ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 2 สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดความอบอุ่นสู่การสังหาร

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

บนรายนามนั้น นอกจากมู่ฮูหยินแล้ว ถือได้ว่าความสามารถของฉูซูล้ำเลิศยิ่งนัก และตัวประหลาดที่ฝึกวิชาวิชาน้ำพุเหลือง วิชาล่องหนแข็งแกร่งยิ่งนัก ไปมาไร้ร่องรอย กลวิธีแปรเปลี่ยนยากคาดเดา ทั้งยังโหดเหี้ยมปลิ้นปล้อน แม้ว่าในเมืองจักรพรรดิ เข้าจะถูกสวีโหย่วหรงทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส แต่ยังคงยากที่จะสังหารได้

คิดไปถึงว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนี้แอบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเทือกเขาซับซ้อน จะตามหาตัวเจอได้อย่างไร

“หรือบางทีข้าอาจจะคาดเดาได้เว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ใด”

นักเล่นพิณท่านนั้นของตระกูลถังจู่ ๆ ก็เอ่ยปากขึ้นว่า “หากท่านใต้เท้าสังฆราชไม่รังเกียจ เรื่องนี้โปรดมอบให้ข้าจัดการ”

ผู้คนถึงได้นึกขึ้นได้ว่า นักเล่นพิณตาบอดผู้นี้คือผู้อาวุโสรุ่นก่อนแห่งพรรคฉางเซิง และตัวประหลาดฉูซูผู้นั้นเป็นจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของหัวหน้าพรรคฉางเซิงรุ่นก่อน

ราชันดิ์แห่งหลิงไห่มองไปยังเฉินฉางเซิง เห็นได้ชัดว่าตื้นตัน

เฉินฉางเซิงไม่เห็นด้วย เรื่องจากนักเล่นพิณตาบอดได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการสู้รบกับทูตสวรรค์เซิ่งกวง ยากจะฟื้นกำลังในระยะเวลาอันสั้นและอีกฝ่ายเองเป็นถึงผู้รับใช้ตระกูลถัง

สวีโหย่วหรงเข้าใจในความหมายของเขา นางเอ่ยขึ้น “ให้ข้าไปเถอะ”

หากเอ่ยเรื่องหารไล่ล่าสังหารฉูซู นางเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด หรือแม้แต่จะบอกว่าเป็นตัวเลือกเดียวอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

วิชาพรตของนางและวิชาน้ำพุเหลืองนทีของฉูซูต่างก็พอกัน ทั้งนางยังสามารถใช้ความเร็วของตนบังคับทำลายวิชาล่องหนของฉูซูเสีย

นอกจากนางแล้ว ทุกคนในที่นั้นไม่แน่ว่าจะตามฉูซูทัน ต่อให้ตามทันก็อาจจะสังหารอีกฝ่ายไม่ได้ ต่อให้เป็นเฉินฉางเซิงก็ไม่มีความมั่นใจ

เฉินฉางเซิงยังคงไม่เห็นด้วย อีกประการหนึ่งเหตุผลของเขาได้รับการยอมรับจากทุกคน

ต่อมาเขายังต้องกลับไปยังเมืองหลวง ในเมืองแห่งนั้นจะเกิดเรื่องราวที่สำคัญกว่าขึ้น ปัญหาที่ยุ่งยากจริง ๆ กำลังรอคอยเขาอยู่

ในเวลาแบบนี้ สวีโหย่วหรงไม่สามารถอยู่ห่างกายเขาได้

ราชันย์แห่งหลิงไห่เอ่ยถาม “อย่างนั้นจะทำเช่นไรเล่า วางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราวหรือ”

ในค่ายนั้นเงียบลงอีกครั้ง บรรยากาศเปลี่ยนเป็นกดดันเล็กน้อย

“ข้าคิดหาวิธีการเอง”

เฉินฉางเซิงมองไปยังสวีโหย่วหรง เขาเดินออกไปนอกค่าย สวีโหย่วหรงเข้าใจเจตนาจึงเดินตามออกไป

