เร้นลับ… ครั้งสุดท้ายที่ไคลน์ได้ยินชื่อนี้ คือคำพูดจากจิตใต้สำนึกของ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ และก่อนหน้านั้นเคยได้ยินจากปากเทพสุริยันบรรพกาล พระผู้สร้างแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์
ในแง่หนึ่ง ทั้งสองคือคนคนเดียวกัน
พระผู้สร้างแท้จริงเปรียบดังวิญญาณมารเทพสุริยันบรรพกาลซึ่งมีบุคลิกของซาสเรีย
อย่างไรก็ดี แตกต่างจากคราวก่อนที่ได้ยิน หนนี้ไคลน์มิได้ใจสั่นหรือเจ็บไปถึงรากฟัน
เป็นความรู้สึกคล้ายกลับ ได้เห็นหินก้อนหนึ่งตกลงบนพื้นหลังจากหมิ่นเหม่อยู่นาน
แน่นอน ชายหนุ่มมิได้สงบนิ่งโดยสมบูรณ์ ภายในใจยังคงเกิดแรงกระเพื่อมและตกตะลึงอย่างมิอาจเลี่ยง แต่เป็นเพราะประโยคที่ว่า ‘อาดัมอาจไม่ใช่อาดัมเสมอไป’ ของมังกรจิตอาริฮ็อก ไคลน์จึงเตรียมใจไว้นานแล้วจากการคาดเดาที่หลากหลาย
ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง เร้นลับ… อาดัมคือเทพสุริยันบรรพกาล? หรือเป็นเทพสุริยันที่คืนชีพในร่าง? ทั้งที่รู้เช่นนี้ แต่ก็ยังมุ่งมั่นเดินหน้าคืนชีพให้บิดาของตน จนถูกเมดีซีเรียกว่า ‘คนขี้ระแวง’ ? ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ มันเริ่มกระจ่างในหลายเรื่องที่เคยฉงน:
เข้าใจแล้วว่าทำไมอาดัมถึงไม่เคยเผยแผ่คำสอนของตัวเอง เอาแต่เผยแผ่ความเชื่อให้เทพสุริยันบรรพกาล!
ในตอนแรก ไคลน์คิดว่าเส้นทางนักสร้างฝันมีความพิเศษ สามารถจินตนาการสาวกขึ้นมายึดเหนี่ยวจิตใจได้โดยไม่ต้องสร้างศาสนา แต่จากที่ได้ยินเมื่อครู่ ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ใช่แค่เหตุผลเดียว
เงียบงันสักพัก มันจ้องดวงตาสีซีดของอาดัมซึ่งดูราวกับไร้มลทิน
“เทพสุริยันบรรพกาล?”
อาดัมยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน กล่าวด้วยเสียงคล้ายบิชอปกำลังเทศนา
“ไม่คิดบ้างหรือ จากบรรดาราชาเทวทูตทั้งแปด ข้ามีความพิเศษกว่าใคร? หลังจากได้อ่านศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองในส่วนเกี่ยวกับวันวาน เจ้าคงสังเกตเห็นแล้วกระมัง”
ก็จริง… ไคลน์พยักหน้า เป็นนัยว่ามันตระหนักได้
“จากบรรดาแปดราชาเทวทูต อาดัมเป็นคนเดียวในห้าเส้นทาง ‘พระเจ้า’ ที่มี ‘เอกลักษณ์’ อยู่กับตัว”
จากความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับในปัจจุบันของไคลน์ สมัยพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ยังมีชีวิตอยู่ ราชาเทวทูตทั้งแปดมีสถานภาพตามนี้:
เทวทูตมืดซาสเรีย เกิดจากการแบ่งตะกอนพลังลำดับ 1 ของเส้นทางแฮงแมนสองก้อน ถือครองศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่งซึ่งสามารถระดมพลังบางส่วนของทะเลแห่งความโกลาหล จึงมีความแข็งแกร่งมากที่สุด ได้เป็นรองประมุขสวรรค์ หัตถ์ซ้ายแห่งเทพ และราชาในหมู่ราชาเทวทูต
