ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 1 คนดีควรสังหารคนชั่ว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

มีเรืออยู่ในมหาสมุทร

เป็นเวลาหลายวันแล้วที่เรือออกจากเมืองไป๋ตี้

สาเหตุที่ยังไม่มาถึงที่หมาย

เนื่องจากคนบนเรือยังคงหวังว่าจะได้รับข่าวดีและสามารถหันหัวเรือกลับได้

จนถึงตอนนี้

ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ ในที่สุดคนบนเรือก็ยอมแพ้

เมื่อมองไปที่แนวชายฝั่งที่ค่อยๆ

ปรากฏสู่สายตา ในที่สุดใบหน้าที่ซีดเซียวของมู่จิ่วซือก็ดูผ่อนคลายลง

เสด็จอาสิ้นไปแล้ว

และมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพี่สาวของนาง

นางไม่ทราบว่าจะต้องเผชิญหน้ากับพี่ชายอย่างไร

แต่การได้กลับบ้านก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี

องค์ชายรองมองมาที่นางและถอนหายใจเบาๆ

เพราะรู้ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป

เกรงว่าจะไม่สามารถเดินทางสายกลางได้เป็นเวลาหลายร้อยปีเลยทีเดียว

ขณะนั้นเสียงแหวกอากาศดังขึ้น

เมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าต่างหวาดผวาและกระจายตัวไป

ตัวเรือสั่นไหวเล็กน้อยและมีคนปรากฏตัวขึ้นที่หัวเรือ

เป็นชายชราผมหงอกผู้หนึ่ง

ใบหน้ากลมใหญ่ ดูตลกเล็กน้อย หรืออาจจะมองได้ว่าเขาดูมีความสุขมาก

มู่จิ่วซือและองค์ชายรองไม่รู้ว่าบุคคลนี้มาจากไหน

แต่พวกเขารู้ว่า

อีกฝ่ายที่สามารถปรากฏตัวขึ้นจากท้องทะเลและท้องฟ้าอันกว้างใหญ่นั้นต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

ยิ่งกว่านั้นชายชราหน้ากลมไม่ได้ซ่อนพลังลมปราณของเขาเลยแม้แต่น้อย

ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือขอบเขตทางโลก

มู่จิ่วซือมองหน้าอีกฝ่ายอย่างหวาดระแวงแล้วถามว่า

“ท่านเป็นผู้ใดกัน”

ชายชราหน้ากลมลูบศีรษะของตนเอง

ราวกับว่าเขาไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ดูเหมือนข้าจะมีแซ่เฉา”

เมื่อได้ยินนามสกุลนี้

มู่จิ่วซือและเจ้าชายรองก็ประหลาดใจมาก

มีผู้แข็งแกร่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์บนแผ่นดินใหญ่ในปัจจุบันไม่น้อย

แต่มีเพียงคนเดียวที่มีแซ่เฉา

นั่นคือเฉาอวิ๋นผิง

เฉาอวิ๋นผิงคือหลานชายของผู้เฒ่าความลับสวรรค์

และยังเคยเป็นหนึ่งในมรสุมแปดทิศ

ร้อยกว่าปีที่แล้ว

ด้วยเหตุอันเป็นความลับบางอย่าง ครั้งหนึ่งเขาเคยต่อสู้กับซูหลี

หลังจากนั้นก็พ่ายแพ้

หลังจากนั้น

จู่ๆ เขาก็ตัดสินใจล้มเลิกฝึกเคล็ดวิชาบำเพ็ญพรตของตน และเริ่มต้นฝึกฝนวิธีแบบใหม่

แน่นอนว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

ไม่ว่าผู้ใด ก็ล้วนมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย

แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าความลับสวรรค์หรือว่าจักรพรรดินีเทียนไห่

ล้วนไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของเขาได้

เฉาอวิ๋นผิงสลายพลังลมปราณในกายออกไปทั้งหมด

เริ่มบำเพ็ญพรตใหม่ตั้งแต่ต้น และในช่วงที่เขาใกล้จะประสบความสำเร็จนั้น

ละอองดาวในกายได้ระเบิดออก ถึงแม้จะฝืนชะตามีชีวิตต่อมาได้ แต่ว่าห้วงแห่งจิตได้รับการทำร้ายยังถึงขีดสุด

สติปัญญาเลอะเลือนอยู่บ้าง หรือจะกล่าวได้ว่า เขาได้กลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปเสียแล้ว

นับแต่นั้นเป็นต้นมา

มรสุมแปดทิศก็ขาดคนไปผู้หนึ่ง ไม่ได้มีใครพบเห็นร่องรอยของเขาอีกต่อไป

มู่จิ่วซือไม่คาดคิดเลยว่าคนผู้นี้จะมาปรากฏตัวบนเรือของตน ยังเห็นได้ชัดว่าวิทยายุทธ์ทั้งหมดได้กลับคืนมาแล้ว กระทั่งอาจจะมากกว่าในปีนั้นเสียด้วยซ้ำ

