ราชันเร้นลับ 1349 : ‘ประตู’

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

หลังจากแบร์นาแดตไม่ได้รับคำตอบ เธอหยิบตะเกียงวิเศษประทานพรเดินไปยังริมหน้าต่างห้องกัปตัน มองออกไปยังทะเลสีคราม

เธอมิได้ใจร้อน และไม่พยายามใช้พลังพยากรณ์ เพียงรอความคืบหน้าอย่างอดทน

ผ่านไปหลายนาที ในที่สุดหมอกสีเทาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหญิงสาว

ทันใดนั้น สายหมอกถูกย้อมกลายเป็นสีทองประหนึ่งเคลือบด้วยน้ำเชื่อมเหนียว

แบร์นาแดตก้มศีรษะลงทันที จ้องไปยังตะเกียงวิเศษประทานพรในมือ และพบว่าไส้ตะเกียงถูกจุดขึ้นเอง

เหนือสายหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ ใกล้กับเก้าอี้เดอะฟูล จุดแสงแห่งการสวดวิงวอนซึ่งพองตัวจนมีขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ ถูกแทนที่ด้วยร่างสีทองซีดอันบิดเบี้ยวและพร่ามัว

ร่างดังกล่าวมองทะลุผ่านจุดแสงแห่งการวิงวอน ทะลุผ่านหมอกสีเทา มองเข้าไปในวังวนหนอนสีใสที่พยายามทำลายทุกสิ่งรอบตัว

เสียงของมันดังกังวานท่ามกลางปราสาทต้นกำเนิดที่โอ่อ่าและยิ่งใหญ่:

“คลุ้มคลั่ง?”

น้ำเสียงของเทพแห่งตะเกียงเจือความเย้ยหยันเสียเต็มประดา ไม่แยแสว่า หนอนวิญญาณที่คลุ้มคลั่งจะเข้าใจคำพูดตนหรือไม่

ทันใดนั้น เหนือเก้าอี้เดอะฟูลซึ่งแตกกระจัดกระจาย บานประตูแสงพิสดารซึ่งประกอบด้วยวงกลมแสงจำนวนมากปรากฏขึ้น

เส้นแสงเรียงตัวกันเป็นสัญลักษณ์กลางอากาศ

สัญลักษณ์ดังกล่าว แต่เดิมอยู่หลังเก้าอี้ของเดอะฟูล ประกอบด้วยเนตรไร้รูม่านตาครึ่งหนึ่ง และเส้นเกลียวอีกครึ่งหนึ่ง

เมื่อสัญลักษณ์ก่อตัวเสร็จสมบูรณ์ แสงสว่างเริ่มจางลงจนกระทั่งกลายสีเดียวกับสภาพแวดล้อม

วินาทีถัดมา เสียงของไคลน์ดังมาจากสัญลักษณ์ตัวแทนเดอะฟูล

“เทพแห่งตะเกียง ข้าต้องการทำข้อตกลง”

ร่างสีทองซีดอันพร่ามัวระเบิดเสียงหัวเราะทันที

“ฮะฮะ! ข้าบอกแล้วว่าเจ้าจะต้องยอมรับในสักวัน”

หลังจากหัวเราะ เทพแห่งตะเกียงสงบลงและกล่าว

“ข้ากำลังสงสัยอยู่เชียว ว่าเจ้าของคนใหม่ของปราสาทต้นกำเนิด ไม่น่าจะคลุ้มคลั่งได้ง่ายนัก”

“นี่คือการเตรียมการสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด” เสียงจากสัญลักษณ์เดอะฟูลมิได้เผยท่าทีร้อนรน

เทพแห่งตะเกียงหัวเราะแห้ง

“เจ้าไม่กลัวข้าเพิ่มเงื่อนไขหรือ”

ไคลน์ตอบเสียงเรียบ

“สำหรับข้า นี่เป็นหนึ่งในทางรอด แต่สำหรับเจ้า นี่อาจเป็นโอกาสเดียวในรอบหลายพันปี”