เทวทูตสีขาวโอซาคุส ครอบครองตะกอนพลังลำดับ 1 ของเส้นทางสุริยันสองก้อน
เทวทูตวายุเลโอเดโร เทวทูตปัญญาเฮราเบอร์เก้น และเทวทูตโชคชะตาโอโรเลอุส ถือครองตะกอนพลังลำดับ 1 ของเส้นทางตัวเองคนละสองก้อน
เทวทูตกาลเวลาอามุนด์ และเทวทูตสีชาดเมดีซี ถือครองเอกลักษณ์ของเส้นทางตัวเองและตะกอนพลังลำดับ 1
เทวทูตจินตภาพอาดัม ถือครองเอกลักษณ์เส้นทางผู้ชม และตะกอนพลังลำดับ 1 จำนวนหนึ่งถึงสองก้อน
อาจดูปรกติหากมองผิวเผิน แต่ค่อนข้างประหลาดหากครุ่นคิดลึกลงไป
เทวทูตกาลเวลาอามุนด์และเทวทูตสีชาดเมดีซี ไม่ได้อยู่ในห้าเส้นทางของ ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง’ เทพสุริยันบรรพกาลจึงมอบเอกลักษณ์ของเส้นทางให้ได้โดยไม่เกิดปัญหา แต่ในกรณีของอาดัมนั้นแตกต่าง นักสร้างฝันคือหนึ่งในห้าเส้นทางของ ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง’ โดย ‘เอกลักษณ์’ ของทั้งห้าเส้นทางเปรียบดังเสาหลักที่ค้ำจุนการเป็น ‘วันวาน’ ของเทพสุริยันบรรพกาลเอาไว้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เอกลักษณ์ของทั้งห้าเส้นทางเปรียบได้กับตะกอนพลังลำดับ 1 ทั้งสามก้อนของลำดับ 0 เช่นนั้นแล้วจะแบ่งออกมาตามอำเภอใจได้อย่างไร?
เป็นที่ทราบกันดีว่า ซาสเรียซึ่งถึงเป็นรองประมุขสวรรค์และหัตถ์ซ้ายแห่งเทพ ก็ยังไม่มีเอกลักษณ์ของเส้นทางแฮงแมนในครอบครอง จึงไม่ต้องเอ่ยถึงเทวทูตวายุเลโอเดโร เทวทูตปัญญาเฮราเบอร์เก้น และเทวทูตสีขาวโอซาคุส
เดิมที ไคลน์คิดว่าเป็นเพราะเทพสุริยันบรรพกาลตระหนักถึงการลืมตาตื่นของ ‘มหาต้นกำเนิด’ จึงจงใจแยกหนึ่งในห้า ‘เอกลักษณ์’ เพื่อให้กำเนิดบุตรชาย เป็นการลด ‘ระดับตัวตน’ ลงมาเพื่อให้ต่อกรกับการกัดกร่อนจากมหาต้นกำเนิดได้ง่ายขึ้น
นี่คงเป็นสิ่งที่เทพและราชาเทวทูตตนอื่นในช่วงเวลานั้นเข้าใจ
จนกระทั่งได้ยินคำพูดของอาริฮ็อก ‘อาดัมอาจไม่ใช่อาดัม’ ไคลน์ตระหนักได้ทันทีว่า เรื่องนี้ยังมีลับคมในแฝงอยู่
หลังจากได้อ่านส่วนสุดท้ายของศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง มันยิ่งทวีความประหลาดใจ เพราะ ‘เอกลักษณ์’ นั้นถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการเป็นวันวาน หากจะเทียบว่า ‘แก่นแท้แห่งต้นกำเนิด’ เป็นฐานราก เอกลักษณ์ก็เปรียบดัง ‘เสาค้ำ’ ไม่ว่าต้นจะใดหายไปก็ล้วนสร้างปัญหาร้ายแรงทั้งสิ้น หากเทพสุริยันบรรพกาลต้องการลดระดับตัวตนจริง การสกัดตะกอนพลังลำดับ 1 ออกจะเป็นวิธีที่สะดวกและปลอดภัยกว่า
แต่งกายในชุดคลุมสีขาวเรียบง่าย บนใบหน้ามีเคราสีทองดกหนา อาดัมบรรจงย่างกรายหาไคลน์ ก้มมองศิลาเย้ยเทพพลางกล่าว
