ราชันเร้นลับ 1350 : ความปรารถนา

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

อาดัมหันมาจ้องไคลน์ กระจกตาสีอ่อนกำลังสะท้อนใบหน้าชุ่มเลือดสีแดงสด

สีหน้ายังคงเรียบเฉยเหมือนเคย ดวงตาเจือความส่งสารเล็กน้อย คล้ายกับพระเจ้าที่กำลังเฝ้ามองมนุษย์โลก

ไคลน์จ้องมันด้วยรอยยิ้ม แต่ศีรษะเริ่มปริแตก

พัฒนาการดังกล่าวเกิดขึ้นกับทั้งร่างกาย ส่งผลให้ชายหนุ่มทรุดตัวลงบนบ่อเลือด

ในบ่อเลือดมีเสื้อโคต ข้าวของเครื่องใช้ ไม้ค้ำ และกระจกโบราณกำลังนอนอย่างสงบ

ในวิหารโครงกระดูก บนอาณาจักรเทพของนักสร้างฝันอาดัม ไคลน์เสียชีวิตในลักษณะแปลกประหลาด

อาดัมซึ่งแต่งกายในชุดคลุมสีขาวเรียบง่าย เฝ้ามองฉากตรงหน้าด้วยสายตาอ่อนโยนและสงบนิ่ง ไม่แน่ใจว่ามันคาดเดาไว้แล้ว หรือพยายามเก็บซ่อนสีหน้ากันแน่

เหนือสายหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ

วังวนหนอนวิญญาณที่คลุ้มคลั่ง หยุดเคลื่อนไหวและแตกสลายกลายเป็นหนอนวิญญาณไร้ชีวิตจำนวนมาก

วินาทีถัดมา หนอนวิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นภาพมายา ฉาบด้วยสีเทา ราวกับผสานเข้ากับสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์

จากนั้น พวกมันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ส่องประกายระยิบระยับพลางดีดดิ้นเข้าหากัน

ภายในไม่กี่วินาที กลุ่มก้อนหนอนวิญญาณจัดระเบียบใหม่กลายเป็นร่างมนุษย์ ไม่ใช่ใครนอกจากไคลน์·โมเร็ตติ เจ้าของผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล และชุดสูตสุภาพ

เมื่อเจ้าของปราสาทต้นกำเนิดกลับมา โต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณและเก้าอี้พนักสูงยี่สิบสองตัวซึ่งถูกทำลายไป ฟื้นฟูกลับเป็นปรกติอย่างรวดเร็ว

ไคลน์หยิบไม้เท้าดวงดาวซึ่งเลี่ยมอัญมณีมากมาย เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้เดอะฟูล

ห้วงมิติเหนือสายหมอกสีเทาพลันสั่นไหว พลังอันยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามแผ่พุ่งไปทุกทิศ

ไคลน์พยักหน้าให้กับร่างสีทองซึ่งยังคงยึดครอง ‘จุดแสงสวดวิงวอน’ ของแบร์นาแดต ตามด้วยกล่าว

“ข้ารักษาสัญญาแน่”

เทพแห่งตะเกียงยิ้ม

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะมิได้สืบทอดความเจ้าเล่ห์และไร้ยางอายมาจากเขาสินะ… ยอดเยี่ยมมาก”

ทันทีที่เสียงเลือนหาย ร่างสีทองอันพร่ามัวสลายในไปทันที ไม่ปรากฏบนจุดแสงสวดวิงวอนของแบร์นาแดตอีกต่อไป

“ทำได้ดีมาก” ไคลน์ตอบสนองต่อคำวิงวอนของราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดต พลางแบ่งหนอนวิญญาณออกจากร่าง ก้มหน้าลงเล็กน้อยและขอพรกับตัวเอง “ข้าขอกลับไปอยู่ในสภาพก่อนคืนนี้”

