เหนือหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ ใกล้กับเก้าอี้เดอะฟู
จุดแสงแห่งการสวดวิงวอนสว่างขึ้น ขยายออกเป็นรัศมีวงกลม
คล้ายกับมีใครบางคนเปิดม่านภายในห้องมืด แสงแดดส่องเข้ามาแยงตา ‘คนกำลังนอน’
วังวนหนอนสีใสซึ่งสงบไปได้สักพัก กลับมาอาวะลาดอีกครั้งด้วยการโบกสะบัดหนวดรยางค์แปลกประหลาด
…
สายตาไคลน์กวาดผ่านเนื้อหาในส่วน ‘ราชันเร้นลับ’ และตีความเนื้อหาถัดไป
อันธการนิรันดร์, เอกพจน์แห่งสรรพสิ่ง, หนึ่งเดียวกับห้วงมิติเวลา:
แม่น้ำอันธการนิรันดร์ + เอกลักษณ์ของรัตติกาล + เอกลักษณ์ของมรณา (ผู้หลับใหลนิรันดร์) + เอกลักษณ์ของยักษ์สนธยา + ตะกอนพลังของอัศวินเคราะห์กรรม + ตะกอนพลังของจักรพรรดิสีจาง + ตะกอนพลังของหัตถ์แห่งเทพ
เทพต้นกำเนิด, มารดาแห่งสรรพสิ่ง, รังมารดาแห่งมลทิน:
รังมารดา + เอกลักษณ์ของมารดา + เอกลักษณ์ของจันทรา + ตะกอนพลังของนักท่องธรรมชาติ + ตะกอนพลังของเทพธิดาแห่งความงาม
ผู้บันดาลกลียุค, เงาดำแห่งระเบียบ:
แคว้นแห่งความยุ่งเหยิง + เอกลักษณ์ของจักรพรรดิมืด + เอกลักษณ์ของผู้ชี้ชะตา + ตะกอนพลังขององค์ชายวิปลาส + ตะกอนพลังของหัตถ์ประกาศิต
มหาวินาศ, ต้นกำเนิดภัยพิบัติ:
เมืองแห่งหายนะ + เอกลักษณ์ของแม่มด (แม่มดกลียุค, แม่มดบรรพกาล) + เอกลักษณ์ของนักบวชสีชาด + ตะกอนพลังของสิ้นโลก + ตะกอนพลังของผู้พิชิต
บิดาแห่งปีศาจ, เจ้าแห่งการกลายพันธุ์, รากเหง้าแห่งคำสาป
โลกเงามืด + เอกลักษณ์ของนรก + เอกลักษณ์ของผู้ถูกล่าม + ตะกอนพลังของราชันโสมม + ตะกอนพลังของเทพหายนะ
ปีศาจความรู้, ปริศนาอันบ้าคลั่ง
ดินแดนรกร้างแห่งความรู้ + เอกลักษณ์ของนักสิทธิ์ + เอกลักษณ์ของผู้ไร้ตำหนิ + ตะกอนพลังของจักรพรรดิความรู้ + ตะกอนพลังของผู้เบิกเนตร
กุญแจแห่งแสง, กลียุคไร้ก้นบึ้ง, อวตารแห่งชะตากรรม
กุญแจแห่งแสง + เอกลักษณ์ของกงล้อโชคชะตา + ตะกอนพลังของอสรพิษยักษ์
หากมันกับจักรพรรดิโรซายล์ได้ทราบข้อมูลเหล่านี้ล่วงหน้า คงไม่มีใครต้องตกอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบัน
เมื่อถึงจุดหนึ่ง ต่อให้ไม่ใช้พลังพิเศษ ลำพังความรู้ก็มีค่าเทียบเท่าพลังที่แข็งแกร่ง… ชื่อของเส้นทางร่วมธรณีกับจันทรา มีบางจุดแตกต่างจากพระนามเต็มของมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม ดูเหมือนว่าบนโลกจะกล่าวถึงแค่บางส่วนของพระองค์… หมายความว่าพระนามเต็มของพระองค์บนดวงจันทร์ก็คงเป็น ‘มารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม’ ‘ปฐมกาลแห่งความชั่ว’ ‘ผู้ไม่ดับสูญ’ … ในทำนองเดียวกัน มารดาพฤกษาแรงกระหายในปัจจุบันก็คงมีนามเต็มเป็น ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ ‘บิดาแห่งปีศาจ’ ‘ผู้แผดเสียงคำรามนิรันดร์’ … สถานการณ์ของทาง ‘บุตรแห่งปฐมกาล’ ยังไม่เป็นที่แน่ชัด คล้ายกับหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา ไม่มีใครเข้าถึงได้… ไคลน์พยักหน้ากับตัวเอง
