ทั้งสามคนเดินมุ่งหน้าไปยังนอกเมืองจักรพรรดิ
เมื่อเดินผ่านหอจิงลั่วที่ล้มครืนไปว่าครึ่งนั้น เฉินฉางเซิงก็หยุดฝีเท้าลง
“บุตรในท้องนางคือผู้ใดกัน”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ จึงอดคิดไปถึงความเงียบที่อยู่ในตำหนักก่อนหน้าไม่ได้ ไหนจะปฏิกิริยาตอบสนองของสวีโหย่วหรงอีกเล่า ถังซานสือลิ่วตกใจยิ่งนัก เขาเตรียมจะหนีไปตามจิตใต้สำนึก
สวีโหย่วหรงมองไปยังเขาก่อนเอ่ยขึ้น “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
เฉินฉางเซิงก็สังเกตุเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของถังซานสือลิ่วแล้ว เขาส่ายหน้าอย่างจนใจ
สงครามการต่อสู้ครั้งนี้มีผู้คนเสียชีวิตมากมายนัก รวมไปถึงเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ ทั้งยังมีทูตสวรรค์เซิ่งกวงสองคนนั้นอีก
คนที่เฉินฉางเซิงยากจะลืม กลับเป็นชีวิตหนึ่งที่หลายคนแทบจะคิดไม่ถึงเลยเช่นกัน
นั่นก็คือเด็กที่อยู่ในครรภ์ของมู่ฮูหยิน
ในสายตาของเขา เด็กคนนั้นคือผู้เสียสละที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ใด ๆ เลย
หรือบางที เป็นเพราะมันทำให้เขานึกถึงเรื่องราวชะตาชีวิตของตัวเองขึ้นมาเสียง่าย ๆ
สวีโหย่วหรงเข้าใจได้ว่าความสงสัยของเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่ออธิบายไปว่าจากเผ่าพันธ์จักรพรรดินั้นต้องตั้งครรภ์ถึงห้าปีถึงจะให้กำเนิดได้
เฉินฉางเซิงก็ตกตะลึง คราวนี้ถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดลั่วลั่วจึงเอ่ยว่าอายุเท่าตน แต่เมื่อมองดูกลับเด็กถึงเพียงนั้น
ที่แท้อายุของนางคือครบรอบปี
นอกเมืองจักรพรรดิ หัวหน้าเผ่าหมี หัวหน้าเผ่าชื่อและยังมีบรรดาผู้อาวุโสเผ่ามารล้วนกำลังรอคอยพวกเขาอยู่
นอกสายตาของจักรพรรดิไป๋ตี้ พวกเขายินดีที่จะแสดงความปรารถนาดีของตนต่อเฉินฉางเซิง เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย
เพียงแต่สุดท้ายแล้วบางครั้งก็ยังมีความกังวลใจ เวลาผ่านไปมากผู้คนก็สลายตัวกันเสียแล้ว ด้านหน้าเมืองจักรพรรดิจึงเงียบเหงายิ่งนัก
เฉินฉางเซิงหันกลับไปมองหอสังเกตุการ์ที่เป็นจุดสีดำเมื่อมองจากที่ห่างไกลโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
แน่นอนว่าเขาทราบดีว่านี่มิใช่ความจริงทั้งหมด
ใยค่ำคืนเหล่านั้นที่เขาทำลายค่ายกลอยู่ที่เทือกเขาลั่วซิง เขาถึงคิดมากมาย ราวกับตอนนี้เขาเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าเรื่องราวเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่
ดังนั้นเมื่อเขาใช้ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีทำลายค่ายกล และจักรพรรดิไป๋ตี้ได้ปรากฏออกมาสู่โลกภายนอกนั้น เขาเองจึงไม่ลังเลที่จะหันหลังกลับทันที
เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิไป๋ตี้ยังมีชีวิตอยู่ ขอเพียงมั่นใจว่าอย่างนั้น แต่เขาไม่อยากพบเห็นอีกฝ่าย ยิ่งไม่อยากจะเสวนากับอีกฝ่าย