เมื่อร่างหลักเสียชีวิต สิ่งที่ไคลน์สูญเสียมีเพียงตะกอนพลังหลักของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ โดยเป็นการทิ้งไว้ภายในวิหารกระดูกของอาดัม และคงไม่มีทางกู้คืนกลับมาได้อีกแล้ว

แน่นอน ไคลน์ยังมีตะกอนพลังส่วนใหญ่อยู่กับหนอนวิญญาณ บ้างก็บนมิติหมอก บ้างก็หุ่นเชิดในยูโทเปีย สำหรับซาราธ ตัวมันในปัจจุบันมิได้ไม่ได้ต้องการตะกอนพลังเพิ่มเติม เพราะไม่อยากสร้างภาระให้ตัวเอง มันจึงไม่ได้ใช้กฎการดึงดูดระหว่างตะกอนพลังเพื่อดูดซับตะกอนพลังของหุ่นเชิดในยูโทเปียเข้าไปในคราวเดียว แต่เลือกใช้วิธีอื่นซึ่งปลอดภัยกว่า แต่ก็ช้ากว่าพอสมควร

หลังจากสวดวิงวอนเสร็จ ไคลน์เสกม่านออกมา จากนั้นก็พาดหลังพร้อมกับดีดนิ้ว

ภายในกองขยะ ตะกอนพลังลำดับ9 ถึง 3 ของเส้นทางนักทำนายที่เคยสกัดออกจาก ‘ม่าน’ ลอยขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจุดแสงและแทรกซึมเข้าไปในร่างกายไคลน์

เพียงพริบตา สถานะของชายหนุ่มได้กลับไปเป็นช่วงที่เกือบจะย่อยโอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์เสร็จสมบูรณ์ หากไม่นับเรื่องที่สมรรถภาพร่างกายด้อยลงเล็กน้อย ด้านอื่นแทบไม่แตกต่างจากตอนที่ถูกบุกโจมตี

ถัดมา ไคลน์หันเหความสนใจไปยังยูโทเปียซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับตัวเองอย่างใกล้ชิด

ภายในยูโทเปีย ซาราธเจ้าของหนวดเคราสีขาว สวมชุดคลุมและผ้าคลุมหัวสีดำ กำลังยืนบนหลังคาวิหารพระแม่อาเรียนน่า รอบกายรายล้อมไปด้วยภาพฉายของโรซายล์·กุสตาฟ วิลเลียม·ออกัสตัส และเทพหายนะเซียอา รอคอยให้ประตูวิหารโครงกระดูกเปิดออกโดยมีเกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินออกมา

ภายใต้การควบคุมของซาราธ หุ่นเชิดบางตัวจัดการกับหุ่นเชิดยูโทเปียจำนวนหนึ่งซึ่งกลายพันธุ์ ปล่อยหุ่นเชิดที่ยังปรกติเอาไว้

ทันใดนั้นเอง ด้ายวิญญาณของหุ่นเชิดที่ยืนแน่นิ่งมานาน เริ่มลอยขึ้นสูงไปบนฟ้าราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด

พวกมันมีชีวิตกลับมาทันที ทุกตัวหันมาจ้องซาราธและภาพฉายทางประวัติศาสตร์

ดวงตากำลังส่องประกายภายในความมืดมิด

ในเวลาเดียวกัน เงาขนาดมหึมาตกลงมาจากหมอกสีเทาอ่อนที่ปกคลุมทั่วทั้งยูโทเปีย

ซาราธและภาพฉายเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ พวกมันพบว่าท้องฟ้ากำลังถูกปกคลุมไปด้วยหมอกจาง

“ห้ามใช้พลังผนึกที่นี่” วินาทีถัดมา ภาพฉายของวิลเลียม·ออกัสตัสยกดาบยาวในมือขวาขึ้น ประกาศด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

