ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 219 เมฆาเคลื่อนผ่านประตูเมืองไป๋ตี้ (ตอนปลาย)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เมื่อฟังคำพูดนั้นจบ มู่ฮูหยินก็นิ่งเงียบอยู่นานไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใดกลับไป

นางไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไรดี

ถึงถ้อยคำของจักรพรรดิขาวเย็นชาถากถางจนทำให้นางไม่พอใจเพียงใด แต่เมื่อคิดให้ถี่ถ้วนแล้วก็จนปัญญาที่จะตอบกลับไปจริง ๆ

ความจริงข้อนี้ทำให้นางนึกถึงความจริงอีกมากมายในหลายปีที่ผ่านมา

ทันใดนั้นเองนางถึงรู้สึกได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาหลายปีนี้ช่างเหลวไหลสิ้นดี

เงาเรือใบแล่นอยู่ไกลๆ กลางทะเลใต้ เมืองบ้านเกิดนั้นจะไม่ให้หวนคิดถึงได้อย่างไรกัน

เพียงแต่หลายปีที่ผ่านมานั้นนางมัวแต่ครุ่นคิดอยู่กับเรื่องเหล่านี้

หลายปีแล้วจริงๆ

นางเอ่ยขึ้นอย่างทอดถอนใจ “คำพูดเหล่านี้ ท่านคงอดทนเก็บไว้มานานแล้วสินะ”

จักรพรรดิขาวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยตอบว่า “ไม่เป็นไร เพราะว่าเมื่อก่อนเจ้าก็ไม่ได้แสดงออกชัดเจนนัก อีกทั้งบุตรีของเราก็ยังเป็นเพียงเด็กสาวเท่านั้น”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”

ความอ้างว้างปรากฏขึ้นในนัยน์ตาของมู่ฮูหยิน

มีคำพูดอีกมากมายที่นางยังไม่ได้เอ่ยออกไป แม้จะมีเวลามากพอที่จะพูดออกไป แต่พูดออกไปก็ไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป

บ้านเดิมคือที่ที่ทำให้สบายใจ เหตุใดถึงไม่สบายใจเสียทีเล่า เหตุใดนางจึงไม่จากไปตั้งแต่ตอนนี้ แต่กลับรอจนกระทั่งจักรพรรดิเอื้อนเอ่ยสิ่งเหล่านี้ออกมาก่อน

หมู่เมฆมากมายเหลือคณานับ พวยพุ่งออกมาจากกระโปรงยาวสีน้ำเงินตัวนั้นท่ามกลางท้องฟ้า

เพียงไม่นานก็ก่อตัวเป็นทะเลเมฆหนาสีขาวโพลนปกคลุมไปทั่ว

ราวกับว่าเมฆทั้งหมดบนโลกใบนี้ได้ลอยมารวมกันอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองไป๋ตี้เรียบร้อยแล้ว

ที่ว่า “ทั้งหมด” นี้ คือ “ทั้งหมด” จริง ๆ

มีเมฆหนาเหนือยอดเทือกเขาดาวตก และเมฆฝนลอยอยู่เหนือทะเลตะวันตก ทั้งยังมีไอหมอกจากลำธารบนภูเขา เกล็ดน้ำค้างบนทุ่งหิมะ กระทั่งสุสานเมฆาทางตะวันออกอันไกลโพ้นยังมีหมู่เมฆลอยมาจากทางนั้น

ทะเลเมฆก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ แผ่ขยายขึ้นเรื่อยๆ ปกคลุมท้องฟ้าเป็นวงกว้างกว่าร้อยลี้

เมฆที่แต่เดิมเป็นสีขาวแต่เมื่อมีมากขึ้น แสงสว่างก็ไม่อาจส่องผ่านได้อีก จึงแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา กระทั่งกลายเป็นสีดำในที่สุด

มองจากพื้นดินทะเลเมฆบนท้องฟ้ากลายเป็นทะเลสีดำมืด

พระอาทิตย์ถูกบดบังอยู่หลังชั้นเมฆ โลกเบื้องล่างมืดมนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีก

เวลารัตติกาลมาเยือนก่อนเวลาอันควร

ทั่วทุกหนแห่งในเมืองไป๋ตี้เต็มไปด้วยเสียงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัว

ชาวเผ่าปีศาจออกมาเพ่นพ่านไปทั่วทั้งสารทิศ บ้างก็ยืนมึนงงอยู่บนถนน บ้างก็มองขึ้นไปยังทะเลเมฆอันดำมืดบนท้องฟ้า

เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงหันมามองตากัน แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า

ถังซานสือลิ่วมองไปบนท้องฟ้า

เสี่ยวเต๋อ หัวหน้าเผ่าซื่อ และเหล่าปีศาจทั้งหลายต่างก็มองไปบนท้องฟ้า

สงครามระหว่างนักปราชญ์ครั้งนี้จะเริ่มขึ้นเช่นนี้หรือ

บนถนนที่หินสีครามที่แตกละเอียดเส้นนั้น ซางสิงโจวเองก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร

แล้วก็มีเสียงกัมปนาทดังขึ้น!

