ราชันเร้นลับ 1351 : ฉวยโอกาส

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

เมื่อส่งข้อมูลไปยังทูตพิพากษา อัลเจอร์วางแผนอย่างรวดเร็วว่าจะทำอะไรต่อไป

มันจะสวดวิงวอนถึงวายุสลาตัน โดยหวังว่าจะได้รับพรหรือคำแนะนำจากพระองค์ จากนั้นก็รีบมุ่งหน้าไปยังใต้ดินและลองใช้พลังส่วนตัวสยบสมบัติปิดผนึกระดับ 1 ทั้งสามชิ้นด้านหลัง ‘ประตูสีคราม’

ระหว่างนั้น หากวายุสลาตันตอบสนอง หรือผนึกกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง มันก็ไม่ต้องขบคิดหาทางอื่น แต่หากทั้งสองสิ่งไม่เกิดขึ้น และอัลเจอร์พบว่าสถานการณ์ด้านหลังประตูสีครามค่อนข้างอันตราย มันจะสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล

สำหรับอัลเจอร์ หากมันพึ่งพาความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล ไม่ว่าจะคิดข้ออ้างได้ดีแค่ไหนก็คงหนีไม่พ้นถูกเบื้องบนของโบสถ์วายุสลาตันเกิดความกังขา เพราะเป็นการยากที่นักบุญลำดับ 4 จะสยบสมบัติปิดผนึกระดับ 1 สามชิ้นได้ตามลำพัง

เมื่อถึงตอนนั้น ทางเลือกเดียวของมันก็คือ รอจนกว่าผนึกจะกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง จากนั้นก็รีบหนีไปโดยยอมสละตำแหน่งพระคาร์ดินัล ยอมละทิ้งความยากลำบากที่มานะบากบั่นมาตลอดหลายปี

แต่เมื่อเทียบกับชีวิต นั่นคือราคาที่ยอมจ่ายได้

สำหรับผลลัพธ์ที่จะตามมา เช่น สูญเสียโอกาสในการขโมย ‘หนังสือแห่งภัยธรรมชาติ’ อัลเจอร์ยังไม่เป็นกังวลในตอนนี้ ยังห่างไกลจากการนำมาขบคิดให้ปวดหัว และแน่นอน ในฐานะครึ่งเทพและพระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน มันเชื่อว่าเทพวายุสลาตันคงคอยจับตามองตนอยู่ หากเกิดสละตำแหน่งและหลบหนีโดยไม่บอกกล่าว ทางรอดเดียวคือการพึ่งพาพรคุ้มครองจากสิ่งมีชีวิตระดับสูง

ในแง่นี้ มันพึ่งพาได้เพียงมิสเตอร์ฟูล

สูดลมหายใจยาว อัลเจอร์รีบท่องพระนาม

“ราชาผู้ปกครองผืนนภา มหาจักรพรรดิแห่งท้องทะเล มหาเทพแห่งพายุ ข้าวิงวอนขอความคุ้มครองจากท่าน”

สวดจบ อัลเจอร์เหยียดมือขวาเสกพายุ ร่อนลงไปยังพื้นดิน

ราวสิบวินาทีถัดมา ด้านนอกมหาวิหารคลื่นสมุทร คลื่นน้ำทะเลระลอกใหญ่พุ่งปะทะเข้ากับขอบท่าเรือจนกระเซ็นสูงเสียงฟ้า

น้ำทะเลสีครามใสโปรยปรายลงมายังเบื้องล่าง โอบกอดวิหารไว้ในลักษณะกำแพงฝน

ภายในบาเรีย สายฟ้าสีเงินสว่างปรากฏขึ้นพร้อมกับผ่าลงไปยังใต้ดิน

เปรี้ยง!

สายฟ้าที่เปรียบดังพายุฝนกระหน่ำฟาดผ่า มอบความสว่างไปทั่วยูโทเปียและกว่าครึ่งของทะเลคลั่ง

ทันใดนั้นเอง วิหารสีดำขนาดใหญ่ซึ่งมีกะโหลกฝังอยู่เป็นจำนวนมาก โผล่ขึ้นกลางอากาศ

มันโผล่ขึ้นในตำแหน่งเหนือศีรษะซาราธพอดิบพอดี คอยดูดซับสายฟ้าทั้งหมดเข้าไป ส่งผลให้อสรพิษอสนีเลื้อยคดเคี้ยวไปตามร่องกะโหลกสีซีด จนกระจกหลากสีมีแสงจ้าสะท้อนออกมาตลอดเวลา

เปรี้ยง!