เงาซึ่งปกคลุมยูโทเปียเริ่มสั่นไหว เกิดรอยแยกเป็นช่องว่างมากมายจนมิอาจตัดขาดเมืองหุ่นเชิดแห่งนี้กับภายนอกได้โดยสมบูรณ์

ภาพฉายของโรซายล์·กุสตาฟแปรเปลี่ยนเป็นกระแสข้อมูลจำนวนมาก พุ่งไปทางหุ่นเชิดของไคลน์ที่ยังเหลือ เพื่อขัดขวางพฤติกรรมของพวกมันจนชะงักงัน ในเวลาเดียวกัน ภาพฉายของเทพหายนะเซียอา ทำการโจมตีโดมเงาซึ่งมีลักษณะคล้ายม่านจนช่องว่างกว้างขึ้น

ถัดมา ซาราธเหยียดมือออก ทำการ ‘ปลูกถ่าย’ ความว่างเปล่าตรงหน้าเข้ากับเกาะแห่งหนึ่งบนทะเลคลั่งซึ่งมันทำเครื่องหมายไว้ล่วงหน้า

ตราบใดที่มันก้าวเท้า ซาราธก็จะหลบหนีออกจากยูโทเปียได้ทันที

ทันใดนั้นเอง หุ่นเชิดของไคลน์ฉวยโอกาสก่อนที่กระแสข้อมูลจะหลั่งไหลเข้าสู่ร่างวิญญาณ ทำการอ้าปากโดยพร้อมเพรียงและตะโกนชื่อหนึ่งเป็นภาษาคนยักษ์

“เลโอเดโร!”

หากอยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้ง ไคลน์สามารถกระตุ้นให้ออร่าที่หลงเหลือของทรราชระดมพลังทวยเทพได้เพียงแค่เอ่ยชื่อ แต่นั่นใช้ไม่ได้กับโลกภายนอก เทพวายุสลาตันจะลงโทษคนที่บังอาจเรียกชื่อหรือไม่ นั่นขึ้นอยู่กับดุลพินิจ

การที่ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดจะโกนพระนามอันทรงเกียรตินี้โดยพร้อมเพรียง จุดประสงค์เพียงข้อเดียวก็คือ ต้องการเรียกให้วายุสลาตันชายตามองมายังเมืองยูโทเปีย

ในฐานะหนึ่งในห้าเส้นทางของ ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง’ วายุสลาตันย่อมเป็นหนึ่งในเทพแท้จริงที่ไม่ต้องการให้แผนของอาดัมประสบความสำเร็จ – หากอามุนด์กลายเป็นราชันเร้นลับ ราชันกาลเวลาและห้วงมิติ ทรราชรายนี้จะตกที่นั่งลำบากทันที ต้องคอยกังวลทุกลมหายใจว่า บุตรชายแห่งพระผู้สร้างจะยื่นมือช่วยเหลืออาดัมให้เถลิงบัลลังก์ ‘พระเจ้า’ หรือ ‘เจ้าแห่งโลกดารา’

ดังนั้น เมื่อเทียบกับเทพธิดารัตติกาลและพระแม่ธรณี วายุสลาตัน สุริยันเจิดจรัส และปัญญาความรู้อาจเป็นตัวตนที่ไม่อยากเห็นอาดัมกับอามุนด์ประสบความสำเร็จมากที่สุด

ถ้ายังมีโอกาส ไคลน์อาจพิจารณาให้หุ่นเชิดของตนตะโกนว่า ‘โอซาคุส’ และ ‘เฮราเบอร์เก้น’ !

