อึดใจที่เมล็ดพันธุ์แห่งมรรคควบรวมออกมานั้น หลินสวินสัมผัสถึงความแข็งแกร่งที่ไม่เคยมีมาก่อน!

ราวกับว่าการกัดกร่อนของกาลเวลาก็ไม่อาจทำลายตนให้ดับสูญ!

นี่หาใช่อายุขัยยืนยาวเพิ่มขึ้นอีก หากแต่เป็นพลังที่ดุจดั่งอมตะ

ครืน!

ฟ้าดินสั่นสะเทือน ห้วงอากาศคำรามก้องกระหึ่ม แสงมรรคนับไม่ถ้วนไหลเวียน ส่องสะท้อนจนหลินสวินแพรวพราวและพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ โดดเด่นว่างเปล่า

ผิดไปจากสภาพชวนสังเวชสะบักสะบอมก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เขายืนตระหง่านกลางห้วงอากาศ ถึงแม้จะไม่เคยขยับเขยื้อนแต่กลับมีอานุภาพผงาดกร้าวสี่ทิศ เหยียดเย้ยแปดทาง!

ทั้งในและนอกเมืองผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างใจสะท้าน รู้สึกถึงความกลัวเกรงและอึดอัดอันไร้ที่สิ้นสุด

ระดับราชัน ยืนอยู่เหนือห้าระดับใหญ่ จิตวิญญาณดุจโคมประทีป สว่างไสวไม่เสื่อมคลาย หากอริยะไม่ออกโรง ก็เป็นระดับราชันที่อยู่เหนือสุด!

ทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณ ผู้ที่สามารถเหยียบย่างระดับราชันมีไม่ถึงหนึ่งในหมื่น น้อยยิ่งกว่าน้อย

และพลังระดับนี้ก็เพียงพอจะเรียกได้ว่าเป็นนายเหนือหัวแห่งยุค สามารถข่มขวัญฝ่ายหนึ่ง ได้รับการเคารพศรัทธาจากปวงชน

ระดับราชัน แบ่งออกเป็นแท้เทียม

ราชันที่ไม่อาจควบรวมเมล็ดพันธุ์แห่งมรรคออกมาได้ ก็คือราชันเทียม

และหลินสวิน ถูกลิขิตให้ต่างจากราชันในแง่ความหมายของโลกปุถุชน ด่านเคราะห์ที่เขาข้ามผ่านคือเคราะห์มกุฎราชัน สิ่งที่ควบรวมออกมาก็คือเมล็ดพันธุ์แห่งมรรคขอบเขตมกุฎ หนทางที่เหยียบย่างก็คือระดับมกุฎราชัน!

ขอบเขตนี้ ยากจะปรากฏ!

และหลังจากแดนมกุฎครั้งนี้มาเยือน เพิ่งมีสัตว์ประหลาดยุคโบราณและยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎส่วนหนึ่งเหยียบย่างขอบเขตระดับนี้

แต่ก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อยเช่นเดียวกัน!

แม้จะอยู่ในหมู่บุคคลขอบเขตมกุฎ ก็มีไม่ถึงหนึ่งในพัน!

และหลินสวิน วันนี้เหยียบย่างสู่ขอบเขตนี้แล้ว

สิ่งนี้พาให้ผู้คนยากจะเชื่อ เพราะทุกคนต่างเห็นชัดว่าตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่เคยได้รับศุภโชคพลิกฟ้า และไม่เคยได้รับการช่วยเหลือจากวาสนาเย้ยฟ้าเลยสักนิด

เขาอาศัยเพียงตัวเอง แข็งขืนเรียกมหาเคราะห์แห่งยุคที่ไม่เคยมีมาก่อนทั้งในอดีตปัจจุบัน จากนั้นก็ฝืนฟ้าตัดวิถี ทลายอสนีเคราะห์และบรรลุราชัน!

นี่ เป็นใครก็ไม่อาจเชื่อ ไม่อาจคคาดการณ์ได้ทั้งสิ้น

ทั้งหมดนี้ล้วนถูกลิขิตไว้หมดแล้ว มกุฎมรรคาที่หลินสวินก้าวเดิน ก็ถูกลิขิตให้ผิดแผกไปจากระดับมกุฎราชันคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

ราวกับปาฏิหาริย์!