ในจุดที่วิหารกระดูกมิอาจช่วยบดบัง หุ่นเชิดของซาราธและภาพฉายของเทพหายนะเซียอา รวมถึงหุ่นเชิดของไคลน์ พลันแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยท่ามกลางเสียงฟ้าร้องโหมกระหน่ำ หากไม่สลายไปในทันทีก็คงกลายเป็นเศษซากไหม้เกรียม ไม่เหลือร่องรอยใดทิ้งไว้

แม้แต่ภาพฉายของโรซายล์·กุสตาฟซึ่งอยู่ในสถานะกระแสข้อมูลก็ไม่รอดพ้น พายุสายฟ้ามีอำนาจทำลายล้างเหนือข้อมูลทุกชนิด

ซาราธฉวยโอกาสขณะนักสร้างฝันช่วยรับมือทรราช มันก้าวเท้าไปในความว่างเปล่าเบื้องหน้า

และความว่างเปล่านี้เชื่อมต่อกับเกาะอื่นบนทะเลคลั่ง เป็นการ ‘ปลูกถ่าย’ โดยอาศัยความสามารถของบริวารเร้นลับ ส่งผลให้ระยะห่างของทั้งสองตำแหน่งกลายเป็นศูนย์

ซาราธในชุดคลุมสีดำ หายตัวไปในความว่างเปล่าซึ่งฉากหลังเต็มไปด้วยสายฟ้า ทว่า ในวินาทีถัดมา มันมิได้ปรากฏตัวบนเกาะที่เคยทำเครื่องหมายไว้ หากแต่เป็นด้านบนของโรงแรมดอกไอริช

เมื่อสักครู่ ขณะซาราธกำลังตกตะลึงกับอำนาจของพายุ ไคลน์บนปราสาทต้นกำเนิดฉวยโอกาสใช้ ‘ม่าน’ ที่คลุมร่างกายตน ระดมพลังบนห้วงมิติเหนือสายหมอก แอบบังคับ ‘ปลูกถ่าย’ ความว่างเปล่าเบื้องหน้าซาราธเข้ากับโรงแรมดอกไอริช

นี่อำนาจของตัวตนระดับราชาเทวทูต ที่มีต่อลำดับ 1 ในเส้นทางเดียวกัน

เปรี้ยง!

เสียงฟ้าร้องซึ่งราวกับไม่มีวันจบสิ้น ยังคงบรรเลงอย่างต่อเนื่องเป็นฉากหลัง ในเวลาเดียวกัน สายฟ้าเส้นหนึ่งฟาดผ่าลงมายังซาราธ เจ้าของเครายาวสีขาวบนใบหน้า

ดวงตาสีเข้มของซาราธมิได้แปรเปลี่ยน ร่างของมันเลือนหายไปทันทีท่ามกลางอำนาจของสายฟ้า

นั่นเป็นเพียงภาพฉายทางประวัติศาสตร์

ร่างจริงของมันซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่งในสายหมอกประวัติศาสตร์

ไคลน์บนเก้าอี้เดอะฟูล เบือนสายตาลงไปยังสายหมอกสีเทาอ่อนด้านล่าง กวาดตาไปรอบๆ จุดแสงจำนวนมาก

ชายหนุ่มยังหาซาราธไม่พบ เนื่องจากอีกฝ่ายคงซ่อนตัวอยู่ในชิ้นส่วนลับซึ่งมีเพียงมัน หรือไม่กี่คนบนโลกที่ทราบประวัติศาสตร์นี้ อย่างไรก็ดี ในฐานะเจ้าของปราสาทต้นกำเนิดซึ่งมีระดับทัดเทียมราชาเทวทูต ไคลน์ไม่จำเป็นต้องอดทนรอให้อีกฝ่ายออกมาเอง ตัวมันก็มีพลังพอที่จะกระทำในหลายสิ่ง

วินาทีถัดมา ไคลน์เปิดกล่อง อัญเชิญไพ่เดอะฟูลและนำมาสอดไว้ในร่างกาย

เพียงพริบตา ชายหนุ่มกลายเป็น ‘เดอะฟูล’ ผู้แต่งกายในเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด หมวกหรูหรา มอบบรรยากาศน่าสะพรึงแต่ก็ชวนให้ขบขันในเวลาเดียวกัน พร้อมกันนั้น ปราสาทต้นกำเนิดเกิดการสั่นสะเทือนแผ่วเบา

กึก!

