ประเด็นหลักของประโยคนี้ไม่ได้อยู่ที่ครึ่งหลัง แต่อยู่ที่สามคำแรกต่างหาก
จักรพรรดิขาวมิสนใจจะใช้เฉินฉางเซิงและคนที่เหลือเพื่อยั่วอารมณ์ซางสิงโจว
เขาเป็นคนเปิดเผยอย่างมาก ซางสิงโจวแสดงขีดสุดที่รับได้ออกมาอย่างชัดเจนแล้ว
หากซางสิงโจวยืนยันจะให้พญามารตาย เช่นนั้นวันนี้ซางสิงโจวเองก็อาจจะต้องเจ็บหนักเช่นกัน หรืออาจจะสิ้นชีพไปเลยก็ได้
เช่นนั้นต่างหากถึงจะเกี่ยวข้องกับคำถามที่คนในเผ่าได้มอบให้แก่ลูกศิษย์ของเขาผู้นั้น
เหตุใดจักรพรรดิขาวถึงได้มีความมั่นใจที่พูดเช่นนั้นออกมา
ซางสิงโจวเข้าใจดี ทั้งหมดล้วนมาจากแม่นางมู่ผู้นั้นที่พวกเขาไม่ได้กล่าวถึงตั้งแต่ต้น
นางยืนอยู่ท่ามกลางหน่วยเมฆามาโดยตลอด และไม่เคยมีความคิดที่จะจากไปไหนไกล
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน จักรพรรดิขาวผู้ถูกหักหลังก็มิอาจอภัยให้กับมู่ฮูหยินได้
แต่ซางสิงโจวรู้ดี ว่าจักรพรรดิขาวสามารถเปลี่ยนท่าทีของเขาได้ตลอดเวลา แม้นั่นจะทำให้ตัวเขาเองดูน่ารังเกียจก็ตาม
“บางคนยังมีชีวิตอยู่ บางคนอาจจะตายไปแล้ว”
ซางสิงโจวพูดพลางมองไปยังนัยน์ตาของจักรพรรดิขาว
หินสีครามแตกเป็นเสี่ยงๆ บนท้องถนนเกิดคลื่นอากาศลูกหนึ่งขึ้นเขย่าชายคาสีดำพังไปทั้งแถบ
สายตานับไม่ถ้วนมองตามไปเห็นซางสิงโจว แต่กลับมองไม่เห็นเงาของจักรพรรดิขาวอีกต่อไป
จักรพรรดิขาวมาถึงหน่วยเมฆา
เขายืนประจันหน้ากับมู่ฮูหยิน
“เจ้าคุยกับซางสิงโจวเสร็จแล้วหรือ”
ฮูหยินถามประหนึ่งว่าถามเรื่องราวเล็กน้อยทั่วไปเรื่องหนึ่ง
จักรพรรดิขาวตอบอย่างผ่านๆ ไปว่า “ราชามารจะต้องยังมีชีวิตอยู่”
มู่ฮูหยินมองไปยังทิศตะวันตกพลางพูดขึ้นว่า “บางครั้งข้าก็คิด เรื่องราวทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นได้เช่นไรกัน”
“หรือเป็นเพราะว่าเจ้ามักจะหวนมองไปยังบ้านเกิด เรื่องทั้งหมดล้วนเกิดจากการเลือกของเจ้าเอง เหมือนการเลือกในครั้งนั้นของเจ้าเมื่อสามปีก่อน”
จักรพรรดิขาวพูดขึ้นว่า “ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องสามีภรรยาหรอก ไม่นึกเลยว่าเจ้าเองก็อยากจะให้ข้าตายจริงๆ”
มู่ฮูหยินพูดขึ้นสีหน้าไม่แยแส “ชั่วชีวิตข้าไม่เคยพานพบคนหลอกลวงเช่นเจ้ามาก่อนเลย ถึงตอนนี้แล้วยังจะพูดเรื่องเหล่านั้นอีกหรือ”
จักรพรรดิขาวหัวเราะขึ้นเบาๆ “ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือที่ใช้พลังแห่งคลื่นลมปิดผนึกหลุมศพของข้าเอาไว้”
มู่ฮูหยินหันกายกลับจ้องไปยังนัยน์ตาเขาแล้วพูดว่า “การกักตัวไม่ใช่การเลือกของท่านเองหรอกหรือ”
จักรพรรดิขาวไม่ได้เสริมต่อคำพูดดังกล่าว แต่ถามกลับขึ้นว่า “เมื่อไหร่เจ้าจะยอมรับว่าข้ายังมีชีวิตอยู่”
มู่ฮูหยินพูดตอบ “กลางดึกวันนั้นข้าได้ไปยังเทือกเขาดาวตก เมื่อกลับมาก็สัมผัสได้ถึงจิตใจของท่าน”
จักรพรรดิขาวพูด “แล้วไม่ใช่เจ้าหรอกหรือที่ขอให้เขาทำเช่นนี้”
มู่ฮูหยินพูด “นี่คืองานมงคลของลั่วเหิง ต่อให้ข้าขอร้องเขามีหรือเขาจะกล้าปฏิบัติตามโดยไม่ฟังคำสั่งจากท่าน”
“ข้าไม่เข้าใจความหมายเจ้า”
จักรพรรดิขาวพูด “ถ้าข้าจำไม่ผิด สองปีก่อนเขาแอบหลบไปพึ่งพิงเจ้ามาแล้วนี่”