“นักสร้างฝันมีความพิเศษอยู่… ตามปรกติแล้ว ลำดับ 0 จะประกอบด้วยหนึ่งเอกลักษณ์และสามตะกอนพลัง หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็จะขาดคุณสมบัติของเทพแท้จริง เป็นได้เพียงราชาเทวทูต แต่สำหรับนักสร้างฝัน พวกเขาสามารถสกัดตะกอนพลังลำดับ 1 สองก้อนออกมาและแทนที่ด้วย ‘ตะกอนพลังที่ถูกจินตนาการขึ้น’ … ตะกอนพลังที่สร้างขึ้นโดยนักสร้างฝันจะมีความสมจริงเพียงพอ สามารถทำงานได้เหมือนของจริงภายใต้ความช่วยเหลือจากเอกลักษณ์และตะกอนพลังลำดับ 1 ของจริง ส่งผลให้นักสร้างฝันไม่สูญเสียระดับตัวตนและอำนาจ… ตะกอนพลังลำดับ 1 จำนวนสองก้อนที่ถูกสกัดออกมา สามารถนำไปรวมกับบางตัวตน หรือสิ่งมีชีวิตที่ ‘จินตนาการขึ้น’ และทำให้อีกฝ่ายกลายเป็น ‘นักประพันธ์’ ตัวจริงซึ่งมีความคิดเป็นอิสระ และหากจำเป็น ก็สามารถใช้วิธีการบางอย่าง หรือสื่อกลางบางชนิด เปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้… สำหรับ ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง’ ย่อมเป็นไปได้ที่จะ ‘สร้าง’ เอกลักษณ์กึ่งจริงกึ่งเทียมเพื่อรักษาสถานภาพของตัวเองในขอบเขตจำกัด”
นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างมังกรจินตภาพแอนเคอร์เวล กับบุตรชายอย่างมังกรแห่งฝันร้ายอัลเซอร์ฟอร์ด? เราเคยคิดว่าเส้นทางนักทำนายและนักจารกรรมพิสดารที่สุดแล้ว แต่ดูเหมือนจะยังเทียบไม่ได้กับเส้นทางผู้ชม… นั่นสินะ ระวังผู้ชมไว้ให้ดี… ไคลน์เริ่มกระจ่าง และเข้าใจว่าทำไมมังกรจินตภาพแอนเคอร์เวล ถึงจัดเตรียมให้ปากกาขนนก 0-08 ได้พบกับ ‘การเดินทางของกรอซาย’
เมื่อพวกมันได้พบกัน ปากกาขนนก 0-08 ซึ่งมีต้นกำเนิดจากอัลเซอร์ฟอร์ดจะ ‘ตื่น’ ขึ้นและกลายเป็นมังกรจินตภาพแอนเคอร์เวลซึ่งมีระดับตัวตนต่ำลง จากนั้น เทพบรรพกาลที่คืนชีพจะใช้ ‘บุคลิกที่ถูกกัดกร่อน’ ซึ่งถูกผนึกไว้ด้านหลังประตูทองแดง ระดมพลังของทะเลแห่งความโกลาหลทางอ้อม และครอบครองพลังระดับราชาเทวทูตที่แข็งแกร่งที่สุดใต้เทพแท้จริง
ด้วยรากฐานดังกล่าว แอนเคอร์เวลจะแย่งชิงบัลลังก์ ‘นักสร้างฝัน’ จากอาดัมและคืนชีพโดยสมบูรณ์
เมื่อเทียบกันแล้ว การคืนชีพของจักรพรรดิมืดนั้นเรียบง่าย ประณีต และตรงไปตรงมามากกว่า… ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย:
“ความสัมพันธ์แบบเดียวกับมังกรจินตภาพและมังกรแห่งฝันร้าย?”
อาดัมนั่งลงข้างไคลน์
“ถูกต้อง… แต่ในกรณีของมังกรจินตภาพ รายนั้นถูกกัดกร่อน แถมยังมีตะกอนพลังของเส้นทางอื่นปะปน สภาพจึงย่ำแย่ หากไม่สกัด ‘นักประพันธ์’ ออกมา เกรงว่าคงได้คลุ้มคลั่งคาที่”
ไคลน์มิได้สนใจอาดัมที่นั่งถัดจากตน เพียงจ้องมองศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองด้านหน้า:
“ความพิเศษของนักสร้างฝัน มีข้อแตกต่างอย่างไรกับการแบ่งร่างโคลนของนักจารกรรม?”
