ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 958 โลหิตอัสนี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

อาหู่มองคนหนุ่มในอาภรณ์สีแดงที่เหมือนกับมารคลั่งผู้นั้น แยกเขี้ยวยิงฟัน “คุณชาย ท่านดูวิชาดาบที่เขาใช้สิขอรับ มันเหมือนกับ…”

“เหมือนกับวรยุทธ์ของตระกูลเซี่ย ที่โดนทำลายบนเทือกเขาเสียงระรัวในเขตหยางเทียนตะวันออกหรือไม่?” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวต่อ

อาหู่พยักหน้า

ตระกูลเซี่ยแห่งยอดเขาสดับอัสนี พวกเขาไม่เคยสัมผัสอีกฝ่ายด้วยตนเองมาก่อน

แต่ว่าจอมยุทธ์เทือกเขาเสียงระรัวซึ่งพูดถึงเรื่องคดีล้างตระกูลเซี่ยในตอนนั้น จะมากจะน้อยก็มอบความเป็นมากับข้อมูลของตระกูลเซี่ยให้บางส่วน

เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่พอเห็นคนหนุ่มอาภรณ์แดงลงมือ ก็เหมือนกับดาบอัสนีทะลัก อันเป็นการสืบทอดของตระกูลเซี่ยแห่งยอดเขาสดับอัสนี

เพียงแต่ดาบอัสนีทะลักในเรื่องเล่า ไม่ได้มีอานุภาพแข็งแกร่งขนาดนี้

ตระกูลเซี่ยแห่งยอดเขาสดับอัสนีมาจากโลกเบื้องล่างใบหนึ่ง แม้นว่าจะยืนหยัดบนโลกซ้อนโลกได้สำเร็จ ทว่าก็ยังเทียบกับการสืบทอดระดับสุดยอดส่วนใหญ่ไม่ได้ แม้แต่ในเทือกเขาเสียงระรัวก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก

ดังนั้นอาหู่จึงไม่กล้ายืนยัน ได้แต่มองเยี่ยนจ้าวเกออย่างลังเล

“ความสามารถที่ใช้ตั้งตัวของตระกูลเซี่ยแห่งยอดเขาสดับอัสนี นอกจากวรยุทธ์ที่สืบทอดกันมาในตระกูลแล้ว ยังมีสายฟ้าธาตุทอง ที่เป็นหนึ่งในสายฟ้าห้าธาตุด้วย” เยี่ยนจ้าวเกอว่า “ใช้สายฟ้าหลอมปอด หายใจเหมือนอัสนี คมกล้าดุจทอง หลอมเข้าใปในวิชาดาบ ทำให้อานุภาพเพิ่มขึ้น”

“สมควรบอกว่า แม้แต่อาวุธก็ยังได้ประโยชน์ไปด้วย”

เยี่ยนจ้าวเกอครอบครองสายฟ้าเปลวเพลิงเผาไหม้ ซึ่งเป็นธาตุไฟในสายฟ้าห้าธาตุเช่นกัน ทั้งสองเกี่ยวพันกันอย่างแน่นแฟ้น จึงสามารถรับรู้ถึงจุดที่ไม่เหมือนกับระหว่างคนหนุ่มในอาภรณ์สีแดงผู้นั้นกับคนอื่นได้อย่างง่ายดาย

กระนั้นนี่ก็ยังไม่ใช่สาเหตุหลักที่อีกฝ่ายมีพลังโดดเด่น

“เจ้าดูบนตัวเขาดีๆ” เยี่ยนจ้าวเกอไขความลี้ลับได้ในประโยคเดียว

พลังฝึกปรือของอาหู่ต่ำกว่าสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ ยามมองรายละเอียดการประมือกันของคนทั้งสอง จึงรู้สึกเปลืองแรงทีเดียว

แต่ว่าเมื่อเยี่ยนจ้าวเกอทักขึ้นมา อาหู่ก็เพ่งสายตามองดูอย่างละเอียด เห็นผิวตรงส่วนคอและส่วนมือที่ไม่มีอาภรณ์ปกคลุมของคนหนุ่มผู้นั้น ถึงกับมีลวดลายจำนวนหนึ่งปรากฏอยู่

ลวดลายหลายสายนั้นเหมือนกับสายฟ้า ทว่าแดงฉานดุจเลือด โดดเด่นน่าทึ่งยิ่ง!