ราชันดิ์แห่งหลิงไห่และคนอื่น ๆ ค่อนข้างกังวลใจ เขามองไปยังถังซานสือลิ่ว

ถังซานสือลิ่วโบกมือ แสดงเจตนารมณ์ว่าตนจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ข้าไปดูเอง”

ในฐานะที่เป็นนักบวชที่มีประสบการณ์น้อยที่สุด หู้ซานสือเอ้อร์ถอนใจอย่างจนใจแล้วเดินออกไปจากค่าย

เมื่อพวกเขามาถึงใต้ต้นสนที่อยู่ท่ามกลางหน้าผาเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงก็หยุดเดิน

เขารู้ว่าหู้ซานสือเอ้อร์ติดตามมา แต่เขาไม่ได้ออกปากห้ามปราม

หากไม่ให้นักบวชเหล่านี้รู้วิธีการของตน พวกเขาก็ยากที่จะสบายใจ

ลมกระโชกแรงทำให้กิ่งไม้และต้นเข็มสนสั่นไหว

ใบสนสีเหลืองบางใบตกลงบนขนสัตว์สีเหลือง ราวกับว่ามันจะหลอมรวมกันจนยากที่จะแยกแยะ

มันเป็น สิ่งมีชีวิตคล้ายสุนัข ที่มีขนที่ยุ่งเหยิง และดูน่าขยะแขยง

ขาหลังทั้งสองข้างของมันดูเหมือนจะหัก มันลากไปกับพื้นอย่างอ่อนแรงดูน่าสงสารยิ่งนัก

เมื่อมองไปที่เฉินฉางเซิง ดวงตาของมันก็กระพริบด้วยความตื่นเต้น มันพยุงร่างของมันด้วยสองขาหน้า ปีนป่ายมาอยู่เบื้องหน้าเขาอย่างยากเย็นด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจุมพิตหน้าเท้าของเขาไม่หยุด

สวีโหย่วหรงเอียงศีรษะมองไปที่ฉากนี้ด้วยรู้สึกน่าสนใจมาก

แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเห็นฉากคล้าย ๆ กัน แต่นางก็ยังอยากจะหัวเราะทุกครั้งที่เห็นสัตว์ประหลาดตัวนี้ทำตัวเป็นคนทรยศ

หู้ซานสือเอ้อร์รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าสนใจนัก แต่เมื่อเขามองไปที่ดวงตาเล็ก ๆ ที่ชั่วร้ายของอีกฝ่ายเขาก็รู้สึกหนาวสั่นเล็กน้อย

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงที่มาของสัตว์ปีศาจตัวนี้ขึ้นมาได้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป เอ่ยออกมาเสียงสั่นเทา “นี่คือวานรดินหรือ”

ใช่แล้ว นี่ก็คือวานรดินที่มีชีวิตอยู่ในสวนโจวมาหลายร้อยปี

และก็คือสัตว์ปีศาจชนิดนั้นที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์ลัทธิเต๋าว่าโหดเหี้ยมที่สุด ไร้ยางอายที่สุด มีเล่ห์เหลี่ยมที่สุด และกระหายเลือดที่สุด

แม้แต่สัตว์อสูรขนาดยักษ์ที่ติดอันดับสูงในรายชื่อสัตว์ร้ายเช่นยักษ์ล้มภูเขาและอสูรกระทิง ก็ไม่ใคร่จะทำให้วานรดินขุ่นเคืองและยังทำตามการเตรียมการในสนามรบ

เมื่อแน่ใจแล้วว่าสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับหนังสุนัขสีเหลืองเหม็นเน่านี้คือสัตว์ปีศาจในตำนานที่เล่าลือกัน ก็นึกถึงเรื่องราวที่ผู้คนลือไปนั้น ฮู้ซานสือเอ้อร์ก็รู้สึกสะท้านขึ้นมา