สายฟ้าแลบขนาดมหึมาแหวกผ่านทะเลเมฆส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งโลกแล้วก็จางหายไปในอากาศ

ทะเลเมฆที่มืดครึ้มก็พลันถูกแสงสาดกลายเป็นสีขาวไปรอบด้านไกลหลายลี้

ตามด้วยสายฟ้าแลบจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนใหญ่ฟาดกันเองในม่านเมฆแล้วก็สลายไป บางส่วนก็ผ่าลงมาเบื้องล่าง แต่ก็ไม่ลงมาถึงผืนดิน

สายฟ้าแลบเหล่านี้น่าจะมาจากด้านบน จึงสามารถแหวกผ่านชั้นเมฆที่หนากว่าสิบลี้ลงมาได้ เพียงพอให้คาดเดาได้ถึงพลังอันรุนแรงของมัน

เสียงฟ้าร้องดังคำรามลั่นฟ้า ตามมาด้วยพายุหมุนมากมายนับไม่ถ้วนโหมกระหน่ำพัดไปทางในเมืองอย่างบ้าคลั่ง

เขตแม่น้ำแดงขวางกั้นภัยพิบัติ ก่อตัวเป็นกลุ่มแสงสีน้ำเงินขนาดมหึมาครอบคลุมเมืองหลวงเอาไว้ ปกป้องหอเทียนโส่วรวมถึงสิ่งก่อสร้างทั้งหมดเอาไว้อยู่ข้างใน แต่ก็ไม่อาจขัดขวางลมพายุเหล่านั้นไม่ให้พัดเอาบ้านเรือนที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ ของชาวเมืองไปได้ ไม่รู้มีชาวเมืองมากมายเพียงใดที่ถูกก้อนอิฐก้อนหินกระแทกใส่ศีรษะจนเลือดตกยางออก

สายฟ้าแลบเหล่านั้นวิ่งผ่าลงมาจากกลางทะเลเมฆ เกิดเป็นคลื่นลูกขนาดมหึมานับไม่ถ้วน ก้อนเมฆรูปร่างคล้ายเปลวไฟลามเลียม้วนเคลื่อนลงมาด้านล่างเป็นพักๆ ดูตระการตายิ่งนัก

แสงฟ้าร้องฟ้าผ่าส่องสว่างวาบๆ ไปทั่วทั้งโลกเป็นครั้งคราว แต่ก็มิได้นำพาเอาความอบอุ่นที่แท้จริงมาด้วย

ดวงอาทิตย์ที่ถูกบดบังไว้ด้านนอกด้วยชั้นเมฆหนาทึบ ไม่สามารถมอบความอบอุ่นลงมาสู่พื้นดินได้ อุณหภูมิของเมืองไป๋ตี้จึงลดฮวบอย่างรวดเร็ว

ความชื้นท่ามกลางชั้นเมฆนั้น ยังไม่ทันควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำ ก็แปรเปลี่ยนเป็นเกร็ดหิมะโปรยปรายลงมา

ปุยเมฆที่ถูกปลายฟ้าเหล่านั้นพาดผ่าน แลดูคล้ายกับกอดอกผูกงอิงที่ถูกพัดไปตามลม ปล่อยเกล็ดหิมะจำนวนมากลอยฟุ้งกระจายไปในอากาศไม่ขาดสาย

นี่คือพายุหิมะที่หาได้ยากยิ่ง

ผู้คนที่หลบไปด้วยความกลัว หรือซ่อนตัวอยู่ในบ้านต่างก็พากันหนีจากไปแล้ว

ผู้คนที่ยังคงอยู่บนท้องถนนในตอนนี้ ย่อมไม่อาจหนีไปไหนได้ในตอนนี้

พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก แหวนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า

แต่น่าเสียดายที่ถึงสายตาของพวกเขาจะมองทะลุพายุหิมะได้ แต่ก็ไม่อาจมองทะลุชั้นเมฆหนาทึบนั้นไปได้ จึงไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนนั้นกันแน่

เกิดเสียงดัง “พรึบ” ขึ้นเบาๆ ทีหนึ่ง เป็นเฉินฉางเซิงที่กางร่มกระดาษสีเหลืองออก

ถังซันสือลิ่วกำลังจะเดินเข้าไป ก็เห็นว่าเขาเดินไปอยู่ข้างกายสวีโหย่วหรงแล้ว

สาวน้อยที่กำลังซื้อแป้งชาดร้องเรียก “คุณชาย” แล้วจึงยกร่มขึ้นเหนือศีรษะเขา

อันหลินกำลังช่วยราชันย์แห่งหลิงไห่รักษาบาดแผลจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเป็นพัก ๆ