เพราะว่าอาภรณ์ที่สวมอยู่ จึงเห็นลักษณะของลวดลายได้แค่ไม่กี่ส่วนเท่านั้น

แต่ว่าหลังจากสองฝ่ายสู้กันจนถึงจุดดุเดือด คนหนุ่มผู้นั้นก็รีดเค้นพลังแฝงเร้นของตัวเองออกมาไม่หยุดยั้ง ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าลวดลายลุกลามไปอย่างต่อเนื่อง

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ลวดลายที่เหมือนกับสายฟ้าสีโลหิตก็ปกคลุมสองมือและส่วนคอของเขา ทั้งยังแผ่ลามไปบนใบหน้าเขา

มองไปแล้วเหมือนกับผิวของเขาปริออก คล้ายกับเป็นบาดแผลที่น่ากลัวหลายสายตัดกันไปมา

คลุ้มคลั่ง ไม่เหมือนผู้ใด เกรี้ยวกราด และน่าประหวั่นพรั่นพรึง

หลังจากการขยายของลวดลายสายฟ้าสีโลหิต คนหนุ่มผู้นั้นก็ยิ่งสู้ก็ยิ่งอำมหิตและคลุ้มคลั่ง เอาแต่โจมตี ไม่สนใจการป้องกัน ไม่สนใจตัวเองโดยสิ้นเชิง

พลังของเขาถึงกับยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง!

ในนี้ยังมีความบ้าคลั่งและความสิ้นหวังที่ราวกับไร้สิ้นหนทาง เผาผลาญชีวิต

ทำให้ผู้คนคิดว่าเขาเหมือนกับหมดพลัง กำลังใช้แรงเฮือกสุดท้าย

คล้ายกับถ้าหากเวลาผ่านไปอีกสักนิด ไม่ต้องให้คนอื่นลงมือ ตัวเขาก็จะกลายเป็นตะเกียงสิ้นน้ำมัน มอดดับไปเอง

แต่ว่าพลังของเขากลับเพิ่มขึ้นทีละขั้น เหมือนกับไม่มีจุดสิ้นสุด

ผู้อาวุโสเขาสามขาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสผู้นั้น เนื่องจากรีบร้อน ถึงกับถูกคนหนุ่มอาภรณ์แดงผู้นั้นใช้สภาวะตกตายร่วมกัน กดดันจนเสียเปรียบ

ดวงอาทิตย์โชติช่วงลอยกลางฟ้า แต่ว่าในดวงอาทิตย์สีทองมีแสงสายฟ้าสีโลหิตหลายสายกะพริบไม่หยุด ฟันใส่ดวงอาทิตย์สีทองเกิดเป็นร่องรอยมากมาย

“คุณชาย…นั่น…นั่นคือ…” อาหู่ลอบห่อปาก

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูสถานการณ์รบ พร้อมตอบว่า “ในคัมภีร์โบราณมีการบันทึกไว้ ว่ามีคุณสมบัติร่างกายที่แปลกพิสดารชนิดหนึ่ง ชื่อโลหิตอัสนี”

“คนที่ครอบครองโลหิตอัสนี เลือดและปราณจะมีความเป็นหยาง แข็งแรงถึงขีดสุด เหมือนกับอัคคีและอัสนี คลุ้มคลั่งเหลือประมาณ ถ้าหากฝึกยุทธ์ก็จะมีความได้เปรียบยิ่ง”

ความก้าวหน้าและความเร็วในการฝึกปรือเป็นอย่างไรยังไม่ต้องเอ่ยถึง ในการต่อสู้จะแข็งแกร่งถึงขีดสุด การออกกระบวนท่าแฝงพลังในชั่วพริบตาซึ่งแฝงอยู่และเกิดตามมา สุดที่คนธรรมดาจะเทียบได้

แต่ก็มีจุดอ่อนอยู่ นั่นคือหากฝึกปรือโดยไม่ระวัง จะทำให้ตัวเองบาดเจ็บได้

“หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ข้าไม่ค่อยได้ยินว่ามีคนที่ครอบครองโลหิตอัสนีปรากฏตัวขึ้น ที่พวกเราได้เห็นด้วยตาตัวเองตอนนี้ อาจจะเป็นคนแรกเลยด้วยซ้ำ” เยี่ยนจ้าวเกอชี้คนหนุ่มในชุดสีแดงผู้นั้น “ปกติแล้วลวดลายอัสนีโลหิตนี้เป็นสิ่งที่จะไม่โผล่ออกมา เขาจึงดูเหมือนคนปกติ”

“เมื่อใช้วรยุทธ์ออกกระบวนท่ากับผู้อื่น ความเร็วในการฟื้นลมปราณจะสูงยิ่ง พลังระเบิดก็จะแข็งแกร่งเช่นกัน ทว่าไม่ได้เหี้ยมหาญถึงเพียงนี้ ลักษณะในตอนนี้ของเขา เป็นเพราะใช้พิธีอัสนีโลหิตโดยแท้”

เยี่ยนจ้าวเกอแตะนิ้วกับริมฝีปาก “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาก่อน แต่นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เห็นด้วยตาตัวเอง”

“พิธีอัสนีโลหิต?” อาหู่ทวนคำ “ดูจากลักษณะลวดลายบนร่างของเขาแล้ว กลับทำให้ข้านึกถึงเยี่ยจิ่งที่สร้างร่างปีศาจอัคคี”

“เพียงแต่ลวดลายบนตัวเยี่ยจิ่งเป็นลวดลายของเปลวเพลิง ส่วนเขาเป็นลวดลายของสายฟ้า”