ร่างของเทพแห่งตะเกียงไหววูบประหนึ่งถูกลมพัด จากนั้น มันกล่าวด้วยเสียงสง่างาม

“เงื่อนไขของข้ายังเหมือนกับคราวก่อน ขอเพียงเจ้าคลายผนึกและปล่อยข้าเป็นอิสระ ข้าสัญญาว่าจะกลับไปยังอวกาศพร้อมกับสิ่งที่เป็นของตัวเองเท่านั้น ที่เหลือเป็นของเจ้า และยังจะช่วยเติมเต็มความปรารถนาอีกสามข้อ… แต่ดูจากสถานการณ์ ข้าคงต้องจ่ายล่วงหน้าสินะ”

เสียงไคลน์ดังมาจากสัญลักษณ์เดอะฟูลอีกครั้ง

“คำมั่นสัญญาที่ข้าจะรับปากก็คือ จะทำการส่งตะเกียงวิเศษประทานพรไปยังอวกาศก่อนสิ้นปี 1368 ของยุคสมัยนี้ ส่วนวิธีจัดการปัญหาหลังจากนั้น เจ้าต้องรับผิดชอบตัวเอง ในทำนองเดียวกัน ความปรารถนาของข้าก็มิได้ซับซ้อน และยังต้องการขอพรแค่สองข้อ… ทั้งหมดคือสิ่งที่ข้าจะมอบให้ จะตกลงหรือไม่ เจ้าเลือกได้เลย”

1368 คือปีที่บาเรียของมหาต้นกำเนิดจะเลือนหายไป สำหรับคนทั่วไปจะเข้าใจว่าเป็นคำพยากรณ์วันสิ้นโลก

ร่างสีทองซีดอันพร่ามัวและบิดเบี้ยว เงียบงันสักพักก่อนจะพูด

“หากข้าไม่หลุดจากผนึก ความปรารถนาของเจ้าจะถูกจำกัดขอบเขต หากไม่แล้ว ผลลัพธ์จะเกิดขึ้นในทิศทางที่น่าสยดสยองและบิดเบี้ยว”

เสียงของไคลน์ดังออกจากสัญลักษณ์เดอะฟูล

“ความปรารถนาทั้งสองข้อของข้า เจ้าสามารถเติมเต็มได้ในสภาพปัจจุบัน”

เทพแห่งตะเกียงเงียบไปอีกครั้ง คราวนี้ไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน

บายัม ภายในป่าธรรมชาติ

เวอร์ดูซึ่งจิตใจกำลังเร่าร้อนจากทั้งภายในและภายนอก ไม่มัวปล่อยเวลาให้สูญเปล่า รีบปรับปรุงแท่นบูชา สลักสัญลักษณ์ เครื่องหมาย และลวดลายที่ถูกต้องลงไปตามคำแนะนำของมหาเทพแห่งสนามรบ

มันเป็นกังวลเล็กน้อยว่าสัตว์ประหลาดระดับครึ่งเทพทั้งสามจะตื่นขึ้นกะทันหัน แต่จนกระทั่งเตรียมตัวเสร็จ เหยื่อสังเวยก็ยังคงอยู่ในสภาพไม่ได้สติ มิอาจขัดขืนได้ด้วยประการทั้งปวง

หลังจากวางก้อนเนื้อที่มีหนวดรยางค์กำลังดีดดิ้น นกดวงดาวหน้าตาประหลาด และอีกาสีขาวขอบตาดำ ลงบนตำแหน่งที่ถูกต้อง เวอร์ดูจ้องมองเทียนไขเพียงเล่มเดียวบนแท่นบูชา ก่อนจะยกมือจุดไฟ

จากนั้น มันถอยหลังกลับสองสามก้าว ท่องเป็นภาษาคนยักษ์เสียงขรึม

“มหาประตูแห่งหมื่นประตู”

“ผู้นำทางแห่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว”

“กุญแจแห่งโลกเร้นลับทั้งปวง”

“ข้าขอให้ท่านตอบสนอง ขอให้ท่านเสด็จเยือนลงมายังโลกใบนี้…”

ยังไม่ทันจะกล่าวจบ เสียงระเบิดขึ้นบนแท่นบูชาสามครั้ง

สัตว์ประหลาดระดับครึ่งเทพทั้งสามตัวซึ่งเกี่ยวข้องกับโอสถจอมเวทพิสดาร จอมเวทลึกลับ และปรสิต คล้ายกับถูกบีบด้วยมือล่องหน พวกมันพยายามขัดขืนเล็กน้อยก่อนจะระเบิดคาที่ กลายเป็นกลุ่มก้อนลูกบอลแสงหลากสีสัน

คล้ายกับเลือดเนื้อเหล่านี้มีชีวิต พวกมันเรียงตัวกันกลางอากาศราวกับถูกใครบางคนชี้นำ วาดเป็นสัญลักษณ์อันชั่วร้ายและโสมม

สัญลักษณ์จำนวนมากผสานเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นบานประตูเนื้อเลือดซึ่งยังคงดีดดิ้น สูงกว่าห้าเมตร

ประตูบานดังกล่าวตั้งเด่นตระหง่านบนแท่นบูชา ด้านในมืดสนิท บอกไม่ได้ว่าปลายทางคือที่ใด

เปลวไฟจากเทียนไฟตัวแทนมิสเตอร์ประตูสว่างขึ้นกะทันหัน สาดแสงลงบนประตูเลือดเนื้อและส่องเข้าไปในความมืด

ภายในความมืดมิด แสงทรงกลมจุดหนึ่งกำลังควบแน่นไปด้วยแสงดวงดาว เมื่อเพ่งมองจะเห็นคล้ายกับแมลงกำลังขดตัว

ลูกบอลแสงดังกล่าวขยายขนาดทันที ก่อตัวเป็นท่อนแขนขนาดใหญ่ พุ่งผ่านประตูเลือดเนื้อมายังโลกความจริง

ท่อนแขนซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของมนุษย์ วางลงบนแท่นบูชาพร้อมกับกวัดแกว่งอย่างบ้าคลั่ง ส่งผลให้ประตูเลือดเนื้อ ผืนป่าโดยรอบ และเกาะทั้งเกาะเกิดการสั่นไหวรุนแรง

เวอร์ดูเฝ้ามองฉากตรงหน้าด้วยความปลื้มปีติ แต่ทันใดนั้น ทัศนวิสัยของมันพร่ามัวลงครึ่งหนึ่ง

แปะ!

มีบางสิ่งหลุดจากใบหน้าของมันและตกลงบนพื้นหญ้า

เวอร์ดูก้มศีรษะลงตามสัญชาตญาณ และพบลูกตาซึ่งมีเส้นเลือดปูดโปนกลิ้งไปมา

แปะ! แปะ! แปะ! จมูก หู ดวงตาที่เหลือ รวมถึงกล้ามเนื้อบนใบหน้าของมัน ทยอยหลุดร่วงทีละชิ้น แทนที่ด้วยแสงสว่างสว่างไสว

ตุ้บ!

ร่างของมันทรุดลงในสภาพชุ่มเลือด

ทันใดนั้น ท่อนแขนที่ยื่นออกจากประตู พยายามดึงร่างด้านในตามออกมา

บึ้ม!

ท่ามกลางความมืดด้านหลังประตู สายฟ้าหนาทึบก่อตัวเป็นพายุและฟาดผ่าลงมา แต่ก็ถูกคลื่นสีเลือดกลืนกิน

ในที่สุด ร่างขนาดมหึมาซึ่งประกอบจาก ‘ลูกบอลแสง’ ย่างกรายผ่านประตูเลือดเนื้อ

วินาทีถัดมา ลูกบอสแสงเหล่านั้นทรุดตัวลงและซ้อนทับกัน คล้ายกับพวกมันเตรียมจัดเรียงโครงสร้างร่างกายใหม่ ในเวลาเดียวกัน ช่องว่างสีดำคล้ายห้วงมิติทยอยปรากฏขึ้นในผืนป่าใกล้เคียง

ช่องว่างดังกล่าวกลืนกินบางส่วนของต้นไม้ เปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นรูปร่างประหลาด

ในเวลาเดียวกัน พายุเฮอร์ริเคนไม่ทราบแหล่งที่มาได้พัดออกจากช่องว่างสีดำ พวกมันอาละวาดไปทุกทิศทุกทาง ส่งผลให้เกาะภูเขาครามซึ่งเป็นสถานที่ตั้งบายัม เผชิญแรงสั่นสะเทือนหนักหน่วงราวกับกำลังจะจมลง

ภายในมหาวิหารคลื่นสมุทร อัลเจอร์·วิลสันซึ่งกำลังตำหนิตัวเองเนื่องจากปล่อยให้เวอร์ดูเทเลพอร์ตหนีคลาดสายตาไป เริ่มได้ยินเสียง ‘ประตู’ ทยอยเปิดออกอย่างเสียงดังทีละบาน

ประตูทุกบานภายในเมืองเปิดออกพร้อมกันกะทันหัน

นี่มัน… อัลเจอร์รีบหันไปมองในทิศทางผืนป่านอกเมืองซึ่งน่าจะเป็นต้นเหตุความผิดปรกติ

โครม!

ในเมืองเงินพิสุทธิ์ใหม่ ทันทีที่ประตูเปิดออก เดอร์ริคซึ่งตื่นตัวมาได้สักพักแล้วจากแผ่นดินไหว เริ่มขมวดคิ้ว

โครม! โครม! โครม!

ในกรุงเบ็คลันด์ ทรีอาร์ นักบุญมิลลอม และเมืองอื่นๆ ทุกสิ่งที่ถูกจำแนกให้เป็นประตูล้วนเปิดออกทั้งหมด

เหนือหมอกสีเทา ภายในวังโบราณซึ่งพังไปกว่าครึ่ง วังวนหนอนสีใสที่คลุ้มคลั่ง พยายามโจมตีใส่ร่างสีทองและสัญลักษณ์เดอะฟูลตามสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น

ผ่านไปเกือบหนึ่งนาที เทพแห่งตะเกียงยิ้มมุมปากพลางกล่าว

“เจ้าไม่ใช่เขาจริงๆ ไม่อย่างนั้น ข้าคงสามารถบิดเบือนการรับปากของเจ้า และคลายผนึกให้ตัวเองสำเร็จ”

“ต้องบิดเบือนคำพูดเจ้าของเดิมเท่านั้น พลังจึงจะแสดงผล? นั่นคือวิธีที่เจ้าใช้จำแนกในคราวก่อน จนมั่นใจว่าข้าไม่ใช่ราชันเร้นลับใช่ไหม?” เสียงไคลน์ดังมาจากสัญลักษณ์เดอะฟูล

เทพแห่งตะเกียงพ่นลมหายใจ

“ข้ามีอย่างน้อยสิบวิธีในการพิสูจน์”

โดยไม่รอให้ไคลน์ตอบ ร่างสีทองซีดกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะคงสภาพนี้ได้ไม่นานสินะ… ก็ได้ เป็นอันตกลง หลังจากข้าเติมเต็มความปรารถนาให้เจ้าสองข้อ เจ้าจะต้องโยนตะเกียงวิเศษประทานพร ออกไปนอกอวกาศก่อนสิ้นสุดปี 1368 ของยุคสมัยนี้”

เสียงของเทพแห่งตะเกียงทวีความเคร่งขรึม ประหนึ่งกำลังประกาศกฎหมาย

ในวินาทีนี้ คล้ายกับมันกำลังสร้างกฎบางอย่างขึ้นตามคำมั่นสัญญา และไม่ต้องกังวลว่าไคลน์จะคืนคำในอนาคต

“หากเจ้าทำตามที่รับปากไม่ได้ ต่อให้เป็นราชันเร้นลับ เจ้าก็จะร่วงหล่นและแตกสลาย” เทพแห่งตะเกียงตักเตือน จากนั้นก็ถาม “จงบอกความปรารถนาทั้งสองข้อมา และอย่าลืมว่า ห้ามเกี่ยวข้องกับตะกอนพลังลำดับสูง ห้ามขอในสิ่งที่เกินกว่าพลังปัจจุบันของข้า ไม่อย่างนั้น ความปรารถนาจะประสบผลในทิศทางที่บิดเบี้ยว นี่คือกฎที่ถูกตั้งขึ้นแล้ว แม้แต่ข้าเองก็ฝ่าฝืนไม่ได้”

ภายในสัญลักษณ์เดอะฟูล เสียงของไคลน์ดังอย่างเยือกเย็น

“ความปรารถนาแรก: จงนำความปรารถนาสองข้อแรกที่แบร์นาแดต·กุสตาฟเคยขอไว้กับเจ้า มานับเป็นจำนวนครั้งของข้า… เรื่องนี้น่าจะง่ายมากสำหรับเจ้าใช่ไหม”

เทพแห่งตะเกียงยิ้มทันที

“นึกแล้วเชียว เจ้าคิดจะใช้กฎของข้าที่ระบุว่า เมื่อขอพรข้อที่สาม ผลลัพธ์จะบิดเบี้ยวและเลวร้ายเหนือพรรณนา เพื่อช่วยให้ตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบากสินะ… ไม่เลว นั่นเป็นอำนาจที่แฝงมากับระดับตัวตนของข้า มันสามารถทำให้เจ้าได้ตายอย่างเจ็บปวดสมใจ”

เสียงของไคลน์ดังขึ้นอีกครั้ง

“ความปรารถนาที่สอง: จงทำให้ยูโทเปียของข้า ถือกำเนิดขึ้นในตำแหน่งที่สอดคล้องกันบนโลกวิญญาณ… คำขอนี้ไม่ใช่การเลื่อนลำดับโดยตรง และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตะกอนพลังลำดับสูง เจ้าทำได้แน่”

ร่างสีทองของเทพแห่งตะเกียงผงะเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงแล้ว”

ภายในวิหารโครงกระดูก

ไคลน์จับไม้กางเขนเปื้อนเลือดบนหน้าอก ราวกับกำลังครุ่นคิดว่าจะนำมันออกอย่างไร

ระหว่างนั้น ชายหนุ่มถามอาดัมอย่างเป็นกันเอง

“เจ้าไม่พยายามเป็นเทพแท้จริงในยุคสมัยที่สี่ เพราะยังไม่ได้ครอบครอง 0-08 ใช่ไหม”

“ก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่านั้น ในยุคสมัยดังกล่าวยังมีอันตรายซ่อนเร้นที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขมากมาย” อาดัมจ้องไม้กางเขนยักษ์ตรงหน้าด้วยสายตาอบอุ่น

ไคลน์หันไปมองด้านข้าง จ้องหน้านักสร้างฝันพร้อมกับกล่าว

“ตัวอย่างเช่น ในสมัยนั้น ตราประทับทางจิตของมหาต้นกำเนิดยังทรงพลังมากเกินไป…”

ยังไม่ทันกล่าวจบ เลือดสีแดงสดจำนวนมากพรั่งพรูออกจากศีรษะของไคลน์

แต่มุมปากของมันกำลังยิ้ม