ตอนที่ 1,171 ตั๋วฟรี

เอ่ยถามชื่อเสียงเรียงนามของผู้กล้า แล้วภูผาทั้งห้าก็อ้าแขนต้อนรับข้า

นี่คือเนื้อเพลงประกอบแอนิเมชั่นแนวกำลังภายในเรื่องโปรดของหลินเป่ยเฉินสมัยยังอยู่ที่โลกมนุษย์ใบเก่า

บัดนี้ เด็กหนุ่มสามารถซาบซึ้งไปกับเนื้อเพลงได้ถึงอารมณ์มากขึ้น

เพราะเขารู้สึกว่าภูผาลำธารแม่น้ำใหญ่กำลังอ้าแขนต้อนรับเขา

กระแสพลังบางอย่างพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกายหลินเป่ยเฉินคล้ายกับว่าเขากำลังจะลอยได้อย่างไรอย่างนั้น

“นี่มัน…”

หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้ว่ากระแสพลังนั้นแตกต่างไปจากพลังลมปราณและพลังศักดิ์สิทธิ์

มันเป็นกระแสพลังที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

เด็กหนุ่มอธิบายไม่ถูก

เขารู้เพียงอย่างเดียวว่ามันยอดเยี่ยมมาก

เวลาที่เหมือนจะผ่านไปอย่างยาวนานนั้น แท้จริงแล้วกลับผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ

เหนือศีรษะของหลินเป่ยเฉินปรากฏแสงสว่างราวกับดวงดาวกะพริบระยิบระยับจำนวนนับไม่ถ้วน

แล้วจุดดวงดาวเหล่านั้นก็รวมตัวเป็นวงแหวนสีเงินวงหนึ่ง

ไม่ต่างไปจากวงแหวนที่อยู่บนหัวของเทพเจ้าในนิยายปรัมปรา

หรือนี่คือวงแหวนประจำตัวของผู้ที่ได้รับตำแหน่งเซียนกระบี่แห่งเมืองไป๋หยุน?

แต่ทั้งหมดมีเพียงเท่านี้เองหรือ?

จะกล่าวอย่างไรดีนะ?

หลินเป่ยเฉินพยายามเงยหน้ามองวงแหวนสีเงินที่อยู่เหนือศีรษะของตนเอง

ตอนแรกดูไปแล้วก็มีความศักดิ์สิทธิ์ดีอยู่หรอก

แต่พอมองดูอีกที หลินเป่ยเฉินกลับรู้สึกว่าวงแหวนบนศีรษะไม่ต่างไปจากหลอดไฟประดับหัวของพวกแดนเซอร์หางแถวที่เป็นตัวประดับฉากอย่างไรชอบกล

“เอาซ่อนไว้ได้ไหมวะเนี่ย?”

หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกไม่อยากให้ใครเห็นวงแหวนนี้แล้ว

เขาชักจะรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล

นี่มันน่าอายมากเกินไป

เขาพยายามจะใช้มือดึงวงแหวนนั้นกลับลงมา

แต่ก็ไม่เป็นผล

หลินเป่ยเฉินพยายามรวบรวมสมาธิเพื่อกำหนดให้วงแหวนหายไป

แต่ในไม่ช้า เด็กหนุ่มก็ได้พบว่าสิ่งนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา

“พี่เหยียนมองเห็นไหมขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมาถาม

“มองเห็นอันใด?”

ใบหน้าที่สวยงามของเหยียนหรู่อี้เต็มไปด้วยความสงสัย

หลินเป่ยเฉินจึงชี้มือไปบนศีรษะของตนเอง “วงแหวนที่อยู่บนศีรษะของข้าน่ะ”

เหยียนหรู่อี้ส่ายหน้าตอบ “ไม่เห็นมีอันใดเลย… นั่นอาจจะเป็นของประจำตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุนก็ได้กระมัง?”