มันกล่าวต่อทันที
“ดูเหมือนว่า ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง’ จะแข็งแกร่งที่สุด รองลงมาคือ ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘หนึ่งเดียวกับห้วงมิติเวลา’ โดยที่เหลือแข็งแกร่งเท่ากันเป็นลำดับสุดท้าย”
มันพิจารณาจากจำนวนเส้นทางผู้วิเศษข้างเคียงภายในกลุ่ม โดยไม่ได้นับรวมเส้นทางเทพภายนอก
อาดัมจ้องศิลาเย้ยเทพพลางกล่าวอย่างเป็นกันเอง
“ไม่เสมอไป… ปริมาณของอำนาจอาจสัมพันธ์กับระดับตัวตนและความแข็งแกร่งบางส่วน แต่ไม่ใช่กับทั้งหมด ยังมีคุณสมบัติเฉพาะตัว ประเภทพลัง และสัญลักษณ์ ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน… หลังจากพระผู้สร้างต้นกำเนิดแบ่งร่างกาย สามเสาหลักที่โดดเด่นในหมู่วันวานประกอบไปด้วย: ‘พระเจ้า’ มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง; ‘ราชันเร้นลับ’ ราชันกาลเวลาและห้วงมิติ และสุดท้ายคือมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม ‘ปฐมกาลแห่งความชั่ว’”
ได้ยินประโยคสุดท้ายของอาดัม ไคลน์อดไม่ได้ที่จะชำเลืองไปมองแขนเสื้อฝั่งซ้ายที่มีกระจกวิเศษอาโรเดสซ่อนอยู่
เข้าใจแล้วว่าทำไม อาโรเดสถึงบอกว่าเห็นเสาหลักและการค้ำจุนในตัวเรา… มันกระจ่างขึ้นมาเล็กน้อย และค่อนข้างเชื่อว่าสิ่งที่นักสร้างฝันอาดัมกล่าวคือความจริง
ทันใดนั้น อาดัมเสริมด้วยน้ำเสียงไม่รีบเร่ง
“ปัจจุบัน สองเสาหลักแรกดำรงอยู่ในสภาพแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด และหลังจากมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามถูกแบ่ง ‘รังมารดา’ และเส้นทางผู้วิเศษทั้งสองออกจากร่าง พระองค์ก็ไม่ต่างจากเทพภายนอกตนอื่นมากนัก มีเพียงสัญลักษณ์ที่ยังคงทำหน้าที่เป็น ‘เสาหลัก’”
หากไม่ใช่เพราะมีไม้กางเขนเปื้อนเลือดกำลังเสียบอยู่กลางหน้าอก ไคลน์คงรู้สึกว่าบรรยากาศการสนทนาในปัจจุบันนั้นไม่เลว คล้ายกับตนเป็นเพื่อนกับอาดัม สนทนากันอย่างออกรส พลางรอลูกชายอย่างอามุนด์กลับบ้านมากินอาหารเย็น
และ ‘อาหาร’ ที่ว่าก็คือเราเอง… ต้องยอมรับว่าพลังของผู้ชมสามารถบิดเบือนการรับรู้ ประสบการณ์ และสภาพจิตใจของผู้ฟังได้อย่างน่าทึ่ง… ไคลน์เตือนตัวเองให้ระวัง ก่อนจะถามเจือความสับสน