ทั่วทั้งลานเงียบสงบลง

เมืองไป๋ตี้เองก็เงียบสงบลง

มีเพียงทะเลเมฆผืนนั้นที่โหมกระหน่ำ ปะทุ พ่นเกล็ดหิมะออกมาไม่ขาดสาย

ทั่วทั้งโลกสลับสว่างมืดอยู่ไม่ขาด แต่ไม่มีคลุมเครือเลยสักวินาทีเดียว

ราวกับว่าท้องฟ้าและผืนดินรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

สายฟ้าขนาดมหึมาสายหนึ่งผ่าลงมายังทิศตะวันตกที่อยู่ไกลออกไป

เนินเขาลูกหนึ่งถูกฟ้าผ่าจนยอดเขาทลายลง

ลำธารบนภูเขานอกเมืองจับตัวกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่มีเสียงน้ำไหลอีกต่อไป

สายฟ้ายังคงผ่าอยู่ไม่หยุด หิมะก็ไม่มีทีท่าหยุดตกเช่นกัน

……

……

ไม่รู้เวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ลึกเข้าไปในทะเลเมฆเกิดรอยปริแตกขึ้น แบ่งทะเลเมฆออกเป็นสองฝั่ง

แสงอาทิตย์สาดส่องออกมาจากรอยแยกนั้น แล้วแผ่ขยายกว้างออกเรื่อยๆ แสงสว่างจึงครอบคลุมไปทั่วเมืองไป๋ตี้อีกครั้ง

ทะเลเมฆค่อยๆ สลายตัวกลายเป็นปุยเมฆปะปนไปกับเกล็ดหิมะร่วงหล่นลงมานับไม่ถ้วน

หมู่เมฆอันหนาวเหน็บคล้อยต่ำลงมายังเมืองหลวง ครอบคลุมหอเทียนโส่ว ไหลตามบันไดดูสวยงามราวกับน้ำตกจากสรวงสวรรค์

น้ำตกเมฆผ่านลงมายังเมืองหลวง ผ่านออกไปทางประตูเมือง และไหลลงสู่แม่น้ำแดงในที่สุดไม่หลงร่องรอยใด ๆ

ไม่ว่าจะบนท้องฟ้าสีครามหรือในเมืองไป๋ตี้ก็เหลือร่องรอยใดๆ ไว้ทั้งสิ้น

ไม่เหลือแม้แต่ปุยเมฆเดียว

ในตำหนักศิลา ณ จุดสูงสุดของเมืองหลวง

ลั่วลั่วยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองไปยังเศษหิมะเหล่านั้น ดวงหน้าน้อยๆ นั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำตา

จักรพรรดิขาวกลับมายังถนนเส้นนั้น

เขาทอดสายตาไปบนท้องฟ้า

บนนั้นไม่หลงเหลือก้อนเมฆอยู่อีกแล้ว

แต่ยังคงมีหิมะโปรยปรายในอากาศอยู่

หิมะเหล่านั้นดูราวกับมาจากความว่างเปล่า

เหมือนทุกอย่างเป็นเพียงความว่างเปล่า

ซางสิงโจวเดินมานั่งข้างกายเขา แล้วพูดขึ้นว่า “พวกเราเป็นเพื่อนกันมานานกี่ปีแล้วนะ”

จักรพรรดิขาวตอบ “หลายร้อยปีแล้ว”

ซางสิงโจวพูดต่อว่า “ตอนแรกที่ท่านเลือกนาง พระบิดาของท่านก็คัดค้าน ข้าเองก็คัดค้าน เหล่าขุนนางใหญ่ต่างก็คัดค้านกันทั้งสิ้น”

จักรพรรดิขาวยิ้มเยาะไปทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้แล้วจินอวี้ลวี่ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อยู่อีกหรือ”

ซางสิงโจวมองไปยังเขาแล้วถามว่า “แล้วท่านเล่าคิดเห็นเช่นไร”

“เจ้าหมายความว่าข้าเสียใจหรือไม่ใช่หรือไม่”

จักรพรรดิขาวเงียบไปครู่ใหญ่แล้วพูดขึ้นว่า “นั่นคือสิ่งไร้สาระที่พวกเจ้าเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจถึงจะมี”

หากเป็นความคิดที่ไร้สาระจริง เหตุใดถึงต้องนิ่งเงียบเสียนานขนาดนั้นเล่า ต้องคิดนานขนาดนั้นเชียวหรือ

ตราบเท่าสันเขามลายสิ้น สายน้ำลำธารแห้งเหือดหาย

อัสนีบาตรคำรามกลางวสันต์ หิมะโปรยปรายท่ามกลางคิมหันต์

ผืนฟ้าและแผ่นดินรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

ยามนั้นเราถึงจะแยกจากกัน

นี่เป็นเพียงการอำลา

ไม่มีอะไรน่าเศร้าไปกว่าการต้องจากลากัน

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตัดขาดกัน

ทว่านี่คือการตัดขาดกันจริงๆ หรือ

เมฆที่สลายไปเหล่านั้น หิมะที่กำลังโปรยปรายอยู่เหล่านี้ ทั้งหมดล้วนคือนาง ความหนาวเย็นและชื้นแฉะเหล่านี้ช่างทำให้คนรู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก

ทันใดนั้นจักรพรรดิขาวก็ก้มหน้าลงแล้วกระแอมไอออกมา