ทันใดนั้น ท้องฟ้าและบรรยากาศรอบยูโทเปียพลันหมองหม่น คล้ายกับโทสะอันเดือดดาลที่ยากจะอธิบาย กำลังแฝงตัวอยู่ในทุกมวลอากาศ

ก่อนที่ซาราธจะได้ ‘ก้าว’ สายฟ้าหลากสีสันพลันฟาดผ่าลงมาจากผืนนภายามราตรี ประหนึ่งท้องฟ้ากำลังแยกเขี้ยวกางเล็บพร้อมคำราม ตวัดข่วนทุกสิ่งที่ขวางหน้าตามอำเภอใจ

เปรี้ยง! เปรี้ยง! ยังไม่ทันที่เสียงคำรามแรกจะดัง สายฟ้ากระหน่ำสาดลงมาจากเบื้องบนประหนึ่งห่าฝน

หมู่เกาะรอสต์ เมืองเงินพิสุทธิ์ใหม่ บนยอดหอคอยทรงกลม

เดอร์ริค·เบเกอร์ซึ่งกำลังมองหาที่มาของแผ่นดินไหว พลันได้ยินเสียงประตูและหน้าต่างเปิดออกพร้อมกัน และไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสอง แต่มากกว่าหลายพัน

แม้เหตุการณ์นี้จะไม่นำพาอันตรายมาสู่ แต่ความพิสดารของมันก็ทำให้เดอร์ริคเพิ่มความระวัง

เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเข้าพบเจ้าเมืองคนปัจจุบัน ฮอยต์·เฌอมงต์ และเสนอให้ใช้งานสมบัติปิดผนึกระดับเทพ ‘หลักฐานแห่งความรุ่งโรจน์’ เพื่อปกป้องเมืองเงินพิสุทธิ์ใหม่และเมืองจันทราเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยพิจารณาการสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลตามระดับอันตราย

ขณะเดอร์ริคเดินมาที่ประตู ฮอยต์·เฌอมงต์ซึ่งมีรอยสักสีน้ำเงินเข้มบนศีรษะ เดินออกจากทางเดินพร้อมกับกล่าวเสียงขรึม

“ผนึกใต้ดินทำงานล้มเหลว”

ผนึกล้มเหลว… เดอร์ริคเชื่อโดยสัญชาตญาณว่า เหตุการณ์นี้ต้องเกี่ยวกับความพิสดารบนเกาะภูเขาครามแน่

เมื่อเทียบกับเรื่องที่ประตูและหน้าต่างเปิดเอง ความล้มเหลวของผนึกนับว่าอันตรายยิ่งกว่าหลายร้อยเท่า!

“รีบใช้หลักฐานแห่งความรุ่งโรจน์เถอะครับ!” เดอร์ริคกล่าวโดยไม่ลังเล

นี่คือสมบัติปิดผนึกระดับเทพที่สามารถใช้งานได้ในระยะเวลาสั้นๆ เคยช่วยให้เมืองเงินพิสุทธิ์รอดพ้นจากภัยพิบัติในดินแดนเทพทอดทิ้งมาแล้วหลายครั้ง เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เมืองเงินพิสุทธิ์ดำรงอยู่จวบจนปัจจุบัน

เดอร์ริคมีเป้าหมายชัดเจนว่าตอนนี้ควรรีบทำสิ่งใด นั่นคือการใช้หลักฐานแห่งความรุ่งโรจน์เพื่อสยบสมบัติปิดผนึกระดับเทพชิ้นอื่น – ‘พระกรุณาแห่งธรณี’ ไม่อย่างนั้นอาจส่งผลเสียต่อบริเวณโดยรอบเป็นวงกว้าง

ฮอยต์·เฌอมงต์ไม่กล่าวคำใด คิดไวทำไว รีบพาเดอร์ริคเดินลงใต้ดินท่ามกลางแสงไฟ

หลักฐานแห่งความรุ่งโรจน์จำเป็นต้องเปิดใช้งานโดยนักบุญสองคนขึ้นไป นั่นคือเป็นเหตุผลที่ฮอยต์·เฌอมงต์ไม่รีบเปิดใช้งานด้วยตัวเอง แต่แวะมาหาเดอร์ริคก่อน จริงอยู่ที่มันมีเทคนิคเล็กน้อยในการเปิดใช้งานตามลำพัง แต่ก็ต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าและใช้สมบัติปิดผนึกบางชนิดเพื่อประทับตราลงบนร่างกาย