“นึกว่าเทพภายนอกอย่างมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม ซึ่งถือครองแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดมากถึงสองหรือสาม จะเป็นเสาหลักเดี่ยวๆ มาตลอดเสียอีก”
อาดัมก้มมองจี้ไม้กางเขนสีเงิน
“เข้าใจผิดแล้ว พระองค์ครอบครองแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดเพียงหนึ่งมาตลอด… ตามปรกติแล้ว แก่นแท้แห่งต้นกำเนิดจะมิอาจแบ่งแยกได้ แต่เมื่อครั้งพระผู้สร้างต้นกำเนิดทำการแบ่งร่างกาย กฎการ ‘รวมตัว’ และ ‘แยกตัว’ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกัน ได้ดึงดูดให้ ‘แก่นแท้แห่งต้นกำเนิด’ บางส่วนของมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามเกิดฉีกขาด และตกลงมายังโลกของเรา”
“กล่าวคือ ในปัจจุบัน แก่นแท้ฯ ของมารดาเทพธิดาฯ กำลังอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์? หมายความว่าถ้าในอนาคตมีวันวาน ‘มารดาแห่งสรรพสิ่ง’ ถือกำเนิดขึ้นมาแทน ตัวตนดังกล่าวก็จะได้ครอบครองพลังที่ไม่สมบูรณ์?” ไคลน์ถาม
ริมฝีปากอาดัมขยับเล็กน้อย คล้ายกับกำลังยิ้ม:
“ตอนแรกก็เป็นเช่นนั้น แต่แก่นแท้แห่งต้นกำเนิดมีพลังในการสมานตัวเอง… กล่าวคือ แม้แก่นแท้ฯ ของมารดาเทพธิดาฯ ในปัจจุบันจะยังฟื้นฟูกลับมาไม่สมบูรณ์ แต่ ‘รังมารดา’ ก็ยังสามารถให้กำเนิด ‘วันวาน’ ที่แท้จริงได้ตามปรกติ ติดปัญหาเพียงเรื่องเดียวก็คือ วันวานคนใหม่ที่ว่าจะใช้พลังจากสัญลักษณ์ ‘เสาหลัก’ ได้เพียงบางส่วน เว้นเสียแต่ว่าจะผสานเข้ากับ ‘รังมารดา’ อีกครั้ง… เหตุการณ์ดังกล่าวยังทำให้พลังเกี่ยวกับการถือกำเนิด และพลังด้านลบทั้งหมดในจักรวาลเกิดความปั่นป่วน แต่ช่วงเวลาหลักหมื่นปีถือว่าสั้นมากในเชิงดาราศาสตร์ ผลกระทบจึงยังไม่แพร่กระจายเป็นวงกว้าง… หากเทพภายนอกตนใดได้รับแก่นแท้ฯ ของเส้นทางใกล้เคียงไปครอง ส่งผลให้กลายเป็นผู้ครอบครองแก่นแท้ฯ สองแห่ง ข้าเองก็มิอาจจินตนาการได้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ก่อนหน้านี้ มีเพียงพระผู้สร้างต้นกำเนิดเท่านั้นที่ครอบครองแก่นแท้ฯ มากกว่าหนึ่งแห่ง แต่ในวินาทีที่พระองค์ลืมตาตื่นและทุกสิ่งกลับมารวมตัว ร่างกายพระองค์ก็จะแยกออกจากกันอีกครั้งอย่างมิอาจเลี่ยง”
ไคลน์พยักหน้า ถามด้วยความครุ่นคิด
“พระผู้สร้างต้นกำเนิดเคยครอบครองแก่นแท้ฯ ได้มากถึงเก้าแห่ง หมายความว่าการครอบครองเพียงสองถึงสามแห่งอาจไม่ใช่ปัญหา ขีดจำกัดน่าจะสูงกว่านั้น”
“ปัจจุบันยังไม่มีใครยืนยันได้” อาดัมถือจี้กางเขนสีเงินไว้บนหน้าอก “ข้าคาดเดาว่า เคยมีบางตัวตนพยายามทดลองทำดูแล้ว เพราะต้องไม่ลืมว่า สัญชาตญาณการ ‘รวมตัว’ ในตะกอนพลังนั้นรุนแรงมาก อย่างไรก็ดี ถึงตอนนี้ยังไม่มีใครทราบผลลัพธ์ที่แน่ชัด”