มู่ฮูหยินยิ้มเยาะเบาๆ แล้วพูด “หากข้าเดาไม่ผิด นี่คงจะเป็นเรื่องที่ท่านวางแผนให้เขาทำเมื่อสามปีก่อนสินะ”
หลายปีก่อนหน้านี้ ทั่วทั้งใต้หล้าต่างก็เข้าใจว่าจักรพรรดิขาวและมู่ฮูหยินครองรักกันหวานชื่น เป็นคู่รักนักปราชญ์ที่คนทั้งโลกต่างก็ชื่นชมอิจฉา
ใครจะรู้ว่าทั้งสองไม่ไว้ใจกันและกัน การปลิ้นปล้อนหลอกลวงกลายเป็นเพียงกิจวัตรของพวกเขา
จักรพรรดิขาวถามขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้เกิดความสงสัยในตัวเขา”
มู่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “ขอเพียงเป็นคนที่มีตาล้วนต้องมองออกว่าเขาคือสุนัขรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน เป็นผู้ศรัทธาเลื่อมใสในตัวท่าน”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนึกถึงเงาร่างดั่งภูเขาที่ถล่มลงมาหน้าเมืองหลวงเมื่อครู่อยู่หรือไม่ จักรพรรดิขาวถึงนิ่งไปครู่ใหญ่
หากมองจากมุมมองของคนนอกแล้ว นี่อาจจะเป็นการระลึกผิด ความเสียใจ หรือการตำหนิตัวเองก็เป็นได้
แต่ในสายตาของมู่ฮูหยิน นี่ก็คือการเสแสร้งที่ชวนให้สะอิดสะเอียนอย่างไร้ยางอายสิ้นดี
“ต่อหน้าข้าท่านไม่จำเป็นต้องทำท่าทีเช่นนี้ก็ได้ สองร้อยปีมานี้ท่านคิดจะสังหารท่านผู้อาวุโสผู้มีประสบการณ์และบารมีสูงส่งผู้นั้น อยากจะกำจัดเผ่าของเขาเพียงเพราะเขาซื่อสัตย์กับคนในเผ่าพันธุ์ตนเองมากเกินไป สุดท้ายท่านก็หาข้ออ้างและเหตุผลที่สมเหตุสมผลไม่ได้มาตลอด จนกระทั่งครั้งนี้ไม่ง่ายเลยกว่าที่ท่านจะใช้ความภักดีของเขาเพื่อใส่ร้ายป้ายสีเขาได้ แน่นอนว่าท่านย่อมต้องการสังหารเขาโดยเร็วเป็นแน่”
สีหน้าถากถางของมู่ฮูหยินชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นางพูดว่า “จะว่าไปคู่ของท่านกับซางสิงโจวเองช่างเหมือนกับเพื่อนเก่ากันเสียจริง ต่างหลอกหลวงด้วยกันทั้งคู่ เขาคิดจะสังหารลูกศิษย์ตัวเอง แต่ไม่อยากให้มือตนเองเปื้อนเลือด ถึงได้คิดยืมมือข้า ตัวท่านเองก็เช่นกัน”
จักรพรรดิขาวยังคงสีหน้าเช่นเดิม แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ เหตุใดเจ้าไม่ขัดขวางข้าไม่ให้ออกมาเล่า”
“หากท่านจะออกมาย่อมต้องออกมาได้อยู่แล้ว หากท่านไม่อยากออกมานั่นก็หมายความว่าท่านคงอยากรอชมงิ้วอยู่เป็นแน่”
มู่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉย “อยู่กินกันมาตั้งนาน การเข้าใจความคิดกันและกันย่อมต้องมีอยู่บ้าง หากท่านไม่ยอมออกมาก็หมายความว่ายอมให้ข้าดำเนินการตามแผนได้ ท่านคงอยากเห็นข้ากับคนชุดดำทำเรื่องเช่นนี้ ข้าไม่เข้าใจก็เพียง เหตุใดท่านถึงได้ขัดขวางไม่ให้ข้าลงมือกับเฉินฉางเซิง”
ในคืนนั้นพลังที่ทำให้เฉินฉางเซิงรู้สึกตื่นตัวแต่ก็ทำให้เขาสับสนด้วยเช่นกัน ตอนนี้ดูแล้วมันต้องมาจากจักรพรรดิขาวอย่างแน่นอน
มีเพียงจักรพรรดิขาวเท่านั้นที่จะสามารถทำให้เผ่าปีศาจเปลี่ยนไปได้ภายในคืนเดียวโดยไม่ต้องปรากฏตัวออกมา
มู่ฮูหยินไม่จำเป็นต้องให้จักรพรรดิขาวตอบคำถามนี้ ก็สามารถคาดเดาคำตอบได้เองอย่างรวดเร็ว
“คิดๆ แล้วท่านเองก็รู้สินะว่าซางสิงโจวสามารถปรากฏกายได้ทุกเมื่อ”