“หากอามุนด์กลายเป็นข้อผิดพลาด เขาเองก็สามารถสร้างร่างโคลนลำดับ 1 ได้สองตัวเช่นกัน”
อาดัมโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย อธิบายกระชับ
“ร่างโคลนและร่างหลักยังมีความเชื่อมโยงต่อกัน แค่อยู่ในสถานที่ต่างกัน”
กำลังจะบอกว่า ลำดับ 1 ซึ่งถูก ‘จินตนาการขึ้น’ จะเป็นอิสระจากร่างต้นโดยสมบูรณ์ กลายเป็นคนอื่นโดยสมบูรณ์? หากนักสร้างฝันต้องการคืนชีพในร่างดังกล่าว ก็ต้องกระทำผ่านวิธีหรือสื่อกลางพิเศษเท่านั้น? ไคลน์ถามกับตัวเองพลางครุ่นคิด
“เจ้าตื่นขึ้นหลังจากกลายเป็นนักสร้างฝัน?”
“เปล่า” อาดัมมองไปข้างหน้า ตอบอย่างอ่อนโยน “หลังจากข้าร่วงหล่นและ ‘แท้จริง’ ถือกำเนิด”
ไคลน์ถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่มีใครเอะใจเลยหรือ?”
หากเหล่าทวยเทพล่วงรู้ว่าเทพสุริยันบรรพกาล ‘คืนชีพ’ ในตัวอาดัม ประวัติศาสตร์ในยุคสมัยที่สี่น่าจะเปลี่ยนเป็น การรุมยำจักรวรรดิโซโลมอน สภานักสิทธิ์สนธยา และตระกูลอามุนด์
“คนเดียวที่รู้ความจริงคือ ‘แท้จริง’ นอกเหนือจากนั้น มีเพียงรัตติกาลที่น่าจะระแคะระคายอยู่บ้าง” อาดัมตอบเสียงแผ่ว “ข้าแสร้งทำตัวเป็นคนขี้ระแวง ผู้หมกมุ่นอยู่ความปรารถนาที่จะให้บิดาคืนชีพในร่างกาย นี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับราชาเทวทูตเส้นทางนักสร้างฝัน”
“ถ้าอย่างนั้น เมดีซีก็…” ไคลน์รู้สึกเห็นใจเทวทูตสีชาดเล็กน้อย
คิดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก้มมองแท่งไม้กางเขนที่เสียบอยู่กลางหน้าอก เริ่มตระหนักว่าตนอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชยิ่งกว่า
อาดัมเล่าอย่างเป็นกันเอง
“เป็นการเสียสละที่จำเป็น… ลองคิดดูสิ วิญญาณมารจะมีชีวิตรอดได้นานหลายปีโดยที่ไม่ถูกพบตัวได้อย่างไร?”
ไคลน์เงียบไปสักพักก่อนจะถาม
“แล้วจะให้ข้ารออยู่เฉยๆ ที่นี่จริงหรือ”
“จะออกจากวิหารโครงกระดูกไปก็ได้ แต่ด้านนอกมีซาราธรออยู่ ด้วยสภาพปัจจุบัน เจ้าคงไม่แคล้วกลายเป็นหุ่นเชิด” อาดัมตอบเสียงเรียบ
ไคลน์ปิดปากเงียบทันที หันมาสนใจเหนือหาส่วนที่เหลือของศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองอีกครั้ง
…
ทะเลหมอก ‘รุ่งอรุณ’ กำลังแล่นอย่างเงียบงันท่ามกลางเกลียวคลื่นสีคราม
ทันใดนั้น แบร์นาแดตลืมตาขึ้นมาลุกนั่ง
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย หยิบสิ่งของที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาทันที
พื้นผิวของวัตถุดังกล่าวเป็นสีทองล้วน สลักลวดลายลึกลับซึ่งยากอธิบาย รูปกายคล้ายกาต้มน้ำใบเล็ก
นี่คือสมบัติปิดผนึกรหัส 0-05 ‘ตะเกียงวิเศษประทานพร’
แบร์นาแดตถือตะเกียงในมือ ก้มศีรษะลงพลางท่องนามเต็มอันทรงเกียรติ
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย”
“ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา”
“ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ…”