“ตัวตนใด?” ไคลน์กล่าวพลางลูบไม้ไม้กางเขนเปื้อนเลือด
อาดัมหันเหความสนใจไปยังไม้กางเขนยักษ์หลายร้อยเมตรตรงหน้า กล่าวเสียงเรียบ
“ ‘พระเจ้า’ ในช่วงต้นยุคสมัยที่หนึ่ง หรือที่เรียกกันว่า ‘ปฐมต้นกำเนิด’ นอกจากนั้นยังมีราชันเร้นลับซึ่งเจ้ามักจะเอ่ยนามของเขาบ่อยครั้ง…”
ขณะกล่าว อาดัมชำเลืองไคลน์ด้านข้าง กล่าวด้วยท่าทางเลียนเสียง:
“ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”
…สองคนนั้นหายไปเลย… ผลลัพธ์การทดลองไม่สู้ดีนัก? ขณะไคลน์คิดไม่ออกว่าตนควรกล่าวสิ่งใดต่อ อาดัมมองไปยังศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองและพูด
“หนึ่งสิ่งที่ข้ามั่นใจก็คือ แก่นแท้ฯ บางชนิดไม่สามารถครอบครองพร้อมกันได้… โดยนัยแล้ว จักรวาลนี้มีเสาหลักที่สี่อยู่ด้วย สิ่งนั้นคือตัวแทนของทุกสรรพสิ่ง นับรวมไปถึงจุดจบของตัว ‘วันวาน’ เองและจักรวาลนี้ด้วย มีความเกี่ยวพันโดยตรงกับ ‘แม่น้ำอันธการนิรันดร์’ และ ‘เมืองแห่งหายนะ’ … สรุปโดยสั้น หากรัตติกาลสามารถกลายเป็น ‘อันธการนิรันดร์, เอกพจน์แห่งสรรพสิ่ง, หนึ่งเดียวกับห้วงมิติเวลา’ ได้เมื่อไร พระองค์จะสามารถข้ามไปครอบครอง ‘เมืองแห่งหายนะ’ ของเส้นทางแม่มดและนักบวชสีชาดได้ทันที และกลายเป็นเสาหลักที่สี่โดยแท้จริง แต่เมื่อถึงตอนนั้น ผลลัพธ์สามารถออกได้หลายหน้า ไม่ว่าจะเป็นการบรรทมชั่วนิรันดร์ของพระองค์ หรือค่อยๆ แยกตัวเองออกจากกัน หรือไม่ก็ทำให้ทั้งจักรวาล รวมถึงพระองค์และพวกเรา ถึงคราวพังพินาศและกลับไปเริ่มต้นใหม่”
เราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน… ในหมู่เหนือลำดับ สัญลักษณ์สำคัญกว่าอำนาจ… อาดัม ไม่สิ เทพสุริยันบรรพกาลมีความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับในระดับที่น่าทึ่งมาก สมแล้วที่เคยเป็นกึ่งวันวานมาก่อน… ไคลน์ถอนหายใจเมื่อได้ยินคำอธิบาย
มันไตร่ตรองสักพักและพูด
“กล่าวคือ ครึ่งเทพเส้นทางผู้ไร้หลับ สามารถสลับไปยังเส้นทางแม่มดได้เช่นกัน?”
“ถูกต้อง” อาดัมตอบขณะมองตรงไปข้างหน้า “แต่หากทำแบบนั้น แม่มดคนดังกล่าวจะกลายเป็นวันวานไม่ได้ เว้นเสียแต่จะสกัดตะกอนพลังของเส้นทางเก่าออกไปจนหมด”
ขณะไคลน์เงยหน้าขึ้น มันอ่านสูตรโอสถระดับครึ่งเทพของเส้นทางผู้ชม ผู้ไร้หลับ ผู้ตัดสิน และอื่นๆ ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อ:
“สูตรโอสถที่เกี่ยวข้องกับวันวานมาจากไหน? เท่าที่เห็น ศิลาเย้ยเทพแผ่นแรกไม่ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้… อยู่ในความรู้ของโอสถลำดับ 0 แล้วนำมาประกอบเข้าด้วยกัน?”
อาดัมเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย อารมณ์ค่อนข้างมีชีวิตชีวา
“หลังจากเริ่มครอบครองอำนาจของ ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง’ ข้าพยายามถอดรหัสวิธีเลื่อนเป็นวันวานของเส้นทางอื่น จนกระทั่งพบสูตรโอสถที่เหมาะสมและสัญลักษณ์ต่างๆ … น่าเสียดาย ในตอนนั้น ‘ปฐมต้นกำเนิด’ ก็ตื่นขึ้นในร่างกายข้าเช่นกัน…”
ดังนั้น ในตอนที่ร่วงหล่นเมื่อครั้งเป็นเทพสุริยันบรรพกาล นายได้แบ่งส่วนหนึ่งของร่างกายออกมาเป็นศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง? ไคลน์พึมพำกับตัวเองเล็กน้อย:
“หลังจากนี้ วันสิ้นโลกก็ไม่ได้สิ้นหวังเสียทีเดียว”
ถือเป็นการยุติการต่อสู้อย่างไร้เหตุผลและเอาแต่ใจของเหล่าทวยเทพ และเริ่มต้นยุคสมัยแห่งการก้าวขึ้นไปเป็นวันวาน
อาดัมยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า ไม่ได้กล่าวคำใด
ไคลน์เองก็เงียบ จนกระทั่งผ่านไปหลายวินาที มันตัดสินใจถาม
“หุ่นเชิดตัวนั้น… เจ้าใส่ความเป็นคนแบบไหนลงไป”
อาดัมหันมาจ้องหน้า กล่าวด้วยดวงตากระจ่างใส
“มนุษย์ที่เหน็ดเหนื่อย ต้องการพักผ่อน ต้องการเป็นอิสระ แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ยังดี”
ไคลน์อ้าปากค้างเล็กน้อย ตอบสนองไม่ถูกไปสักพัก
“เหตุใดเจ้าถึงไม่เรียกว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แต่ใช้สรรพนามว่าหุ่นกระบอกตัวนั้น” อาดัมถามอย่างเป็นกันเอง ประหนึ่งนักบวชกำลังสอนสาวก
ไคลน์มองข้าง จากนั้นก็ยิ้ม
“ข้าคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์… เกอร์มัน·สแปร์โรว์คือส่วนหนึ่งของข้า ถ้าหากแยกออกจากกัน ต่อให้หลบหนีออกจากอาณาจักรแห่งเทพสำเร็จ ก็คงหนีไม่พ้นชะตากรรมต้องคลุ้มคลั่ง”
กล่าวจบ ไคลน์เว้นวรรค มองตรงไปข้างหน้าและถามเสียงต่ำ
“เจ้า… เหลือแค่ความเป็นเทพแล้วหรือ?”
…
หมู่เกาะรอสต์ บายัม เมืองแห่งการให้
เวอร์ดูอับราฮัมซึ่งย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้ง ได้ศึกษาจนทราบว่า ‘เทพแห่งสนามรบ’ คือตัวตนที่โดดเด่นในยุคสมัยที่สี่ และสามารถตอบสนองต่อการสวดวิงวอนของผู้เชื่อ
จากนั้น มันจ้างคนยากไร้คนหนึ่งซึ่งยอมเสี่ยงชีวิตด้วยความสมัครใจ ให้สวดวิงวอนถึงเทพแห่งสนามรบเพื่อยืนยันถึงอันตราย
ค่าจ้างคิดเป็นเงินสามร้อยเหรียญทอง
ปัจจุบัน เวอร์ดูได้รับรายงานกลับมาแล้ว ไม่เพียงคนยากไร้จะไม่ตาย แต่ยังได้รับการเติมเต็มความปรารถนาอีกด้วย!