บายัม มหาวิหารคลื่นสมุทร

แสงสายฟ้าสว่างวาบเข้ามาในห้องอัลเจอร์·วิลสัน ตามด้วยเสียงอันร้อนรน

“ท่านคาร์ดินัล! ผนึกใต้ดินเกือบทั้งหมดใช้การไม่ได้! มีสมบัติเพียงบางชิ้นเท่านั้นที่ยังถูกผนึกเนื่องจากผลของสมบัติชิ้นอื่น!”

อัลเจอร์เลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อผนวกกับเข้ากับเหตุการณ์ที่ประตูและหน้าต่างในเมืองบายัมเปิดเอง มันตระหนักถึงบางสิ่งทันที

อัลเจอร์กล่าวกับความว่างเปล่า

“จับทีมสามคนทันที รีบลำเลียงสมบัติปิดผนึกระดับ 2 และ 3 ที่มีความอันตรายต่ำออกจากใต้ดิน พยายามหลีกเลี่ยงชิ้นที่มีสัญญาณชีพเพื่อป้องกันปฏิกิริยาลูกโซ่”

ด้วยเหตุนี้ ห้องใต้ดินจะกลายเป็นพื้นที่ปลอดคน ส่งผลให้สมบัติปิดผนึกแสนอันตราย จะไม่สร้างโศกนาฏกรรมนองเลือดไปได้สักพัก

เมื่อเวลาผ่านไป หลังจากผนึกกลับมาทำงานตามปรกติ เหล่าทูตพิพากษาจะมีเวลาผนึกสมบัติอันตรายกลับเข้าไปใหม่

นั่นคือในกรณีที่ว่า สมบัติปิดผนึกระดับ 1 ทั้งสามชิ้นไม่ได้เข้าสู่ภาวะอาละวาด

หากเกิดข้อผิดพลาดกับพวกมัน ผลกระทบด้านลบจะแพร่กระจายไปทั่วบายัมในเวลาอันสั้น

ภายใต้สถานการณ์ที่ผนึกใช้การไม่ได้ คงเป็นการยากที่จะไม่เกิดปัญหาขึ้น

ความคิดแรกในหัวอัลเจอร์ก็คือ รีบนำสมบัติปิดผนึกที่แสดงผลเป็นวงกว้างออกไปก่อน ใช้พลังของตนเพื่อสยบอิทธิพลของมันชั่วคราว จากนั้นก็บินสูงเหนือทะเล ห่างออกไปจากเมืองบายัม

สำหรับมัน การทำแบบนี้จะไม่สร้างอันตรายมากนัก กายาของครึ่งเทพเส้นทางลูกเรือมีความทนทานพอสมควร แต่สิ่งที่ทำให้อัลเจอร์ยังคงลังเลก็คือ สมบัติปิดผนึกระดับ 1 อีกสองชิ้นที่เหลือ อาจสร้างความเสียหายแก่บายัมได้มหาศาลเช่นกัน

อย่างน้อย เราก็พยายามเต็มที่แล้ว… อัลเจอร์มองว่าวิธีนี้ปลอดภัยที่สุด และตนสามารถรับมือกับการสอบสวนภายหลังจากเบื้องบนของโบสถ์วายุสลาตันได้ จึงดูเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลอย่างมาก

มันมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว บริเวณดังกล่าวเป็นตำแหน่งของโรงเรียนและเรือนทำงานหลายแห่งใกล้กับวิหาร

อัลเจอร์ถอนสายตากลับ เงียบงันสองสามวินาที ถอนหายใจและกล่าวกับอากาศ

“ที่เหลือผมจัดการเอง”

คำพูดของมันกลายเป็นคลื่นกระแสไฟฟ้า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีเงินและพุ่งลงไปยังใต้ดิน