เนื่องจากเขารังเกียจ
จักรพรรดิไป๋ตี้ไม่ได้เสียชีวิตทั้งยังไม่ได้สลบไสล
คืนก่อนคัดเลือกสวรรค์ หัวหน้าเผ่าเซี่ยงมายังเทือกเขาลั่วซิง แน่นอนว่าต้องสัมผัสได้ถึงปณิธานแท้จริงของเขาเป็นแน่
มู่ฮูหยินทราบดีว่าหัวหน้าเผ่าเซี่ยงสวามิภักดิ์กับต้นด้วยเจตนาจอมปลอม แล้วก็ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา นางก็เริ่มสงสัยในตัวจักรพรรดิไป๋ตี้ แต่นางไม่ได้เปลี่ยนความตั้งใจ ยังคงดำเนินการตามแผนของตนต่อไป เนื่องด้วยนางเองเข้าใจในตัวจักรพรรดิไป๋ตี้เป็นอย่างดี ทราบดีว่าขอเพียงเขาสามารถวางตนอยู่นอกเรื่องราวต่างๆ ก็จะเห็นด้วยกับทุกอย่างที่นางกระทำลงไป
เพียงแต่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถคาดคิดว่าเขาจะไปยังเทือกเขาลั่วซิง และช่วยจักรพรรดิไป๋ตี้ออกมา
การทำลายค่ายกลและการช่วยเหลือคนในคืนนั้น แท้จริงแล้วบีบบังคับใจคนยิ่งนัก
บีบบังคับใจคนนั้นมิใช่ความมั่งคั่งแต่เป็นเจตนาที่มั่นคงและความดื้อดึง
สุดท้ายแล้ว จักรพรรดิไป๋ตี้ถูกเฉินฉางเซิงบีบบังคับออกมาจากเทือกเขาแห่งนั้นจนได้
วิธีการทำลายค่ายกลนั้น ซางสิงโจวบอกเขาผ่านสวีโหย่งหรงและเสี่ยวเต๋อ
เมื่อได้ออกมาพบผู้คน จักรพรรดิไป๋ตี้จึงต้องตัดสินใจเด็ดขาด
เมื่ออภิปรายประเด็นนี้ ถือว่าเขานั้นพ่ายแพ้ในกำมือของซางสิงโจวและเฉินฉางเซิงจริง ๆ
ถังซานสือลิ่วนึกถึงภาพบรรยากาศที่ค่ายกลพระราชวังหลีลงมือทำลายในตอนนั้น นึกไปถึงราชามารที่เดินออกมาจากด้านในของรัตติกาลรวมไปถึงทูตสวรรค์เซิ่งกวงสองท่านนั้นที่ลงมาจากท้องฟ้า จึงเอ่ยออกมาหวาดผวาว่า “ยังดีที่สุดท้ายแล้วแผนการร้ายทั้งหมดพ่ายแพ้ไป มิเช่นนั้นตอนจบจะเป็นเช่นไรก็สุดรู้”
เฉินฉางเซิงไม่ได้เอ่ยอันใด เขาไม่เห็นด้วยกับความคิดของถังซานสือลิ่ว
“ใครเล่าจะพูดได้ว่าจักรพรรดิไป๋ตี้พ่ายแพ้แล้วจริง ๆ เผ่ามารสูญเสียทูตสวรรค์เซิ่งกวงไปสองคน เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็สูญเสียผู้แข็งแกร่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปสองคนเช่นกัน ซางสิงโจวได้รับบาดเจ็บไม่น้อย หัวหน้าเผ่าเซี่ยงถูกสังหารอย่างไร้ความยุติธรรม เผ่าเซี่ยงก็ล่มสลายไปด้วยเหตุนี้ สภาผู้อาวุโสถูกทอนไปไม่น้อย หลังจากนั้นสองร้อยปีทั้งดินแดนปีศาจก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้เขาหวาดกลัวได้อีก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินฉางเซิงและลั่วลั่วเองก็ตัดไม่ขาด อนาคตหากนางต้องสืบทอดตำแหน่ง เผ่าปีศาจก็ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับการข่มเหงจากเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้จะได้ผลประโยชน์ในด้านดีมากมาย เพียงต้องแลกความด้วยชีวิตของมู่ฮูหยินเท่านั้น
สวีโหย่วหรงชะงักไปครู่ใหญ่ นางเอ่ย “หรือว่าเขาไม่ชอบ