เอ่อ…

หลินเป่ยเฉินอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย

ดูเหมือนคนอื่นจะมองไม่เห็น

ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร

ว่าแต่ไอ้วงแหวนนี้มีเอาไว้เพื่อทำอะไรนะ…

“จริงด้วยสิขอรับ พี่เหยียน…” หลินเป่ยเฉินเอนตัวเข้าไปกระซิบข้างใบหูของเหยียนหรู่อี้และสอบถามนางว่าการได้ตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุนนั้น เขาจะได้รับสิ่งใดบ้าง?

ลมหายใจร้อนอุ่นเป่ารดใบหูของเหยียนหรู่อี้

ผู้อาวุโสสาวสวยจากสำนักคฤหาสน์กำยานพลันมีใบหน้าแดงก่ำ นางก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัวขณะะกระซิบตอบว่า “เรื่องนั้นข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข้าไม่ใช่คนเมืองนี้สักหน่อย…”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ

มีคนเคยกล่าวไว้ว่าสตรีที่เอียงอายอย่างแท้จริงนั้น ดูเย้ายวนใจมากกว่าสตรีที่เปลือยกายเสียอีก

หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรต่อ

หลังจากนั้น สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดนามแม่นางหลินก็จัดการมอบรางวัลสำหรับผู้ชนะให้แก่สมาชิกกลุ่มสำนักคฤหาสน์กำยาน ไม่ว่าจะเป็นศิลาบูชา โอสถวิเศษ สมุนไพรวิเศษ คัมภีร์ฝึกกระบี่ ชุดเกราะวิเศษและข้าวของอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน…

ทุกสิ่งล้วนถือเป็นของหายากสำหรับจักรวรรดิเป่ยไห่ทั้งสิ้น

แต่เนื่องจากพวกเขาทำข้อตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินจึงไม่กล้ายื่นมือเข้าไปขอส่วนแบ่ง

“ข้อตกลงก่อนหน้านี้ของพวกเราถือเป็นอันโมฆะ ของรางวัลทั้งหมดนี้ สมควรเป็นของคุณชายหลินแล้ว”

เหยียนหรู่อี้ปฏิเสธการรับของรางวัล เพราะนางรู้สึกละอายใจมากเกินไป

“พี่เหยียนอย่าได้เกรงใจมากเกินไป ของรางวัลเหล่านี้ล้วนเป็นข้าทำเพื่อมอบให้เป็นค่าสินสอดแก่สำนักคฤหาสน์กำยานทั้งสิ้น”

หลินเป่ยเฉินกระซิบพร้อมกับส่งยิ้มหวาน

เหยียนหรู่อี้ทั้งอับอายทั้งขุ่นเคือง

เขาจะขอนางแต่งงานเช่นนี้เลยหรือ?

หากเป็นก่อนหน้านี้ เหยียนหรู่อี้คงหันหน้าหนีไปแล้ว

แต่บัดนี้ นางเพียงจ้องมองไปที่ใบหน้าของหลินเป่ยเฉินเท่านั้น

แม้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะชอบพูดจาแทะโลมสตรี แต่อย่างน้อย เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามต่อตัวนางหรือลูกศิษย์ทั้งสอง อีกทั้งหลินเป่ยเฉินยังดูแลพวกนางเป็นอย่างดี และเขาก็ทำตามคำสัญญาที่เคยรับปากเอาไว้เสมอ

“พี่เหยียนเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไปหน้าตาเฉย “ข้าหมายถึงค่าสินสอดสำหรับสู่ขอหูเหม่ยเอ๋อร์ต่างหาก ไม่ใช่ค่าสินสอดสำหรับสู่ขอท่านสักหน่อย…”

ใบหน้าที่สวยงามอ่อนหวานของเหยียนหรู่อี้พลันปรากฏรังสีอำมหิตขึ้นมาทันที

“งั้นเจ้าก็ไปคุยกับนางเองเถอะ”

เหยียนหรู่อี้พ่นลมผ่านทางจมูกอย่างเย็นชา รับของรางวัลทั้งหมดไปโดยไม่ปฏิเสธ หลังจากนั้นจึงได้นำตัวลูกศิษย์สาวทั้งสองคนเดินทางจากไปอย่างไม่ไยดี