ครืน

บนเวิ้งฟ้า รอบกายหลินสวินกึกก้อง กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มระดับขั้นสุดท้าย

เขาหลับตาลง สงบจิตรับรู้การเปลี่ยนแปลงของตน

ภายในกาย จักระเทพไม่หลงเหลือ ถูกเมล็ดพันธุ์มรรคแปลกพิสดารและแพรวพราวเข้าแทนที่ รวมตัวกับมรรควิถีแห่งตนของเขา บรรจุพลังชีวิตน่าสะพรึงอันไม่อาจจินตนาการ

มันชุ่มฉ่ำ โปร่งใส ว่างเปล่า แพรวพราว พร้อมๆ กับการโคจรของเลือดลมทั่วร่าง มันก็สั่นไหวตอบรับ บังเกิดจังหวะทำนองแปลกประหลาดประหนึ่งลมหายใจ

เมล็ดพันธุ์มรรค ฐานแห่งระดับราชัน ฐานมรรคแห่งตน!

เปรียบดังเมล็ดพันธุ์หนึ่งเมล็ด พร้อมๆ กับการพัฒนาของพลังปราณ เมล็ดพันธุ์ก็จะหยั่งราก แผ่แขนง เติบโตแข็งแกร่ง กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ประหนึ่งค้ำฟ้า

ต้นไม้ต้นนี้ มีชื่อเรียกว่าอมตะ

ผู้แข็งแกร่งระดับราชันทั่วหล้า เหตุที่สามารถแสวงหามรรคาอมตะได้นั้น เมล็ดพันธุ์มรรคก็คือแกนหลักนั่นเอง

และเห็นได้ชัดเจนยิ่งว่า เมล็ดพันธุ์แห่งมรรคของหลินสวินล้วนผิดไปจากระดับราชันคนอื่นๆ

มันมีรูปร่างดั่งหุบเหว มีน้ำและไฟรายล้อม มีกลิ่นอายไร้มรณะ มีเจินหลงแฝงเร้นอยู่ภายใน พิสดารหาใดเปรียบ รากฐานพลังที่บรรจุเอาไว้ก็น่าสะพรึงหาใดเปรียบเช่นกัน

และในห้วงนิมิต จิตวิญญาณก็เปลี่ยนสภาพด้วยเช่นกัน ราวกับโคมเทพสว่างไสวยาวนาน พลังจิตควบแน่นเป็นดอกเทพที่โปร่งใสปานหยกขาวดอกที่สอง

ดอกไม้นี้นามว่า ‘เห็นปัจจุบัน’

นี่คือ ‘ขั้นที่สอง’ ในสามขั้นใหญ่ของระดับดอกเทพรวมยอด!

โดยทั่วไปแล้วผู้แข็งแกร่งที่เหยียบย่างระดับราชันขั้นต้น จึงจะมีพลังในการแสวงหาและหยั่งถึงระดับดอกเทพรวมยอด

จากจุดนี้ก็พอมองออกว่า ในแง่การเปลี่ยนแปลงของระดับจิตวิญญาณ หลินสวินโดดเด่นเหนือคนรุ่นเดียวกันมากโขนานแล้ว

เวลานี้หากเขาถูกโจมตีสังหาร ขอเพียงพลังจิตหลุดรอดออกไปเสี้ยวหนึ่ง ก็จะมีพลังก่อร่างขึ้นมาใหม่และได้รับชีวิตใหม่ในภายภาคหน้า!

นอกจากการเปลี่ยนแปลงใหม่เอี่ยมของปราณและจิตวิญญาณแล้ว สารกาย พลังชีวิตรอบกายหลินสวิน การหยั่งรู้มหามรรค การครอบครองพลังยุทธ์ก็ต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง

นี่คือการเปลี่ยนถึงขีดสุดอย่างหนึ่ง ไม่ด้อยไปกว่านิพพาน เป็นการยกระดับแก่นแท้แห่งชีวิต หลุดพ้นปราณห้าระดับใหญ่ อยู่เหนือกว่าที่ผ่านมา แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

นับจากนี้ไป สิ่งที่หลินสวินแสวงหาทั้งหมดก็คือมรรคาอมตะ สิ่งที่หยั่งถึงทั้งปวงคือวิชามรรคราชัน สิ่งที่ครอบครองทั้งมวลคือพลังมรรคราชัน!

ฟู่!

ไม่รู้นานเท่าไหร่ หลินสวินถอนหายใจยาว ดวงตาที่ปิดสนิทพลันเบิกโพลง ชั่วอึดใจราวกับฟ้าแลบสองสายกวาดทลายห้วงอากาศ สยดสยองหาใดเปรียบ

ความเหิมฮึกและยินดีภายในใจของหลินสวินกลับสู่ความสงบในยามนี้ เก็บงำกลิ่นอายทั่วร่าง ลำพังมองแค่ผิวเผินเขาไม่ต่างจากที่ผ่านมาด้วยซ้ำ เฉยเมยดุจเมฆ โดดเด่นหลุดพ้น

แต่มีเพียงในสายตาคนรุ่นเดียวกันเท่านั้นจึงจะรับรู้ได้ชัดเจน ว่าหลินสวินในยามนี้ก็เหมือนหุบเหวลึกไร้รูป ยากจะหยั่งถึง พาให้ผู้คนใจสะท้าน

พรึ่บ!

ชั่วพริบตาเงาร่างหลินสวินอันตรธานหายลับไปในอากาศ

หลังจากนั้นเนิ่นนาน ผู้ฝึกปราณทั้งในและนอกเมืองเพิ่งจะค่อยๆ ได้สติจากความสั่นสะเทือนนั่น

เคราะห์สวรรค์แตกมลาย หลินสวินบรรลุราชัน ส่วนสิบแปดศิษย์กษิติครรภ์ล้วนถูกกำจัดสิ้น…

เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ สีหน้าของผู้ฝึกปราณแต่ละคนล้วนเปลี่ยนเป็นซับซ้อน มีทั้งกริ่งเกรง หวาดผวา นับถือ และท้อแท้สิ้นหวัง

ช่องทางสู่แดนเก้าบนเปิดมาจวนจะครบเดือนแล้ว หลินสวินป้วนเปี้ยนไม่ไปไหน ถูกผู้ฝึกปราณมากมายเข้าใจไปว่าเขากำลังกังวลว่าหลังจากเข้าสู่แดนเก้าบนจะถูกปิดล้อมโจมตี รักษาชีวิตไม่อยู่

ถึงขนาดมีผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่ส่วนหนึ่งพากันลอบคาดเดาอย่างมุ่งร้าย ขอเพียงหลินสวินกล้ามุ่งหน้าไป ย่อมต้องถูกคนยื้อแย่งกันไปบุกฆ่า

แต่ใครก็คาดไม่ถึง ในวันนี้เองหลินสวินบรรลุราชันแล้ว หนำซ้ำยังเป็นระดับมกุฎราชันคนหนึ่ง!

“ข้ากลับเริ่มกังวลแทนศัตรูพวกนั้นของเทพมารหลินขึ้นมาบ้างแล้ว…”

มีคนสีหน้าแปลกไป

“ยังจำได้หรือไม่ ก่อนที่พวกราชันอย่างอูหยวนเจิ้น เมี่ยวเฉิน หวังอวิ๋นทง ซางชงมุ่งหน้าสู่แดนเก้าบน ยังเคยทิ้งคำพูดอำมหิตไว้ว่าจะจบชีวิตเทพมารหลินในแดนเก้าบน”

“คาดการณ์ได้เลยว่า เจ้าพวกนี้ดวงซวยซะแล้ว…”

สีหน้าคนมากมายล้วนเปลี่ยนเป็นแปลกพิกลขึ้นมา

หุบเขาผลาญสวรรค์

เบื้องหน้าตำหนักเพลิงเทพที่เร้นลับแห่งนั้น เงาร่างหลินสวินพลันปรากฏขึ้น

“เหลือเวลาอีกแค่สามวันเท่านั้นแล้ว เหตุใดเจ้าคางคกยังไม่โผล่มาออก จากนิสัยของเจ้าหมอนี่ เป็นไปได้หรือที่จะพลาดศุภโชคพลิกฟ้ามากมายในแดนเก้าบน”

หลินสวินมองสำรวจตำหนักแห่งนั้น

หลังจากเลื่อนเป็นระดับราชัน ก็ทำให้องค์ความรู้ของเขาพลอยเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนด้วย

เวลานี้ในสายตาของเขา กลิ่นอายที่ปิดครอบตำหนักแห่งนั้นน่าสะพรึงถึงขีดสุด เกี่ยวโยงกับอริยมรรค ขืนดุ่มๆ บุกเข้าไป จุดจบคงอนาถยิ่งอย่างแน่นอน!