“ผู้อาวุโส…มีสิ่งใดจะชี้แนะหรือไม่”

เฉาอวิ๋นผิงที่ได้ยินคำถามนี้ก็ตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง

เขาเริ่มย้อนกลับไปนึกคิด หัวคิ้วของเขาขมวดเกร็ง ด้วยใช้แรงเป็นอย่างมาก ดังนั้นใบหน้ากลมๆ

ของเขาจึงดูเครียดขึ้ง มองดูแล้วราวกับหมอนที่ยัดนุ่นเอาไว้เต็มใบ

แต่ไม่ว่าจะเป็นมู่จิ่วซือหรือว่าองค์ชายรองล้วนไม่กล้าส่งเสียงหัวเราะออกมา

เฉาอวิ๋นผิงอาจจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อน

แต่ระดับขั้นและความสามารถที่แท้จริงยังคงน่ากลัวถึงเพียงนี้ อย่างนั้นก็หมายความถึงอันตรายขั้นสูงสุดนั่นเอง

เฉาอวิ๋นผิงในที่สุดก็นึกออก

หัวคิ้วของเขาไม่ได้ขมวดอีกต่อไป มองพวกเขาพร้อมเอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ดีว่า “ข้านึกออกแล้ว”

มู่จิ่วซือเอ่ยถามอย่างระวังว่า

“ผู้อาวุโสนึกสิ่งใดออกหรือ”

เฉาอวิ๋นผิงไม่ได้ตอบคำถามนางออกมาตรงๆ

แต่เอ่ยอย่างตัดพ้อว่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงกลับมาช้าเพียงนี้

ข้ารอพวกท่านมาหลายวันแล้ว”

มู่จิ่วซือจู่ๆ

ก็รู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย เอ่ยถามออกไปว่า “ผู้อาวุโสรอพวกข้าด้วยเรื่องใดกัน”

เฉาอวิ๋นผิงเอ่ยตอบ

“ข้ารับปากเฉินฉางเซิงไว้ ว่าจะสังหารพวกเจ้า”

เมื่อได้ฟังคำนี้

มู่จิ่วซือและองค์ชายรองก็สีหน้าซีดเผือด

เฉาอวิ๋นผิงเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นได้

ก็รีบเอ่ยกับองค์ชายรองว่า “อย่ากลัวๆ ข้าจำผิดแล้ว ไม่มีเจ้า มีเพียงเด็กสาวคนนี้เท่านั้นที่จำเป็นต้องตาย”

มู่จิ่วซือมองไปยังเส้นริมฝั่งมหาสมุทรที่อยู่ใกล้เข้ามาทุกที

เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงมั่นคงว่า “ผู้อาวุโสจะสังหารข้าด้วยเหตุใด มีเรื่องอะไรเข้าใจผิดหรือไม่”

ในความคิดของนาง

เฉินฉางเซิงจะต้องใช้วิธีการบางอย่างถึงเชื้อเชิญผู้แข็งแกร่งที่หลบลี้จากโลกนี้ไปนานท่านนี้ออกมาได้

หรือบางทีอาจจะใช้วาจาหลอกล่อ อย่างนั้นนางเองก็ต้องคิดหาวิธีการโน้มน้าวอีกฝ่ายให้ได้

หรือไม่ก็มอบผลประโยชน์ที่เพียงพอให้ ความแตกต่างระหว่างนี้ ก็เพียงพอจะมองออกว่าผู้แข็งแกร่งที่หลบหนีจากโลกภายนอกผู้นี้ปัญญาอ่อนจริงๆ

หรือว่าแกล้งปัญญาอ่อน

“ตอนนี้ข้าโง่งมแล้ว จริงๆ นะ

ตอนนั้นข้าจึงเอาแต่แอบซ่อนตัวอยู่ด้านในเทือกเขา ด้วยเกรงว่าหากลงมือไปตามอำเภอใจอยู่ด้านนอกนี้

อาจจะลงมือสังหารคนดีผิดไปได้”

เฉาอวิ๋นผิงอธิบายอย่างตั้งใจ

“แต่เจ้าไม่ใช่คนดี เนื่องจากเจ้าสมคบคิดกับเผ่ามาร

ทั้งยังสังหารบุตรชายของเปี๋ยยั่งหง ข้ารู้จักเปี๋ยยั่งหง เขาเป็นคนดีมาก”

มู่จิ่วซือตื่นเต้นอย่างมาก

แต่สีหน้ากลับยังคงเฉยเมยอยู่ แล้วเอ่ย “ผู้อาวุโสเหตุใดจึงมั่นใจนักว่าข้าไม่ใช่คนดี

แค่เพียงเพราะว่าเฉินฉางเซิงพูดกับท่านอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว ข้าเชื่อคำพูดของเฉินฉางเซิง เนื่องจากเขาเป็นคนดี