หลินเป่ยเฉินเพียงยืนมองแผ่นหลังของสตรีทั้งสามนางหายลับไปจากสายตา ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มจากความตลกขบขัน

พิธีมอบรางวัลจบลงอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ถูกเชิญตัวไปที่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง

เนื่องจากก่อนฉู่อวิ๋นซุนเสียชีวิตได้ส่งมอบตำแหน่งท่านเจ้าเมืองให้แก่หลินเป่ยเฉิน เพราะฉะนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำหลังประกาศผลผู้ชนะการประลองกระบี่ประจำปีนี้ของเมืองไป๋หยุนก็คือ การแต่งตั้งท่านเจ้าเมืองคนใหม่เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นก็ประกาศให้ชาวเมืองรับรู้โดยทั่วกัน เพื่อเป็นการปลอบขวัญผู้ที่กำลังตื่นตระหนก

และหลินเป่ยเฉินก็ต้องผิดหวังอีกครั้งที่พิธีแต่งตั้งท่านเจ้าเมืองคนใหม่เป็นไปอย่างเรียบง่ายเช่นเดิม

ผู้เข้าร่วมพิธีแต่งตั้งท่านเจ้าเมืองคนใหม่ก็ยังคงเป็นสตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาด พวกของติงซานฉือและคนอื่น ๆ พวกเขาเพียงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่จากตอนประกาศผลผู้ชนะการประลองกระบี่เท่านั้น ไม่มีการเปิดพิธีต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ไม่มีการโปรยดอกไม้ ไม่มีสาว ๆ มาคอยต้อนรับ ไม่มีแม้กระทั่งอาหารให้รับประทาน…

“ทำไมเราถึงรู้สึกเหมือนโดนหลอกใช้ยังไงชอบกลเลยแฮะ?”

หลินเป่ยเฉินอดบ่นออกมาไม่ได้

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็นึกได้ว่าตนเองเป็นทั้งท่านเจ้าเมืองคนใหม่และเป็นทั้งเซียนกระบี่ประจำเมือง นั่นหมายความว่าสถานะของเขาย่อมเป็นผู้ที่สูงส่งที่สุดในเมืองไป๋หยุนไม่ใช่หรือ?

สำหรับเมืองไป๋หยุน ต่อให้ผู้ที่ชนะการประลองกระบี่ประจำปีนี้จะเป็นสำนักคฤหาสน์กำยาน แต่ผู้ที่ได้ครอบครองตำแหน่งเซียนกระบี่ก็ยังเป็นคนของเมืองไป๋หยุนอยู่ดี สำหรับพวกเขาแล้ว นี่จึงไม่ถือเป็นเรื่องที่เสียหายแต่อย่างใด

แม้ว่าจะต้องเสียของรางวัลทั้งหมดนั้นให้แก่พวกของเหยียนหรู่อี้ไปก็ตาม

“ท่านเจ้าเมืองหลิน ไม่ทราบว่าแผนการต่อจากนี้ของท่านวางเอาไว้ว่าอย่างไร?”

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดนามแม่นางหลินถามออกมา

“แผนการของข้านั้น…”

หลินเป่ยเฉินมองไปยังหัวหน้าคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง แม้จะไม่เห็นใบหน้าของนาง แต่หัวใจกำลังบอกเขาว่าตัวจริงของแม่นางท่านนี้คงต้องงดงามมากแน่ ๆ และเด็กหนุ่มก็กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเนิบนาบว่า “เรื่องในอนาคต เอาไว้คุยกันทีหลังเถอะขอรับ”

“ครั้งนี้ท่านเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้พวกเราชนะ วิหารเทพพงไพรคงหมายหัวท่านเป็นพิเศษ หากข้าเป็นท่าน ข้าคงรีบหาที่ซ่อนตัวก่อนเป็นอันดับแรก”

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดนามแม่นางหลินให้คำแนะนำ

“แล้วเมืองไป๋หยุนล่ะขอรับ? ไหนจะจักรวรรดิเป่ยไห่? ไหนจะวิหารเทพีกระบี่? ไหนจะนครเจาฮุยที่ข้าต้องดูแล?”