หากมิใช่ว่าวานรดินปรากฏตัวออกมาเพราะถูกเฉินฉางเซิงขานเรียก ทั้งยังแสดงความนอบน้อมออกมาถึงเพียงนี้ เขาจะต้องสังหารมันแต่แรกเห็น แม้ต้องสู้สุดชีวิตก็ตาม

วานรดินรับรู้ได้ถึงเจตนาที่เป็นศัตรูที่แผ่ซ่านออกมาจากฮู้ซานสือเอ้อร์และความหวาดกลัวจาง ๆ นั้น

มันอยู่ห่างไกลจากโลกความเป็นจริงมาหลายปีแล้ว แต่มนุษย์ยังคงจดจำนามที่โหดเหี้ยมของมันได้ดี ทำให้มันได้ใจยิ่งนัก หลังจากนั้นจึงบังเกิดความตื่นตัวขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้น

มันไม่เหมือนกับเหล่าสัตว์ปีศาจที่มีชีวิตเงียบสงบอยู่ในสวนโจวอย่างยินดีเหล่านั้น วานรดินยังคงไม่เคยลืมที่จะกลับไปเยี่ยมเยียนในโลกที่มันเคยอาศัยอยู่

ด้วยเหตุนี้มันเคยขอร้องเฉินฉางเซิงหลายครั้ง เพียงแต่เค้าคิดว่านามที่ดุร้ายของมันและพฤติกรรมเลวร้ายที่อยู่ในข่าวลือเหล่านั้นจึงย่อมไม่เห็นด้วย แต่ในวันนี้ในเมื่อเค้าตัดสินใจที่จะเรียกมันมาจากสวนโจวเพื่อมายังโลกแห่งความเป็นจริง อย่างนั้นเห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว ไม่แน่ว่ามันอาจจะสมปรารถนาก็เป็นได้

ภายในระยะเวลาที่สำคัญเช่นนี้ แน่นอนว่าวานรดินจะต้องไม่มีทางทำพลาด สีหน้าของมันมีแววตาใสซื่อยิ่งนัก ท่าทางยังดูอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายที่คลานอยู่เบื้องล่างก็ค้อมต่ำลงไปอีก ขาหลังสองข้างที่แทบจะใช้ไม่ได้แล้วสั่นเทาเล็กน้อยห่างของมันโบยตีกับพื้นไม่หยุด แต่กลับระวังตัวเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ฝุ่นละอองโบกสะพัดแม้เพียงนิด อยากให้น่าสงสารเพียงใดก็จะทำให้ดูน่าสงสารเพียงนั้น

ฮู้ซานสือเอ้อร์ยังคงระมัดระวังตัว ไม่ถูกหลอกโดยความปลิ้นปล้อนนี้ได้ สวีโหย่วหรงอดไม่ไหวจึงต้องหัวเราะออกมาจนได้

เฉินฉางเซิงเอ่ยขึ้น “อย่าเล่นละครอีกเลย ลุกขึ้นมาเถิด

เมื่อได้ฟังคำนี้ วานรดินรีบยืนตัวตรง ไม่กล้ากระทำล่วงเกินใด ๆ อีก

ขาหลังสองข้างของมันรักษาหายตั้งนานแล้ว

เฉินฉางเซิงเอ่ย “ช่วยข้าทำเรื่องหนึ่ง”

ลูกตาดำของวานรดินเอาแต่หมุนกลอกไปมาไม่หยุดไม่รู้กำลังคิดเรื่องใดอยู่

เฉินฉางเซิงหยิบยานออกมาหนึ่งเม็ด ป้อนไปในปากของมัน

แววตาของวานรดินสุกสกาวขึ้นมา มันนั่งลงบนพื้นราวกับผู้บำเพ็ญพรตที่นั่งสมาธิ

หมอกจาง ๆ ลอยออกมาจากริมฝีปากของมัน บาดแผลที่เดิมทีดูออกว่าบาดเจ็บจากภายใน ก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างดี