ถังซานสือลิ่วจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าลมนั้นหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากนั้นเข้าถึงได้พบว่าตอนนี้เดินออกมานอกประตูเมืองแล้ว มาถึงยังท่าเรือที่อยู่ริมแม่น้ำ
เซวียนหยวนผ้อและคนจากตระกูลถังรวมไปถึงเหล่าพรตจากสำนักฝึกหลวง ต่างก็รอที่นี่มาเป็นเวลานานแล้ว
ลมหนาวกรีดร้องบนผิวของแม่น้ำ ทำให้ลมหายใจของผู้คนกลายเป็นเสาน้ำแข็ง และภาพก็ดูงดงามนัก
หลังจากพายุหิมะผ่านพ้นไป อุณหภูมิในเมืองจักรพรรดิก็ ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
ลมหนาวพัดมาจากผิวน้ำอันที่จริงแล้วมาจากทะเลตะวันตกด้านนั้นของภูเขา
ลมตะวันตกหนาวเย็นราวกับมีดน้ำแข็ง กลับพัดเป่าใบหน้าผู้คนจนแดงซ่าน ราวกับร่ำสุรารสแรงอย่างไรอย่างนั้น
เฉินฉางเซิงหันกลับไปมองยังเมืองจักรพรรดิ นึกถึงคืนวันที่เพิ่งผ่านพ้นไป คิดถึงผู้คนที่อยู่ในเรื่องราวเหล่านี้ นึกถึงจักรพรรดิไป๋ตี้และมู่ฮูหยิน
“พวกเราจะกลายเป็นคนอย่างนี้จริง ๆ หรือ”
ในปีนั้นริมทะเลสาบที่สำนักฝึกหลวง หลายวันก่อนที่อยู่ริมทะเลสาบของเมืองเวิ่นสุ่ย เขาเคยเอ่ยถามคำถามเหล่านี้มาแล้ว
ก่อนหน้านี้ถังซานสือลิ่วสามารถให้คำตอบที่ชัดเจนแก่เขาได้ ทว่าวันนี้เขากลับเงียบ
เฉินฉางเซิงนึกถึงเปี๋ยยั่งหงและอู่ฉยงปี้ ทั้งยังนึกถึงปัญหาที่สำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“หากฮูหยินของเจ้าดีกับเจ้ามาก แต่นิสัยย่ำแย่มาก ทั้งยังเป็นศิษย์ของผู้ชั่วร้าย”
คำถามนั้นเปี๋ยยังหงเป็นผู้ถาม
เซวียนหยวนผ้อนึกถึงวันนั้น สีหน้าขรึมลง
สวีโหย่วหรงมองเขาเงียบก่อนเอ่ยถามเขา “หากเป็นเจ้า เจ้าจะทำเช่นไร”
เฉินฉางเซิงคิดอย่างจริงจังก่อนเอ่ย “ข้าจะเตือนเจ้า ห้ามปรามไม่ให้เจ้าคิดร้าย อยู่เคียงข้างเจ้าไปทั้งชาติ”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยถาม “เหมือนอย่างกับเปี๋ยยั่งหงเช่นนั้นหรือ”
เฉินฉางเซิงคิดอีกครั้ง เขาส่ายหน้าก่อนเอ่ย “ข้าทำไม่ได้”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “ข้าก็ไม่อยากเช่นกัน”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “หากว่าเจ้าพบปัญหาเช่นนี้”
สวีโหย่วหรงคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ย “ข้าจะสังหารเขาเสีย จากนั้นก็ตายตามเขาไป”
คำตอบนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกเป็นกันเองเช่นนี้ ทำให้เซวียนหยวนผ้อที่เตรียมจะเอ่ยคำใดไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก
“มิเสียแรงที่เป็นเด็กที่ได้รับการสั่งสอนจากจักรพรรดินีเทียนไห่”
ถังซานสือลิ่วทอดถอนใจ จากนั้นหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไป “ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าล้วนสมองมีปัญหา”
เฉินฉางเซิงสีหน้าประหลาดเล็กน้อย เอ่ยถาม “ เจ้าคิดว่าควรทำเช่นไร”