ชิวซานก็เชื่อเขา ชิวซานเองก็เป็นคนดี”

เฉาอวิ๋นผิงเอ่ยอธิบายกับนางอย่างอดทน

“พวกข้าล้วนแล้วแต่เป็นคนดี เจ้าเป็นคนเลว ดังนั้นพวกข้าต้องสังหารเจ้า”

……

……

หลังจากออกจากฝั่งแล้ว

นกกระเรียนขาวก็บินไปไม่ไกลนัก และโผลงมาท่ามกลางภูเขา

ผู้อาวุโสของสำนักฝึกหลวงทั้งสี่คนและทหารม้าสามพันนายกำลังรออยู่ในค่าย

ราชันแห่งหลิงไห่กล่าวกับเฉินฉางเซิง

“ตระกูลชิวซานส่งจดหมายมา คนผู้นั้นน่าจะไปที่ทะเลตะวันตก”

เฉินฉางเซิงชะงักไป

เอ่ยถามว่า “แน่ใจหรือ”

ราชันแห่งหลิงไห่ตอบว่า

“ใช่”

สวีโหย่วหรงเอ่ยถามว่า

“ผู้ใดไปทะเลตะวันตก”

“เฉาอวิ๋นผิง”

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า

“ข้าพบเขาบนท้องฟ้าเมื่อหลายวันก่อน”

สวีโหย่วหรงทราบดีว่าตอนที่เขาจากจวนหลูหลิงอ๋องมาที่เมืองไป๋ตี้

เขาพบเจอกับผู้แข็งแกร่งทรงพลังไร้ใครเทียบได้ระหว่างทาง ตอนนี้ถึงได้ทราบว่า ที่แท้ก็คือเฉาอวิ๋นผิง

นางทราบดีว่าเฉาอวิ๋นผิงเป็นใคร และทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชิวซานจวินเป็นอย่างดี

แน่นอนว่านางก็ต้องสามารถเดาได้ว่าเหตุใดเฉาอวิ๋นผิงจึงปรากฏตัวขึ้น

จึงมองเฉินฉางเซิงด้วยสายตาแฝงเจตนาขออภัย

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า

“ไม่เป็นไร คงจะเป็นเซี่ยงอ๋องให้คนมาส่งข่าว ไม่เกี่ยวอะไรกับตระกูลชิวซาน”

สวีโหย่วหรงกล่าวว่า

“ข้าได้ยินศิษย์พี่บอกว่า ผู้อาวุโสท่านนี้สูญเสียสติปัญญาไปจริงๆ นี่จะไม่มีผลต่อการตัดสินของเขาหรือ”

“ได้รับบาดเจ็บอยู่บ้างจริงๆ ผู้อาวุโสตอนนี้สติปัญญาน่าจะเทียบได้กับเด็กทารก

แต่ว่า…เขาเป็นคนดี”

เฉินฉางเซิงเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า

“คาดไม่ถึงเลยว่าในคืนนั้นข้าเพียงหลุดปากพูดไป ผู้อาวุโสจะเดินทางไปทะเลตะวันตกอย่างไม่เกรงความยากลำบาก”

ราชันแห่งหลิงไห่หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งยื่นให้แก่เฉินฉางเซิง

นี่คือกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่ง

เนื้อหาข้างในนั้นมีการใช้ชาดเขียนนามของบุคคลเอาไว้สิบกว่าชื่อ

นี่คือข้อความที่ราชันแห่งหลิงไห่รวมถึงคนอื่นๆ

เขียนขึ้นในคืนแรกที่มาถึงยังเมืองไป๋ตี้

นามของมู่ฮูหยินที่อยู่ด้านบนสุดของกระดาษ

ในเวลานี้ถูกขีดฆ่าด้วยเส้นขวางหนึ่งเส้น นั่นแสดงว่านางได้เสียชีวิตแล้ว

เฉินฉางเซิงรับเอาพู่กันมาจากมือของนักพรตซือหยวน

จุ่มเอาชาดที่ละลายกับน้ำแล้วขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แล้วขีดฆ่าชื่อของมู่จิ่วซือซึ่งเขียนเอาไว้อยู่ในบรรทัดที่สอง

รายนามนี้คือชื่อรายนามผู้เสียชีวิตฉบับหนึ่ง

จากเมืองฮั่นชิวมาจนถึงเมืองเวิ่นสุ่ย

จนถึงเมืองเฟิ่งหยาง จนถึงเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ จนถึงเมืองไป๋ตี้ รายนามของผู้สมควรตายนั้นล้วนอยู่ด้านบนนี้

ด้านข้างของชื่อของมู่จิ่วซือคือชื่อของฉูซู

สายตาของทุกคนล้วนทอดมองที่ชื่อนี้

ทั้งค่ายเงียบลงในทันใด