ยาเม็ดนี้ไม่เพียงคือยาจูซา แต่หลอมรวมขึ้นจากวัสดุเหลือใช้ของเม็ดยาชาด แต่ด้านในนั้นยังมีโลหิตของเฉินฉางเซิงอีกด้วย

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด วานรดินลืมตาขึ้นอีกครั้ง มันมองไปยังเขาด้วยสายตาแห่งความขอบคุณ

เฉินฉางเซิงรับเอารูปของฉูซูมาจากมือของฮู้ซานสือลิ่ว ดวงตาของวานรดินเปิดออก มันเอ่ยว่า “คนผู้นี้”

วานรดินมองไปยังคนผู้นั้นที่มีรูปร่างประหลาด ในใจลอบคิดว่าบนโลกนี้ยังมีคนที่หน้าตาแย่กว่าตนอีกหรือ อดแปลกใจออกมาเล็กน้อยไม่ได้

เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “สังหารเขาเสีย”

วานรดินตกใจทันที พลางครางเสียงต่ำขึ้นมาหลายเสียง มันใช้เจตนาสังหารที่เต็มไปด้วยความนองเลือดมาแสดงถึงความจงรักภักดีของตน

ฮู้ซานสือเอ้อร์ถึงได้เข้าใจว่าเฉินฉางเซิงเตรียมจะทำการณ์ใด

หากว่ากันตามหลักการแล้ว วานรดินสามารถหลบอยู่ในดินด้วยสัญชาติญาณของตน และมันยังทั้งอันตรายและโหดเหี้ยม บงการมันในการสังหารฉูซูถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

แต่ฉูซูผู้นั้นก็ถือเป็นคนประหลาดยิ่งนัก วานรดินเองก็อาจจะสังหารเขาไม่ได้ก็เป็นได้

“ข้ามีวิธี”

ฮู้ซานลือเอ้อร์แน่ใจว่าหลังจากที่ตนเอ่ยไปแล้ว ท่านใต้เท้าสังฆราชอาจจะมองตนเปลี่ยนไปเลยก็ได้ หรือกระทั่งอาจจะเพิ่มความระมัดระวังในตัวเขามากขึ้น

แต่ในฐานะผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุด เขาต้องเอ่ยข้อเสนอของตนออกมา จะปิดบังสิ่งใดไว้ไม่ได้

เมื่อฟังความคิดของเขาจบ สายตาที่เฉินฉางเซิงมองเขาเปลี่ยนไปจริง ๆ

แม้แต่สายตาที่วานรดินมองมายังฮู้ซานสือเอ้อร์ยังไม่เหมือนเดิม ราวกับเจอคนที่ดำเนินในหนทางเดียวกันเข้าเสียแล้ว

สวีโหย่วหรงเพียงส่ายหน้า

……

……

วานรดินออกจากหน้าผาและตรงไปที่ภูเขา เพื่อตามหาโลกที่หายไปของเขาและกำจัดฉูซู

นอกจากเฉินชางเฉิงและอีกสองคน ไม่มีผู้ใดทราบเรื่องนี้ และไม่มีใครรู้ว่าวานรดินจะมีท่าทีอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าฉูซู

ไม่นานหลังจากวานรดินจากไป กลุ่มสำนักฝึกหลวงก็ออกเดินทางอีกครั้ง และมุ่งหน้าไปยังมืองหลวง

ทุกคนต่างก็ทราบดีว่าเฉินฉางเฉิงกลับเมืองหลวงเนื่องจากได้รับจดหมาย

แต่มันเป็นเพียงเพราะจดหมายนั้นจริง ๆ หรือ

แน่นอนว่าไม่ใช่ เนื่องจากฮ่องเต้ผู้เยาว์วัยผู้นั้นยังคงอยู่ในเมืองหลวง ซางสิงโจวก็ยังอยู่ในเมืองหลวง

และที่สำคัญที่สุดก็คือ พระราชวังหลีก็อยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน