หลินสวินยืนตระหง่านเหนือเมืองโบราณเผาเซียน
ในเมืองมีผู้ฝึกปราณให้ความสนใจเหตุการณ์นี้ตั้งนานแล้ว ล้วนอดไม่ได้ที่จะหยุดกิจกรรมในมือแล้วแหงนหน้าขึ้นไปมอง
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเทพมารหลินจะจากไปแล้ว ออกจากแดนเผาเซียน มุ่งสู่แดนเก้าบน!
“คุณชายหลิน ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย!”
แม่นางน้อยคนหนึ่งรวบรวมความกล้า เปล่งเสียงร้องตะโกนออกมา
ฉับพลันผู้ฝึกปราณคนอื่นก็ตอบสนอง พากันส่งเสียงตามๆ กัน
“สหายยุทธ์หลิน แดนเก้าบนอันตรายหาใดเปรียบ ท่านต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วย!”
“พวกข้าต่างเฝ้ารอยิ่งยวดให้คุณชายหลินกวาดผ่านแดนเก้าบน สยบผู้กล้าทั่วหล้าให้หมด”
“ดูแลตัวเองด้วย!”
ไม่ว่าชายหรือหญิง ไม่แบ่งเด็กหรือชรา เวลานี้ต่างส่งเสียงอวยพรออกมาจากใจ
ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ล้วนเป็นพวกที่ไร้พรรคไม่มีสำนัก บ้างก็ถือกำเนิดจากขุมอำนาจเล็กๆ
พวกเขาต่างรู้ดียิ่งว่าในช่วงที่ผ่านมานี้ หากไม่ใช่เพราะมีหลินสวินนั่งบัญชาการในเมือง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะหลุดพ้นจากการเอารัดเอาเปรียบและเบียดเบียนจากขุมอำนาจใหญ่พวกนั้น
และยามนี้หลินสวินกำลังจะมุ่งสู่แดนเก้าบน พวกเขาก็ได้แต่ใช้โอกาสนี้มาอวยพรและแสดงความซาบซึ้งของตน
หลินสวินอึ้งงันก่อนเป็นสิ่งแรก หลังจากนั้นจึงยิ้มประสานมือ ไม่ได้พูดมากความอะไร
“เฮอะ คนที่บรรลุขอบเขตมกุฎระดับราชันไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ไปแดนเก้าบนครานี้ เทพมารหลินเจ้าระวังหน่อยแล้วกัน อย่าเจอเภทภัยเข้าเสียล่ะ!”
เพียงแต่ขณะที่กำลังหลินสวินตั้งท่าจะจากไป เสียงแค่นเย็นชาที่เจือกลิ่นอายแปลกพิกลสายหนึ่งก็ดังขึ้น เห็นได้ชัดว่าจงใจ เสียงดังอย่างยิ่ง
ตามหลังติดๆ คือเสียงหัวเราะผสมโรง เห็นได้ชัดว่ายิ่งบาดหูมากขึ้นเรื่อยๆ
กลุ่มคนเงยหน้าไปมอง ก็เห็นชายหญิงกลุ่มหนึ่งยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น กำลังกระแนะกระแหนพูดจาเสียดสีหลินสวินอย่างไม่ยำเกรง
นี่คือผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่คนหนึ่ง
“มองอะไรนักหนา เทพมารหลินบรรลุราชันแล้ว ยังจะบุกเข้าเมืองมาฆ่าพวกเราได้อีกหรือไรเล่า”
บุรุษชุดทองที่เป็นผู้นำยิ้มเย็น เห็นได้ชัดว่าไร้ซึ่งความกลัวเกรง
ผู้ฝึกปราณคนอื่นก็สีหน้าวูบไหว แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่าประโยคนี้ยากจะโต้แย้ง
บรรลุราชัน ก็หมายความไม่สามารถเข้าเมืองได้!
“ตอนแรกเทพมารหลินอย่างเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในเมือง ถึงได้คว้าโอกาสรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นมีหรือเขาจะมีวันนี้ได้”
บุรุษชุดทองยิ่งไม่หวาดเกรงมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำเสียงเจือแววเยาะหยัน
หลินสวินอดแปลกใจหน่อยๆ ไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ายังไม่ทันรอให้ตนออกไปดีเลย พวกเจ้าหมอนี่ก็อดไม่ไหว วางท่าครึ้มใจแบบเจ้าจะทำอะไรข้าได้เสียแล้ว
“เทพมารหลิน เจ้าไม่ยอมหรือ”
เมื่อตระหนึกถึงสายตาของหลินสวิน บุรุษชุดทองก็อดหัวเราะลั่นขึ้นมาไม่ได้ ชี้เข้าที่จมูกตนกล่าวว่า “มาสิ ข้าอยู่นี่ไง ถ้ามีปัญญาเจ้าก็ฆ่าข้าเสีย”
ท่าทางเช่นนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นพากันทนดูต่อไปไม่ไหว
ข้างกายบุรุษชุดทอง กลุ่มคนหัวเราะผสมโรง สบายใจไร้ห่วง
เพียงแต่ในเวลานี้เอง นัยน์ตาบุรุษชุดทองที่กำลังหัวเราะลั่นอย่างลำพองก็ปูดถลนออกมาทันควัน หลังจากนั้นร่างกายก็กระตุกเกร็งขึ้นมาอย่างรุนแรง
ต่อมาภายใต้สายตาตื่นตระหนกของผู้คน เขาคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุ้บและลุกไม่ขึ้นอีกเลย
ละแวกใกล้เคียงพรรคพวกเหล่านั้นของเขาต่างอึ้งงัน รอยยิ้มและแววได้ใจบนใบหน้าแข็งค้าง เบิกตาโพลง ออกอาการยากจะทำใจเชื่อ
นี่… เป็นไปได้อย่างไร
และในเวลานี้เอง หลินสวินยิ้มพลางเอ่ยปาก “ทุกคนล้วนเห็นชัดเจนแล้ว เจ้าหมอนี่เป็นฝ่ายร้องขอให้ฆ่าเขาเอง จะโทษข้าไม่ได้”
น้ำเสียงสบายๆ กลับพาให้ผู้คนสั่นเทิ้มทั้งที่ไม่ใช่หน้าหนาว
ผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่คนอื่นๆ ที่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ต่างก็พากันสูดหายใจเฮือก เงียบกริบปานจักจั่นหน้าหนาว
และหลินสวินเก็บสายตาแล้ว คร้านจะถือสาอีกต่อไป
สวบ!
ในขณะเดียวกันนั้นเองเสี่ยวอิ๋นก็หวนกลับมา กล่าวด้วยความข้องใจหน่อยๆ “นายท่าน เหตุใดไม่ปล่อยให้ข้าสังหารพวกเขาเสียให้หมด”
หลินสวินเอ่ยปากสบายๆ “กลัวจะแปดเปื้อนมือเจ้า ถ้าจะฆ่า ก็ฆ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดจากสำนักพวกเขานู่น”
กล่าวพลางเงาร่างเขาขยับไหว พุ่งไปทางช่องทางมุ่งสู่แดนเก้าบนสายนั้น
ภายในเมืองโบราณเผาเซียนเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง
ถึงแม้หลินสวินจะไปแล้ว แต่ควันหลงยังคงอยู่ ไม่มีใครกล้าพูดจากระทบกระเทียบอย่างอล่างฉ่างอีกต่อไป!
…
แดนอัคคีทักษิณ
หนึ่งในแดนเก้าบน
ภายใต้ต้นไม้ลับดั้งเดิมที่ยากจะพบเห็นร่องรอยผู้คน
ใบไม้เน่าเปื่อยกองพะเนินบนพื้น ต้นไม้เก่าแก่สูงค้ำฟ้า กิ่งก้านสาขาและใบไม้ปิดคลุมเวิ้งฟ้า ไม่เห็นแสงตะวันมานานปี พาให้ที่แห่งนี้มืดทะมึนชื้นแฉะ
บางครั้งก็มีเสียงคำรามลั่นแสนโศกเศร้าวังเวงดังขึ้น ชวนสยองเป็นพิเศษท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบเชียบมืดทะมึนเช่นนี้
ที่นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นกลางเขาลึก ต้นไม้โบราณเสียดฟ้า เถาวัลย์ยักษ์ทอดขยาย สัตว์ร้ายโบราณคำรามลั่น นกปีศาจบินฉวัดเฉวียนกลางฟ้า เจือกลิ่นอายเก่าแก่เวิ้งว้าง
หลินสวินสัญจรอยู่ภายในนั้น สีหน้าเจือแววตระหนกตกใจเสี้ยวหนึ่ง
หากไม่ใช่เพราะเชื่อมั่นว่ากาลเวลาไม่ไหลย้อนกลับ เขาคงสงสัยว่ามาเยือนปฐมยุคบรรพกาล ช่วงสมัยแรกเริ่มที่ฟ้าดินแยกออกจากกันเป็นแน่
ทุกสิ่งล้วนเก่าแก่และดั้งเดิม ทั้งยังคละคลุ้งด้วยกลิ่นอายเวิ้งว้างที่ลอยปะทะหน้า
นี่ก็คือแดนอัคคีทักษิณ!
ราวกับโลกใหญ่ฝ่ายหนึ่ง ภายในนั้นมีแดนลับ ซากโบราณสถาน พื้นที่เร้นประหนึ่งเขตหวงห้ามมากมาย
หลินสวินมาถึงที่แห่งนี้เป็นเวลาหนึ่งเค่อแล้ว
‘เรื่องเร่งด่วนคือเสาะหาสถานที่ฝึกปราณ ทำให้รากฐานระดับราชันมั่นคง ควบคุมพลังที่เป็นของระดับราชันให้สมบูรณ์แบบเสียก่อน’
‘ระดับราชัน เริ่มควบคุมพลังระเบียบมรรค ข้อนี้สำหรับข้าแล้วไม่ค่อยยากนัก แต่กลับต้องใช้เวลาในการหยั่งถึง…’
‘ขณะเดียวกันก็ควรสร้างยอดศาสตรามรรคราชันที่เป็นของตนสักชิ้นด้วย…’
หลินสวินตัดผ่านป่าเก่าเขาลึก มองสำรวจสถานการณ์สี่ทิศไปพลาง ขบคิดเงียบๆ ในใจไปพลาง
ยอดศาสตรามรรคราชัน เป็นสมบัติบริสุทธิ์ของผู้แข็งแกร่งระดับราชันทุกคน หากฟูมฟักได้ที่ ก็เพียงพอจะสำแดงอานุภาพเหนือจินตนาการออกมาได้!
เมื่อก่อนหลินสวินก็เคยเห็นผู้ฝึกปราณไม่น้อยใช้สมบัติระดับนี้
แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่สมบัติของตน หนำซ้ำปราณก็หาใช่ระดับราชัน ไม่สามารถสำแดงอานุภาพของสมบัติระดับนี้ออกมาได้
‘จริงสิ ยังมีห้องโถงมรรคาสวรรค์!’
หัวใจหลินสวินไหวกระตุก นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ตอนนั้นหญิงปริศนาคนนั้นเคยกล่าวว่า หลังจากเหยียบย่างระดับมกุฎราชัน ก็จะสามารถเข้าสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์ได้อีกครั้ง!
จากนั้นหลินสวินก็ส่ายหน้า ไม่ต้องรีบร้อน ทุกครั้งที่เข้าสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์ ก็เท่ากับโอกาสในการหลุดรอดปลอดภัยหนึ่งครั้ง หากพานพบอันตรายที่ไม่อาจคลี่คลายได้ ก็สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสระดับนี้ได้เต็มที่
ป่าโบราณมืดสลัว แต่ไอวิญญาณกลับแน่นหนาถึงขีดสุด ตลอดทางทำให้หลินสวินพบเห็นโอสถวิญญาณไม่น้อย กลิ่นหอมฉุยโชยมากระทบจมูก ส่วนมากเป็นโอสถโบราณหลายหมื่นปี โอสถราชันมากมายก็เปลี่ยนสภาพมากจากสิ่งนี้นั่นเอง
หลินสวินย่อมเก็บเกี่ยวมันอย่างไม่เกรงออกเกรงใจเป็นธรรมดา
ยามที่ข้ามด่านเคราะห์มกุฎราชัน โอสถสมบัติอย่างของเหลววิญญาณปฐมอสนี น้ำค้างหยกลมทอง ลูกกลอนเจ็ดช่องดาราในมือเขาล้วนถูกผลาญไปจนเกลี้ยงตั้งแต่ต้นแล้ว
ตอนนี้บนตัวก็เหลือแค่โอสถราชันสิบกว่าต้น ยังไม่เพียงพอต่อการฝึกปราณในภายหน้าอีกลิบลิ่ว
เพราะระดับราชันต่างจากปราณห้าระดับใหญ่ พลังที่จำเป็นต้องเคี่ยวกรำยิ่งใหญ่เกินไป แกนวิญญาณไม่อาจเติมเต็มไปแล้ว
ทันใดนั้นหัวใจหลินสวินพลันหนาวสะท้าน ทั่วร่างปรากฏแสงมรรคโชติช่วง เงาร่างหายไปจากจุดเดิมโดยพลัน
ตูม!
จุดที่เขายืนอยู่แต่เดิมพื้นดินระเบิดแหลกลาญ กรงเล็บกระดูกขาวมหึมาหาใดเปรียบข้างหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากด้านล่าง ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในรัศมีร้อยจั้งล้วนถูกบดขยี้ ห้วงอากาศพังครืน
ทอดมองจากระยะไกล แต่ละซี่ของกรงเล็บยักษ์กระดูกขาวนั่นล้วนใหญ่ปานเสาหิน ประทับลายมรรคสีเลือดที่บิดเบี้ยวสายแล้วสายเล่า กลิ่นอายที่คละคลุ้งออกมาแข็งกร้าวคับฟ้า ราวกับสามารถตะครุบสุริยันจันทราภูผานทีจนแตกเป็นจุณ!
หลินสวินอดสูดหายใจเฮือกไม่ได้ รู้สึกสยดสยอง หลบไปไกลๆ จากพื้นที่แถบนี้
เขานึกถึงคำพูดที่เจ้าคางคกเคยกล่าวก่อนหน้านี้ แดนเก้าบนต่างจากสามพันแดน มีศุภโชคพลิกฟ้า แต่ก็มีเคราะห์สังหารท้าสวรรค์ ทุกอณูเจือความเร้นลับและแปลกพิสดาร
ต่อให้อริยะในโลกภายนอกมีโอกาสเข้ามา ก็ไม่กล้าบุกรุกซี้ซั้วเป็นแน่!
เหมือนอย่างกรงเล็บยักษ์กระดูกขาวที่จู่ๆ ก็โผล่พรวดขึ้นมาจากพื้นนั่น ทำให้หลินสวินซึ่งเหยียบย่างระดับมกุฎราชันยังรู้สึกใจสะท้าน แค่คิดก็รู้ว่าที่แห่งนี้อันตรายปานใด
นี่ก็ลั่นระฆังเตือนภัยให้แก่หลินสวิน ทำให้เขาไม่กล้าคิดวอกแวกอีก ตั้งสมาธิเร่งเดินทาง หมายจะออกจากป่าทึบแห่งนี้ให้ได้เสียก่อน
สวบ!
เขาทะยานอากาศขึ้นมา วางแผนจะเหาะหนี
เพียงแต่เพิ่งแตะบริเวณยอดไม้เท่านั้น จู่ๆ เสียงคำรามก้องสายหนึ่งก็ดังขึ้น ส่วนลึกบนยอดไม้ที่เบียดเสียดครอบฟ้านั่น พลันมีนกปีศาจตัวหนึ่งพุ่งโฉบออกมาทันควัน
มันยาวเพียงหนึ่งจั้ง นัยน์ตาฉายสีเงิน ปีกราวกับสร้างขึ้นจากเหล็กเทพสีทองอร่าม ไหลเวียนด้วยแสงมรรคน่าสะพรึง กรงเล็บคมคู่นั้นยื่นออกมา ห้วงอากาศใกล้เคียงแตกสลายพังครืนดุจริ้วไหม
หลินสวินถอยกรูดทันควัน ตกใจจนเหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วร่าง ในจิตรับรู้ของเขาสัมผัสไม่ได้เลยสักนิด ว่ายังมีนกปีศาจเช่นนี้อยู่ด้วย
ยังดี หลังจากที่นกปีศาจตัวนี้ถูกทำให้ตกใจก็เหินทะยานฟ้าออกไปตรงๆ ไม่ได้สนใจหลินสวินด้วยซ้ำ
หาไม่ จากการคาดเดาของหลินสวิน อย่างน้อยคงต้องผ่านการต่อสู้เหนื่อยยากถึงจะหนีเอาตัวรอดออกมาได้
เนื่องจากกลิ่นอายของนกปีศาจตัวนี้แข็งแกร่งเกินไป กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวมัน กร้าวแกร่งยิ่งกว่าผู้แข็งแกร่งระดับราชันคนไหนๆ ที่เขาเคยเจอ!
“นี่เป็นสถานที่บ้าบออะไรกันแน่”
หลินสวินพึมพำกับตัวเอง สีหน้าเคร่งขรึมอยู่หน่อยๆ
เขารู้ว่าสิ่งที่ตนจำเป็นต้องทำมากที่สุดในตอนนี้ ก็คือพยายามทำความเข้าใจโลกที่แปลกใหม่และอันตรายแถบนี้ให้ได้มากที่สุด กอบโกยข้อมูลให้มากกว่านี้
หาไม่ ต้องตกเป็นฝ่ายถูกไล่ล่าอย่างแน่นอน
ระหว่างทางต่อมา หลินสวินระมัดระวังและรอบคอบอย่างที่สุด และเริ่มโคจรนัยน์ตาเฉาเฟิงแล้ว ไม่กล้าเลินเล่อสักเสี้ยว
แม้จะเป็นเช่นนี้ ตลอดทางเขาก็ยังพบเจออันตรายมากมายอยู่ดี
เช่นต้นไม้โบราณที่ลำต้นสีแดงฉานเหมือนเลือด จู่ๆ ถึงกับมีชีวิตขึ้นมา กิ่งก้านสาขาราวกับแส้ยักษ์นับพันนับหมื่นสาย หวดสะบัดห้วงอากาศจนแหวกเป็นรอยแยกแคบยาวชวนสยองสายแล้วสายเล่า
หรืออย่างเนินเขาที่ดูเหมือนปกติทั่วไป กลับแผ่แสงมรรคสีดำสายแล้วสายเล่าออกมา เพียงพอจะกลืนกินสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ๆ ทั้งหมดอย่างไร้สุ้มเสียง
นอกจากนี้ยังมีรอยแยกห้วงอากาศสุดพิสดารปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่โผล่มาก็พาให้พื้นที่แถบหนึ่งดับสลายไปตรงๆ ถูกกำจัดอย่างสิ้นเชิง!
หลายต่อหลายครั้ง แม้หลินสวินจะปลอดภัยแต่ก็ต้องตระหนกหลายครั้งกว่าจะหลบเลี่ยงเคราะห์สังหารระดับนี้ได้
ขนาดบนเวิ้งฟ้าก็ยังไม่ค่อยปลอดภัยนัก มีนกปีศาจโฉบผ่านเป็นครั้งคราว กลิ่นอายแต่ละตัวน่ากลัวข่มกันไม่ลง หฤโหดหาที่เปรียบไม่ได้
เดิมทีหลินสวินคิดว่าหลังจากบรรลุระดับมกุฎราชัน อย่างน้อยก็คงไม่เกรงกลัวสรรพสิ่งใดในแดนเก้าบน
แต่ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าเขาคิดตื้นเขินเกินไป!
แดนเก้าบนแห่งนี้ สิ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริงกลับไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นทุกสิ่งที่ไม่เคยรู้และอันตรายที่มีอยู่ทุกอณูเหล่านี้ต่างหาก
ทว่าสุ่มเสี่ยงอยู่ก็จริง แต่ตลอดเส้นทางนี้กลับทำให้หลินสวินเก็บเกี่ยวโอสถวิญญาณตามธรรมชาติไปไม่น้อย ในนั้นยังมีวัตถุดิบเทพและโอสถราชันที่หายากส่วนหนึ่งด้วย!
สอดรับกับประโยคที่ว่ายิ่งภัยอันตรายใหญ่หลวงเท่าไร สิ่งที่ได้รับก็ยิ่งใหญ่โตมากเท่านั้นพอดี
หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไป
ยังไม่เคยเดินออกจากเขตป่าที่แปลกพิสดารและสุ่มเสี่ยงแห่งนี้เลย สิ่งนี้พาให้หลินสวินอดสงสัยไม่ได้ ว่าตนคงไม่ใช่เข้าสู่เขตหวงห้ามจนหลงทางอย่างสมบูรณ์แล้วกระมัง
และในเวลานี้เอง บริเวณที่ห่างไกลจู่ๆ ก็มีเสียงซุบซิบดังขึ้นระลอกหนึ่ง ซ้ำยังปนเสียงสนทนาส่วนหนึ่งด้วย
ทันใดนั้นหลินสวินจิตใจไหวสะท้าน นัยน์ตาดำทอประกายวับ ถึงกับมีความรู้สึกชื่นมื่นราวกับยกภูเขาออกจากอกก็ไม่ปาน
‘เวลานี้ต่อให้ประจันหน้ากับศัตรู ก็ดีกว่าถูกขังอยู่ที่นี่เป็นไหนๆ…’ หลินสวินพึมพำในใจ
………………