เยี่ยนจ้าวเกอมองคนหนุ่มผู้นั้นลงมือไปพลาง กล่าวอย่างไม่นำพาไปพลาง “คุณสมบัติไม่เหมือนกัน เยี่ยจิ่งใช้วิชาลับอย่างคัมภีร์ทำลายสวรรค์ ลวดลายบนร่างเป็นการรวมตัวกันของจิตแห่งพลังที่อยู่ในคัมภีร์ทำลายสวรรค์ ซึ่งคงอยู่มาตั้งแต่ต้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามความคิดของเยี่ยจิ่งนั่น”

“ทว่าพิธีอัสนีโลหิตเป็นวิชาลับแขนงหนึ่ง จะใช้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจอมยุทธ์เอง คิดหยุดก็หยุดได้”

“นอกจากนี้ เป็นเพราะพลังฝึกปรือของเยี่ยจิ่งในตอนนั้นต่ำเกินไป จิตใจไม่มั่นคง ร่างปีศาจอัคคีจึงลุกลามเข้าไปด้านใน ส่งผลต่อจิตใจและนิสัยของเขา”

“นิสัยบ้าคลั่งของคนหนุ่มผู้นี้ เกรงว่าจะเป็นสันดานแต่กำเนิด ไม่เกี่ยวข้องกับการครอบครองโลหิตอัสนีของเขา”

เขาอธิบายต่ออีกว่า “พิธีอัสนีโลหิตเป็นวิชาลับ ไม่จำเป็นต้องมีคนสอน จอมยุทธ์ที่ครอบครองโลหิตอัสนีทุกคน ขณะที่หลอมสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากการฝึกวรยุทธ์ จะค่อยๆ เข้าใจได้ด้วยตัวเอง และมีแต่พวกเขาที่สามารถบรรลุและใช้ออกมาได้”

วิชาลับชนิดนี้จะดึงพลังโลหิตอัสนีของตัวเองออกมาจนหมด จากนั้นพลังของตนเองก็จะเพิ่มขึ้นทุกด้านในระยะเวลาสั้นๆ

แต่ก็เทียบได้กับการดึงต้นอ่อนให้เติบโต สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดในตอนแรกของตัวเองได้ แต่ก็จะส่งผลต่ออายุขัยของตัวเองด้วยเช่นกัน

กระนั้นอานุภาพก็ยังน่าดูชมถึงขีดสุด

คนหนุ่มอาภรณ์แดงผู้นั้นเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่ง ตอนนี้สามารถสู้กับยอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามได้

พยัคฆ์คลั่งเสี่ยงชีวิต เพียงโจมตีไม่ป้องกัน ทำให้ยอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามจำนวนมากต้องหลบเลี่ยงความดุร้ายนี้ชั่วคราว

“คุณชาย ดูท่าทางคนผู้นี้น่าจะเป็นคนของตระกูลเซี่ยแห่งยอดเขาสดับอัสนีกระมัง” อาหู่เกาศีรษะ “บางทีอาจะเป็นเพราะความพิเศษของเขา ดังนั้นคนจากเขาสามขาจึงไว้ชีวิตเขา เพียงจับเป็นเท่านั้น”

เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ “คิดจะให้เขากราบเข้าสำนักของศัตรูที่ทำลายตระกูลคงเป็นไปไม่ได้ ข้าคิดว่าเขาน่าจะมีประโยชน์อย่างอื่น”

อาหู่สนใจขึ้นมา “คุณชาย ตามเหตุผลแล้วเขามีพรสวรรค์โดดเด่นเช่นนี้ อีกทั้งยังฝึกฝนจนกลายเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไฉนจึงไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน”

แม้ว่าจะเพิ่งก้าวสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ศักยภาพและพลังที่คนหนุ่มอาภรณ์แดงผู้นี้แสดงออกมา ก็แทบจะไม่ด้อยกว่าโอรสหงส์จวงเจาฮุย บุตรชายของประมุขทักษิณเลย

อีกทั้งเขายังฝึกวรยุทธ์ของตระกูลเซี่ยแห่งยอดเขาสดับอัสนี ซึ่งในโลกซ้อนโลกไม่ถือว่าสูงล้ำเท่าใดนักด้วย

ถ้าหากว่ามอบเบื้องหลังและสภาพแวดล้อมในการเติบโตเหมือนอย่างพวกฟู่ถิง เกาฉิง หลงฮั่นหัว เฉิงโม่ และจวงเจาฮุยให้แก่เขา จะมีผลลัพธ์เช่นไรกันแน่

“เช่นนั้นต้องถามตัวเขาเองแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเหอะๆ ลูบคางของตัวเอง

อาหู่คุ้นเคยคุณชายของตัวเองดีที่สุด

ครั้นเห็นรอยยิ้มของเยี่ยนจ้าวเกอ เขาก็อดใจเต้นระทึกไม่ได้ เริ่มไว้อาลัยให้แก่คนหนุ่มในอาภรณ์สีแดงที่ยังไม่รู้จักชื่อแซ่ผู้นั้น