ผ่านไปครู่หนึ่งหลินสวินยื่นมือไปคว้าก้อนหินยักษ์ รวบนิ้วเหมือนกระบี่ สลักอักษรแถวหนึ่งลงบนนั้น…

‘ล่วงหน้าไปก่อน พบกันที่แดนเก้าบน’

หลังจากนั้นเสียงตึงดังขึ้นคราหนึ่ง ก้อนหินถูกหลินสวินปักลงบนพื้น

หลินสวินเชื่อว่า หากเจ้าคางคกออกด่านจะต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน

สวบ!

เบื้องหน้ากระแสธารสีแดงเพลิงดุจไฟลุกโชน เงาร่างหลินสวินมาเยือนอย่างผ่าเผย

ตอนที่เพิ่งมาถึงแดนเผาเซียน ส่วนลึกของแม่น้ำแห่งนี้เคยมีปลายักษ์รูปร่างพิสดารกระโดดออกมา พลังต่อสู้แข็งกร้าวยิ่งยวด

ถึงสุดท้ายจะไม่อาจฆ่าปลาตัวนี้ได้ แต่กลับทำให้หลินสวินค้นพบความลับของส่วนลึกก้นแม่น้ำโดยบังเอิญ

เงาร่างหลินสวินขยับไหว ก่อนดำดิ่งเข้าไปภายในนั้น

บริเวณพันจั้งตรงก้นแม่น้ำมีบานประตูสำริดเร้นลับบานหนึ่ง ด้านบนสลักลายมรรคหลากสี ประกายแสงแปลกประหลาดลุกโหม

และด้านข้างบานประตูสำริดมีเสาหินต้นหนึ่งตั้งตระหง่าน บนเสาหินรายล้อมด้วยโซ่เพลิงแดงเส้นหนาวาววับ

ปลายโซ่ด้านหนึ่งพันธนาการรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจตัวหนึ่ง

สัตว์ปีศาจนั่นรูปร่างคล้ายเจียว ลำตัวนอนขด มหึมาดุจยอดเขา สมจริงราวมีชีวิต

เมื่อหลินสวินมาถึง รูปปั้นหินสัตว์ปีศาจนั่นราวกับคืนชีพขึ้นมา แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายที่คุกรุ่นน่าสะพรึง พาให้กระแสธารแถบนี้ล้วนเดือดพล่าน

วาบ!!

โซ่เพลิงแดงที่พันธนาการบนตัวรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจเรืองแสง แพรวพราววาววับ ปรากฏสัญลักษณ์เร้นลับ กำราบไอชั่วร้ายนี่เอาไว้อย่างแน่นหนา

หลินสวินเฉยเมยไม่แปลกใจ ก่อนหน้านี้เขาก็เคยสัมผัสเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เพียงแต่ตอนนั้นปราณเขายังอยู่แค่ระดับกระบวนแปรจุติ ไม่กล้าพรวดพราดเข้ามา

แต่ตอนนี้หลินสวินเป็นระดับราชันแล้ว ย่อมไม่อาจกริ่งเกรงอีกต่อไป

เขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง พลังวูบหนึ่งพุ่งออกมา โฉบผ่านห้วงอากาศไปผลักบานประตูสำริดที่ปิดสนิทบานนั้น

ตึง!

ที่พาให้หลินสวินแปลกใจอยู่หน่อยๆ ก็คือบานประตูสำริดนั่นถึงกับถูกผลักเปิดออกง่ายๆ เผยภาพภายในนั้นอย่างแจ่มแจ้ง

ด้านในบานประตูเป็นตำหนักวังแห่งหนึ่ง เก่าแก่ถึงที่สุด เพียงแต่กลับว่างเปล่าโล่งเตียน คล้ายกับถูกทิ้งร้างผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุด

จุดกึ่งกลางของตำหนักมีแท่นมรรคแดงเพลิงตั้งโดดเด่นอยู่แท่นหนึ่ง

จากการคาดเดาของหลินสวิน บนแท่นมรรคนั่นเดิมน่าจะมีสมบัติบางอย่างตั้งอยู่ แต่ตอนนี้กลับว่างเปล่าเช่นเดียวกัน

ไม่ทันไรหลินสวินก็สังเกตเห็นว่าบนพื้นที่มีฝุ่นเกรอะ หลงเหลือรอยเท้าสายหนึ่งซึ่งเลือนรางอย่างที่สุด

“ชื่อเหยา!”