หลินเป่ยเฉินพูดเสียงแข็งกระด้าง “ข้าสมควรประพฤติตนเป็นเสาหลักค้ำจุนประเทศชาติยามเกิดความระส่ำระสาย ต่อให้ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ข้าก็จะแบกรับทุกอย่างเอาไว้เอง”

“แต่บางครั้งเราก็หลีกเลี่ยงความเสียหายไม่ได้”

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินตรงไปยังประตูห้องประชุมอย่างแช่มช้าพร้อมกับกล่าวว่า “หากท่านยังมีชีวิตอยู่รอด ทุกคนก็ยังมีความหวัง แต่หากท่านตายแล้ว ทุกอย่างก็จะจบสิ้นลงแต่เพียงเท่านี้”

“อุ๊ย ท่านใต้เท้าหญิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”

หลินเป่ยเฉินตบเข่าฉาดและลุกขึ้นยืนพูดว่า “งั้นข้าจะรีบหาที่ซ่อนตัวโดยเร็วเลยขอรับ”

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดหยุดเท้าอย่างกะทันหัน

แม้จะมองไม่เห็นสีหน้า แต่หลินเป่ยเฉินรู้เลยว่านางคงกำลังขมวดคิ้วอยู่แน่ ๆ

ปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินคิดเรื่องหลบหนีอยู่ก่อนแล้ว

“ข้าควรจะจับเจ้าแขวนกับขื่อบ้านและสังหารเจ้าให้ตายไปซะจริง ๆ”

นางกระซิบ ก่อนจะเร่งฝีเท้าก้าวเดินจากไป

เมื่อหัวหน้าคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางกลับไปแล้ว บรรดาผู้คนที่เหลืออยู่ก็เป็นเพียงพี่น้องชาวเมืองไป๋หยุน ดังนั้น พวกเขาจึงปรึกษาหารือว่าจะจัดการเรื่องราวภายในตัวเมืองต่อไปอย่างไรดี

และทุกคนย่อมทราบดีว่าสถานการณ์ในขณะนี้ไม่ปกติ

เพียงประชุมกันได้ไม่นาน ในห้องประชุมก็เกิดการโต้เถียงกันอย่างดุเดือด

สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ต้องลุกขึ้นยืนตบโต๊ะระเบิดเสียงคำรามว่า “หากพวกท่านไม่มีข้าสักคนแล้วจะอยู่รอดกันได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ไม่มีข้าพวกท่านก็ยังดำรงชีวิตกันได้มาจนถึงบัดนี้ไม่ใช่หรือ? …แล้วเหตุไฉนบัดนี้ถึงต้องมาพึ่งพิงข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น …เอาเถอะ ในเมื่อบัดนี้ข้ามีตำแหน่งเป็นท่านเจ้าเมืองแล้ว ข้าก็อยากจะให้พวกท่านเชื่อฟังคำสั่งของข้าเป็นอย่างดี หากมีใครคิดคัดค้านคำสั่งของข้า ก็ขอให้แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้…”

พูดจบ เด็กหนุ่มก็ชักกระบี่เงินของตนเองออกมาปักลงไปบนโต๊ะประชุม

ริมฝีปากของลู่กวนไห่กระตุกระริก

บรรดาผู้อาวุโสจากสำนักต่าง ๆ ได้แต่ขมวดคิ้วหน้ายุ่ง ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไรออกมา

ท่านเจ้าเมืองที่แปลกประหลาดเช่นนี้ พวกเขาเพิ่งจะเคยพบเจอเป็นครั้งแรก

ในอดีต เจ้าเมืองแต่ละคนล้วนหวงแหนอำนาจการบริหารด้วยกลัวว่าตำแหน่งจะหลุดออกจากมือ

แต่ความไม่ปกติของหลินเป่ยเฉินได้นำความหวังใหม่มาสู่พวกเขา

ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าโชคชะตาของเมืองไป๋หยุนกำลังจะต้องเปลี่ยนแปลงไป