จักรพรรดิขาวพูดว่า “ไม่ผิด ข้าประเมินกำลังและฝีมือของสหายเก่าข้าต่ำเกินไป คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะขอให้สวีโหย่วหรงช่วย”
“ไม่มีใครหรอกที่ยินยอมขึ้นเวทีไปลิ้มรสชาติความเป็นตาย แต่ท่านกลับนั่งจิบชาอยู่ข้างล่างเวที”
มู่ฮูหยินมองไปที่เขาพลางแค่นเสียงหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าไม่อยากให้ท่านดูชมงิ้วอีกต่อไป ซางสิงโจวก็ไม่อยากเช่นกัน ใครๆ ต่างก็อยากให้ท่านขึ้นมาแสดงบนเวทีร่วมกันทั้งนั้น”
จักรพรรดิขาวพูดว่า “และข้ายังประเมินความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวของเฉินฉางเซิงต่ำไป”
มู่ฮูหยินนึกไปถึงเงาร่างที่ไปมาระหว่างเมืองหลวงและเทือกเขาดาวตกในคืนนั้นแล้วก็ส่ายหน้าเบา ๆ
นางเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเฉินฉางเซิงจะมีความสามารถและความอดทนเก่งกาจจนน่ากลัวเช่นนี้ ถึงกลับกล้าใช้กระบี่ในมือบุกทะลวงเมืองต้องห้ามแห่งนั้น
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจักรพรรดิขาวก็ไม่อาจเสแสร้งแกล้งเป็นจักรพรรดิผู้ถูกกักขังอย่างน่าสังเวชได้อีกต่อไป
ข้อพิพาททั้งหมดปะทุขึ้นนับแต่นั้น เรื่องราวทั้งหมดจึงได้เริ่มก่อตัวขึ้น ตัวละครทั้งหมดต่างก็ดาหน้าขึ้นแสดงบนเวที
นี่คือการประจันหน้ากันของทุกคน
มู่ฮูหยินมองไปยังเขาแล้วพูดขึ้นอย่างถากถาง “ถึงแม้ท่านจะถูกศิษย์รักบีบให้ต้องออกมาเหมือนตัวตลก แต่ข้าคงไม่สามารถเห็นใจท่านได้”
จักรพรรดิขาวพูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง “ข้าไม่ต้องการความเห็นใจ”
“แล้วเขาล่ะ”
มู่ฮูหยินใช้มือลูบไปบนหน้าท้องเบาๆ พลางมองไปยังจักรพรรดิขาวแล้วกล่าวว่า “แล้วบุตรชายของท่านเล่า ต้องการความเห็นใจหรือไม่”
ชีวิตน้อยๆ ที่ยังไม่ทันได้เห็นโลก ไม่ทันได้เห็นสรรพชีวิต หากต้องการความเห็นใจจริง คงไม่สามารถปล่อยให้เขาต้องเกิดมาพานพบกับสิ่งเหล่านี้
หรือพูดอีกอย่างคือตายเสียเถอะ
สายตาของจักรพรรดิขาวทอดไปยังหน้าท้องของมู่ฮูหยิน
หน้าท้องของมู่ฮูหยินยังคงแบนราบ
“เชื้อสายของจักรพรรดิขาวเช่นข้าไม่อาจสืบทอดกันได้โดยง่าย ต้องตั้งครรภ์จนครบห้าปี ยิ่งเป็นบุตรชายยิ่งยากนัก”
จักรพรรดิขาวมองไปยังนางแล้วพูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง “แต่พวกเราก็มีลั่วลั่วแล้ว”
มู่ฮูหยินพูดขึ้นพลางจ้องไปยังดวงตาเขา “นางเป็นเพียงบุตรีคนหนึ่ง”
“นี่ก็คือความผิดอันใหญ่หลวงที่สุดของเจ้า เพราะข้าไม่เคยคิดว่าบุตรีกับบุตรชายแตกต่างกันแต่อย่างใด จึงไม่คิดจะมีบุตรชายอีกคน ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ เหตุใดความคิดของพวกเจ้าชาวดินแดนต้าซีถึงได้เป็นเช่นนี้”
สีหน้าเยาะเย้ยของจักรพรรดิขาวชัดเจนยิ่งขึ้น ข้อความที่พูดก็เย็นชาขึ้นเช่นกัน
“เพราะว่าบุตรีต้องแต่งงานมิอาจเลี้ยงดูบิดามารดา หรือเพราะว่าบุตรีต้องออกเรือนเล่า แต่ข้าเห็นว่าเจ้าออกเรือนมายังเมืองไป๋ตี้ของข้าก็นานแล้ว เจ้าก็ยังคิดถึงบ้านเดิม ไม่เคยมองว่าที่นี่เป็นบ้านของตน ไม่เคยมองว่าข้าเป็นคนในครอบครัวของเจ้าเองเลยสักครั้ง เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังกังวลเรื่องอะไรอีกหรือ”