“พวกเจ้าบอกว่าข้าเหมือนฉูซู แนวทางการลงมือของข้าแน่นอนว่าก็ต้องเหมือนกับเขา”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยถาม “จะทำอย่างไรเล่า อะไรก็ไม่ลงมือทำ ลงมือทำเรื่องเลวไปด้วยกันเลยไม่ดีกว่าหรือ”
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าคำกล่าวนี้ไม่ใคร่ถูกต้องนัก เมื่อเตรียมที่จะเอ่ยกลับได้ยินเสียงเพลงพิธีกรรมครึกครื้นลอยมาจากที่ไกล ๆ
เสียงเพลงนั้นคึกคักยิ่งนัก ยังได้ยินเสียงประทัดที่ดังขึ้นเป็นพัก ๆ ระหว่างเสียงเพลงด้วย น่าจะเป็นบ้านตระกูลใดจัดพิธีมงคลอยู่
เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย มู่ฮูหยินเพิ่งจะเสียชีวิตไป ตระกูลที่จัดงานมงคลในเวลานี้ ไม่โง่งมก็คงมีเบื้องหลัง
ตระกูลที่จัดงานมงคลในเวลาเยี่ยงนี้กลับไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั้น
ไม่มีผู้ใดห้ามปราม เนื่องจากตระกูลนี้กำลังจัดพิธีมงคลสมรสอยู่และสถานะของประธานในพิธีนั้นพิเศษมาก
เซวียนหยวนผ้อเอ่ยกับถังซานสือลิ่วว่า “เดิมทีประธานในพิธีที่ถูกเชิญนั้นคือเจ้าสำนักฝึกหลวง ตอนนี้ข้าไปแทน”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “อย่างนั้นข้าจะรีบจากไป
นักพรตจากอารามเต๋าซีหวงและนักพรตชุดแดงหลายท่านก็ก้าวเข้ามากล่าวลา เตรียมตัวจะไปร่วมงานมงคลสมรสนั้น
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ถังซานสือลิ่วยิ่งไม่เข้าใจ ในใจคิดว่านี่มันเรื่องอันใดกัน
เซวียนหยวนผ้ออธิบายเรื่องนี้แก่เขา
คู่สมรสในวันนี้คือชายหญิงวัยรุ่นคู่หนึ่งที่หลายวันก่อนอยู่หน้าเมืองจักรพรรดิร่วมชมงานพิธีคัดเลือกสวรรค์
บุรุษผู้นั้นคือกุลีเผ่าหมีเมืองถิ่งซงทางตอนใต้ของเมืองจักรพรรดิ ส่วนสตรีผู้นั้นคือหญิงสูงศักดิ์ของเมือง
หากว่ากันตามหลักการแล้ว คนที่สถานะแตกต่างกันอย่างพวกเขานั้นไม่มีทางจะรู้จักกันได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแต่งงาน
ปัญหาอยู่ที่ในวันนั้น บนหอสังเกตุการณ์การสู้รบที่รุนแรงระหว่างเฉินฉางเซิงและราชามาร หอจิงลั่วถล่มลงจนเกิดศิลาขนาดใหญ่ก้อนนั้น
กุลีเผ่ามีผู้นั้นอยู่ในด่านสุดท้าย ปกป้องสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นเอาไว้
ต่อให้เป็นเยี่ยงนี้จริง พวกเขาก็ต้องตายอยู่ดีเหมือนกับคนนับร้อยที่หนีไม่ทันในวันนั้น
ยังดีที่กลุ่มกระบี่ของเฉินฉางเซิงเปิดฉากพร้อมกัน ถล่มศิลายักษ์ก้อนนั้นเสียเป็นผุยผง บังเกิดเป็นหิมะตกลงมาหน้าเมืองจักรพรรดิ
ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต ทุกคนซาบซึ้งจนกลายเป็นความรัก หลังจากนั้นจึงก้าวข้ามผ่านทุกอย่างกลายเป็นงานมงคลสมรสในวันนี้
“พวกเขาล้วนกล่าวว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับข้าที่เป็นผู้สู่ขอ”
เซวียนหยวนผ้อเอ่ย “แต่ข้ารู้สึกว่าทัศนคติของฝ่ายหญิงดีมาก ผู้คนในชนเผ่าต่าง ๆ ล้วนคิดมากไป”