หลินสวินสัมผัสครู่หนึ่งก็จับกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ได้ ต้องมาจากชื่อเหยาเป็นแน่

“นางถึงกับชิงมุ่งหน้ามาก่อนหนึ่งก้าว หนำซ้ำดูเหมือนว่าจะฮุบศุภโชคที่หลงเหลืออยู่ในนี้ไปหมดแล้วด้วย…”

หลินสวินขมวดคิ้ว

เดิมทีเขายังตั้งใจว่า ก่อนหน้าจะเข้าสู่แดนเก้าบนจะมุ่งหน้ามาสำรวจสักหน ดูว่าจะได้รับวาสนาอะไรบ้างหรือไม่ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว

“ไม่สิ ตำหนักใหญ่แห่งนี้ยังมีไอเคราะห์ที่ไม่เคยสลายไปอยู่เสี้ยวหนึ่ง!”

ทันใดนั้นนัยน์ตาดำหลินสวินพลันหดรัด หรือว่าชื่อเหยาเคยได้รับศุภโชคพลิกฟ้าจากที่นี่ และบรรลุราชันในคราเดียวแล้ว?

หลินสวินเพิ่งข้ามด่านเคราะห์มกุฎราชัน คุ้นเคยกับไอเคราะห์เช่นนั้นเป็นอย่างดี สามารถระบุได้ว่าที่แห่งนี้เคยมีมหาเคราะห์มาเยือน

หากเป็นเช่นนี้จริง ชื่อเหยาในยามนี้เกรงแต่จะกลายเป็นระดับมกุฎราชันคนหนึ่งไปแล้ว!

ถึงอย่างไรนางเก็บตัวเงียบมาในกาลเวลาอันยาวนาน เป้าหมายก็เพื่อบรรลุระดับมกุฎราชัน ในเมื่อเลือกข้ามด่านเคราะห์ ย่อมเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะเหยียบย่างเพียงระดับราชันทั่วไปง่ายๆ เช่นนั้น

สิ่งนี้พาให้หลินสวินอดทอดถอนใจไม่ได้อยู่บ้าง

ยามที่มาถึงแดนเผาเซียนคราแรก เขาก็จับพลัดจับผลูค้นพบแดนวาสนาเร้นลับแห่งนี้ หากตอนนั้นสามารถคว้าไว้ได้อยู่หมัด ป่านนี้คงเหยียบย่างระดับมกุฎราชันไปนานแล้วใช่หรือไม่

ยามนี้ กลับเสร็จชื่อเหยาเสียได้

แต่ว่าหลังจากนั้นหลินสวินก็ส่ายหน้ายิ้มแหย มรรคาของเขา ไม่เคยฝากความหวังไว้กับศุภโชคและวาสนาอันลวงตาริบหรี่เช่นนี้อยู่แล้ว

สุดท้ายหลินสวินก็จากไป

ก้นแม่น้ำ รูปปั้นหินสัตว์ปีศาจที่ถูกโซ่เพลิงแดงพันธนาการไว้ตัวนั้น หลังจากหลินสวินออกไปจู่ๆ ก็ลืมตาที่ปิดสนิทขึ้นมา เย็นเยียบเรียบเฉย ไหลเวียนด้วยกลิ่นอายชวนสยองหาใดเปรียบ

“น่าสนใจ บนตัวเจ้าหมอนั่นถึงกับมีกลิ่นอายมหามรรคของเจ้าเฒ่าซิงเยียน… น่าเสียดาย ข้าได้แต่เฝ้ารอยามที่แดนมกุฎนี้ดับสลาย จึงจะมีโอกาสปลดเปลื้องการกำราบของเฉินหลินคง หวนสู่เส้นทางโบราณนภสินธุ์ เพียงแต่ก็ไม่รู้ว่ายังต้องรออีกนานเท่าไร…”

เสียงทอดถอนใจคราหนึ่งเจือความเกลียดชังและไม่เต็มใจอย่างไร้สิ้นสุดออกมา ดังก้องสะท้อนอยู่ในก้นแม่น้ำแห่งนี้

หลังจากนั้นรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจหลับตาลง ทุกสิ่งล้วนกลับสู่ความสงบตามเดิม

เมืองโบราณเผาเซียน

หลินสวินพลิ้วกายมาเยือน หลังจากบรรลุสู่ระดับราชันเขาก็ไม่สามารถเข้าเมืองได้ ได้แค่มาอยู่บริเวณเวิ้งฟ้า ผ่านการนำทางจากหอมกุฎ จึงจะสามารถเข้าสู่แดนเก้าบน

…………….