หลังผ่านการถกเถียงกันอย่างดุเดือด สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ได้ผู้ดูแลกลุ่มหนึ่งมาคอยช่วยเหลืองานของตนเอง และคนเหล่านั้นก็ประกอบไปด้วยสือจงเซิ่ง ติงซานฉือและลู่กวนไห่นั่นเอง…

“ในอนาคตถ้าไม่เกิดเหตุการณ์คอขาดบาดตายจริง ๆ อย่าได้ตามหาตัวข้าเด็ดขาด”

หลินเป่ยเฉินทิ้งคำพูดเอาไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะรีบเดินหนีออกมาจากคฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่กลับมาถึงสำนักกระบี่อมตะ หลินเป่ยเฉินก็ได้รับข้อความจากเทพีกระบี่หิมะไร้นาม

‘ทางเจ้ายังไม่เรียบร้อยอีกหรือ?’

‘ทางข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนะ’

‘รอเพียงให้เจ้าเดินทางมาหานี่แหละ’

‘หลังจากการเดินทางครั้งนี้ พวกเราก็จะมีความสุขด้วยกันตลอดไป’

‘ข้าสามารถแนะนำเทพธิดาสาว ๆ สวย ๆ ให้เจ้าได้เป็นจำนวนมาก ส่วนเจ้าจะสามารถพิชิตใจนางได้สำเร็จหรือไม่ ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเอง’

เทพีกระบี่หิมะไร้นามส่งข้อความมารัว ๆ

แสดงให้เห็นว่านางมีความกระตือรือร้นมากเพียงใด

หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อยและพิมพ์ข้อความตอบกลับไปว่า ‘เทพธิดาสาว ๆ สวย ๆ อย่างนั้นหรือ? ไม่ทราบว่าสาวและสวยมากกว่าท่านหรือไม่?’

‘หากนำมาเทียบกับข้านั้น ยังถือว่าห่างไกลกันมากโข’

เทพีกระบี่หิมะไร้นามส่งข้อความตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ‘หากน้องชายมีความคิดอยากพิชิตใจข้าแล้วล่ะก็ ข้าเองก็ไม่มีอะไรติดขัดหรอกนะ’

‘ถ้าอย่างนั้น ข้าน้อยจะลองดูสักตั้งก็แล้วกัน’

หลินเป่ยเฉินตอบข้อความกลับไปอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน ‘ข้าได้รับตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองมาเรียบร้อยแล้ว ท่านสามารถพูดคุยรายละเอียดในขั้นตอนต่อไปได้เลย’

‘เจ้าทำได้สำเร็จแล้วหรือ?’

เทพีกระบี่หิมะไร้นามถามกลับมาด้วยความเหลือเชื่อ

หลินเป่ยเฉินบอกเล่าเรื่องที่ตนเองได้รับตำแหน่งต่าง ๆ ในเมืองไป๋หยุนให้อีกฝ่ายรับทราบ

ทันใดนั้น…

‘ติ๊ง!’

เสียงแจ้งเตือนที่คุ้นเคยดังขึ้นจากระบบโทรศัพท์

‘เรียนลูกค้าใหม่ผู้น่ารักของแท็กซี่ตี๋น้อย ทางเราตรวจพบการเปิดใช้งานแอปพลิเคชันเป็นครั้งแรก แท็กซี่ตี๋น้อยจึงขอมอบของสมนาคุณเป็นตั๋วเดินทางฟรีหนึ่งเที่ยว ท่านสามารถใช้งานตั๋วเดินทางฟรีนี้ได้ภายในระยะเวลาสามวัน ไม่ทราบว่าต้องการใช้งานเลยหรือไม่?’

ว่าไงนะ?

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นโดยไม่รู้ตัว