ถังซานสือเอ่ยขึ้น “หากว่าผู้ที่เป็นตัวแทนของฝ่ายชายไปสู่ขอไม่ใช่เจ้า ท่าทีของตระกูลฝ่ายหญิงจะดีอย่างนี้เทียวหรือ อีกอย่างเหตุใดเจ้าจึงไปยุ่งเรื่องนี้ได้กัน”
เซวียนหยวนผ้อเอ่ย “ล้วนเป็นคนเผ่าพันธุ์ อีกอย่างซาลาเปาเนื้อของหูจี้ก็รสชาติดียิ่งนัก ลืมบอกไปว่า เจ้าบ่าวเป็นแรงงานของร้านขายซาลาเปาเนื้อหูจี้ ในวันนั้นหากมิใช่เขาเสี่ยงชีวิตเสี่ยงอันตรายโยนเถ้าแก่และท่านครูออกไปแล้วละก็ อาจจะไม่ได้ทานซาลาเปานี้อีกต่อไปแล้วก็ได้”
ถังซานสือลิ่วยิ้มพลางเอ่ย “เกินไปกระมัง ซาลาเปาอะไรจะเลิศรสถึงนั้น”
เฉินฉางเซิงมิได้หัวเราะ เขาเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ซาลาเปาร้านนั้นอร่อยจริง ๆ”
ร้านซาลาเปาหูจี้ในเมืองซงถิ่ง อยู่ไม่ไกลจากวัดเทียนซู่ แน่นอนว่าก็ต้องไม่ไกลจากบ้านของเซวียนหยวนผ้อ”
เปี๋ยยั่งหงชื่นชอบซาลาเปาของร้านเขาที่สุด น่าเสียดายที่จวบจนเสียชีวิตก็มิได้ทานซาลาเปาร้อน ๆ สักคำ
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบขรึมในทันที
ถังซานสือลิ่วเคยได้ฟังเฉินฉางเซิงกล่าวถึงเรื่องราวของเปี๋ยยั่งหงก่อนเสียชีวิต ราวกับเขาเข้าใจได้ถึงเรื่องราวอะไรบางอย่าง
เซวียนหยวนผ้อเอ่ยลาเฉินฉางเซิงและคนอื่น ๆ
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “อีกหน่อยค่อยนัดรวมตัวที่สำนักฝึกหลวงแล้วกัน”
เซวียนหยวนผ้อพยักหน้ารับคำ พลางเดินไปทางเสียงดนตรีที่ครื้นเครงพร้อมกับนักพรตคนอื่น ๆ
มองไปยังเศษละอองที่ปลิวว่อนไม่หยุดทางด้านนั้น เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนเอ่ย “ถือเป็นเรื่องดี”
“ใช่ บนโลกนี้ถือว่ามีเรื่องราวดีงามไม่น้อยเลย”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “ในเมื่อเป็นเยี่ยงนี้ ผู้ใดกล่าวกันว่าพวกเราจะต้องกลายเป็นคนอย่างคู่สามีจักรพรรดิไป๋ตี้อย่างนั้น”
สวีโหย่วหรงยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยคำใด
อุณหภูมิเพิ่มขึ้นตามแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง
ลมตะวันตกค่อย ๆ อบอุ่นขึ้น ไม่ได้หนาวเหน็บอย่างก่อนหน้าแล้ว
เสียงนกกระเรียนดั่งขึ้น กระเรียนขาวโผบินจากไป
ร่องรอยหิมะสั่นไหว หญิงสาวชุดดำนางหนึ่งโผลงริมแม่น้ำ
นางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดจึงต้องรีบร้อนจากไป”
เนื่องจากเฉินฉางเซิงได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง
ฉบับหนึ่งเป็นจดหมายที่มาจากเมืองหลวง
ในเมืองหลวงมีคนจะเข้าพิธีมงคลสมรส จึงเชิญเขากลับไปเข้าร่วมพิธีมงคลสมรส อีกทั้งยังประสงค์ให้เขาทำหน้าที่เป็นผู้สู่ขอ
งานมงคลสมรสครั้งนี้ในเมืองจักรพรรดิ เขาสามารถไม่เข้าร่วมได้ แต่งานมงคลสมรสงานนั้นที่อยู่ในเมืองหลวงเขาต้องเข้าร่วม
เขาทราบดีว่าไม่ว่าตนนั้นจะยินดีหรือไม่ล้วนหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไม่ได้
ก็เหมือนกับในปีนั้น ไม่ว่าเขาจะยินดีหรือไม่ นางก็ยังขึ้นเตียงของเขาเช่นกัน