม่ทันได้ก่อร่างสร้างตัวสำเร็จ ชื่อเสียงอันองอาจที่สะสมมาทั้งชีวิตก็ต้องถูกทำลายภายในวันเดียวเสียแล้ว!

ไปภูเขาลั่วพั่วกับมารดามันเถอะ ชั่วชีวิตนี้ข้าผู้อาวุโสจะไม่กลับไปอีกแล้ว

ลูกศิษย์ตัวดีที่เฉินผิงอันชาติสุนัขสั่งสอนมา!

ภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ คาดว่าอักษรแปดตัวคงเข้ากับเขาป๋ายโส่วไม่ได้เลย ชะตาขัดแย้งกันเอง แล้วนับประสาอะไรกับที่แค่ฟังชื่อก็ไม่เป็นมงคลแล้ว ไม่ไปแล้ว ตีให้ตายก็ไม่ไปเด็ดขาด

ฉีจิ่งหลงคิดเรื่องในบ้านของตัวเองบางเรื่องขึ้นมาได้ ก็ทั้งจนใจและเสียใจ

ออกจากอุตรกุรุทวีปในครั้งนี้ ทั้งเป็นเพราะฉีจิ่งหลงอยู่ในช่วงว่างไม่มีอะไรทำ การถามกระบี่ของเซียนกระบี่ทั้งสามท่านที่สำนักกระบี่ไท่ฮุย เขาล้วนสามารถรับไว้ได้อย่างราบรื่น ดังนั้นจึงอยากจะไปท่องในอีกแปดทวีปที่เหลือของใต้หล้าไพศาลสักหน่อย อีกทั้งก็ยังเป็นความตั้งใจอย่างลับๆ ของหวงถงผู้เป็นบรรพจารย์ บอกว่าเจ้าสำนักมีคำสั่งต้องการให้เขาเดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ทันที เพราะเจ้าสำนักมีเรื่องที่จะมอบหมายแก่เขา แล้วมีหรือที่ฉีจิ่งหลงจะไม่รู้ถึงความตั้งใจของเจ้าสำนัก เขาคงอยากให้ฉีจิ่งหลงรีบเดินทางไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ในช่วงเวลาสงบสุขระหว่างที่สงครามใหญ่ยังไม่เปิดฉาก ถึงขั้นอาจจะยกตำแหน่งเจ้าสำนักให้แก่ตนโดยตรง ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้อย่างน้อยหนึ่งร้อยปีก็ไม่ต้องคิดจะใช้ชื่อของเขาฉีจิ่งหลงและสถานะผู้ฝึกกระบี่คนใหม่ของอุตรกุรุทวีปมาเข้าร่วมการพิทักษ์เมืองสังหารปีศาจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆ ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยก็มอบหมายให้หานไหวจื่อจัดการคนเดียวเป็นพอ

ป๋ายโส่วไม่กล้าพูดเรื่องชายหญิงอีก แต่รีบเปลี่ยนหัวข้อพูดใหม่อย่างรู้กาลเทศะ “พวกเราจะไม่ไปพักที่เรือนชุนฟานจริงๆ หรือ? ข้าอยากไปเห็นเถาน้ำเต้านั้นกับตาตัวเองสักครั้ง ตอนอยู่บนภูเขาข้าตบอกรับรองพวกศิษย์น้องศิษย์หลานทั้งหลายว่าจะต้องไปดูพวกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในอนาคตแทนพวกเขาให้ได้ หากไม่ได้เห็น กลับไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุย ข้าก็ขายหน้าแย่ หรือว่าข้าจะทำได้แค่หลบอยู่บนยอดเขาเพียนหราน? หากข้าขายหน้า เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องขายหน้าไปด้วยหรือไร?”

เรือนชุนฟานคือหนึ่งในสี่จวนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขาห้อยหัว

จวนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นจวนหยวนโหรวที่มีเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวของธวัลทวีปเฝ้าพิทักษ์ คือภูเขาเงินภูเขาทองที่เกิดจากเงินเทพเซียนกองทับถมกันโดยแท้ และบุญคุณความแค้นระหว่างเจ้าประมุขสกุลหลิวของจวนหยวนโหรวตอนเป็นหนุ่มกับเทียนจวินใหญ่ของลัทธิเต๋าท่านนั้นก็ยิ่งเป็นเรื่องตลกที่แพร่หลาย

สวนดอกเหมยที่ผู้ฝึกตนจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเป็นผู้สร้าง มีคำเล่าลือว่าในสวนมีภูตห้าขอบเขตบนที่มีชีวิตอยู่มาแล้วไม่รู้กี่ปี ปีนั้นเพื่อให้ย้ายต้นเหมยบรรพบุรุษจากบ้านเกิดมาถึงภูเขาห้อยหัวได้อย่างราบรื่น เจ้าสวนก็ถึงกับเช่าเรือข้ามทวีปทั้งลำ เงินทองที่เผาผลาญไปมากแค่ไหน แค่คิดก็พอจะรู้ได้

ผู้สร้างเรือนชุนฟานคือเซียนกระบี่ที่สิ้นหวังคนหนึ่งของอุตรกุรุทวีป ที่นั่นจึงเป็นสถานที่รับรองผู้ฝึกกระบี่ของบ้านเกิดเป็นประจำ เพียงแต่ว่าเจ้าเรือนกลับไม่เคยเผยโฉมหน้า

สุดท้ายคือจวนสุ่ยจิง คือคฤหาสน์ตระกูลเซียนสำนักบนทะเลแห่งหนึ่ง ได้ยินมาว่าหลายปีมานี้อาศัยที่ตัวเป็นศาลาใกล้น้ำได้ยลแสงจันทร์ก่อน จึงรวบรวมรากฐานที่หลงเหลืออยู่ของร่องเจียวหลงเอาไว้ ชื่อเสียงของสำนักจึงเพิ่มพูนอย่างพรวดพราด

อย่างหานไหวจื่อเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุย และหวงถงบรรพจารย์ผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์ รวมไปถึงลี่ไฉ่เจ้าสำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่ภายหลังเดินทางมาที่ภูเขาห้อยหัวนั้น ล้วนเคยเข้าพักที่เรือนชุนฟานมาก่อนทั้งสิ้น ในเรือนชุนฟานปลูกเถาน้ำเต้าไว้เส้นหนึ่ง เมื่อผ่านการดูแลอย่างตั้งใจของเซียนผู้บรรลุมรรคารุ่นแล้วรุ่นเล่า สุดท้ายเจ้าของเรือนชุนฟานก็ได้รับโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้านี้ไป เมื่อกรอกเทปราณวิญญาณต่อเนื่องมานานเป็นพันปี ก็ได้ฟูมฟักน้ำเต้าน้อยใหญ่สิบสี่ลูกที่มีหวังว่าจะนำไปสร้างเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ได้ ขอแค่หลอมได้สำเร็จ ระดับขั้นก็ล้วนเริ่มต้นที่ระดับของสมบัติอาคมทั้งสิ้น น้ำเต้าลูกหนึ่งที่ระดับยอดเยี่ยมที่สุด หากหลอมเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ได้ก็เล่าลือกันว่าจะกลายเป็นอาวุธกึ่งเซียน