เดอะฟูลไคลน์ใช้ปลายไม้เท้าดวงดาวในมือขวา เคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ

บนโลกแห่งความจริง สายหมอกสีเทาปรากฏกายเด่นตระหง่านบนท้องฟ้า ด้านบนมีวังโบราณโอ่อ่า

ภายในวังโบราณอันแสนสง่างาม แสงประหลาดซึ่งก่อตัวจากลูกบอลแสงจำนวนมาก ถูกวาดขึ้นกลางอากาศในทันที ตามด้วยแผ่แรงดึงดูดอันน่าสะพรึงออกไปเป็นวงกว้าง

สายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ทั้งหมดพลันเดือดพล่าน ทันใดนั้น ในจุดที่ไคลน์ยังไม่มีความรู้ ร่างของซาราธปรากฏขึ้นพร้อมกับถูกดึงดูดขึ้นมายังความสูงอันไร้ขอบเขตโดยมีอาจขัดขืน

กฎการดึงดูดระหว่างตะกอนพลัง!

อาศัยความช่วยเหลือจากปราสาทต้นกำเนิด ไคลน์ทำการฝังกฎแรงดึงดูดระหว่างตะกอนพลังลงในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์!

ทันใดนั้นเอง ร่างของซาราธในชุดคลุมสีดำ พลันหดตัวลงและกลายเป็นเพียงกระดาษสีซีด

ร่างของมันหายตัวไปโผล่บนเกาะแห่งอื่นในทะเลคลั่ง เป็นการใช้พลัง ‘ปลูกถ่าย’ ของบริวารเร้นลับเพื่อเชื่อมต่อการใช้งานกระดาษคนตัวแทนเข้ากับตำแหน่งปลายทาง

ฉวยโอกาสที่กระดาษคนตัวแทนสร้างขึ้น ซาราธรีบขอพรกับตัวเอง

“ปรารถนาให้ตะกอนพลังของตัวเองสงบลงชั่วคราว”

ทันทีที่กล่าวจบและประสานมือ ความปรารถนาของมันก็เป็นจริงทันที ช่วยให้หลุดพ้นจากแรงดึงดูดของตะกอนพลังบริวารเร้นลับ ปราสาทต้นกำเนิด และไพ่เดอะฟูล

ในเวลาเดียวกัน มันก้าวถอยหลังและเหยียบลงบนก้อนหินสีขุ่น

และหินก้อนนี้เชื่อมต่อกับสถานที่แห่งหนึ่งเอาไว้ล่วงหน้า

ทันทีที่ฝ่าเท้าย่ำลงไป ร่างของซาราธก็เลือนหายทันที ไม่มีใครทราบว่าปลายทางคือที่ใด และหินก็เริ่มผุดกร่อนในพริบตา

เดอะฟูลไคลน์กวาดสายตาจากความสูงอนันต์ พยายามมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบซาราธ

ซึ่งนั่นหมายความว่า อีกฝ่ายหนีพ้นระยะการมองเห็นของตน

โดยปราศจากความลังเล ไคลน์เปลี่ยนความสนใจไปยังจุดอื่นทันที

อัญมณีหัวไม้เท้าดวงดาวสว่างขึ้น เป็นการจำลองพลังเส้นทางนักจารกรรมเพื่อหลอกลวงกฎ ไคลน์คิดจะเปลี่ยนตำแหน่งการคืนชีพของตนเป็นหุ่นเชิดตัวอื่นซึ่งไม่ได้อยู่ภายในยูโทเปีย

ก่อนหน้านี้ ชาวยูโทเปียจำนวนหนึ่งเคยออกเดินทางไปยังเมืองอื่น หรือสถานที่อื่นด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป นั่นก็เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อโลกความเป็นจริงอย่างแน่นแฟ้น ปัจจุบัน ไคลน์เลือกหุ่นเชิดที่ชื่นชอบการเดินทางและกำลังอยู่บนภูเขา

เมื่อการคืนชีพในส่วนหลังประสบความสำเร็จ ไคลน์หยิบไพ่เดอะฟูลออกจากร่าง อัญเชิญวัตถุท้องถิ่นของโลกวิญญาณเก้าชนิดซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้า จากนั้นก็นำมาห่อรวมกับ ‘ม่าน’ สีดำ

ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มใช้ไม้เท้าดวงดาวระดมพลังปราสาทต้นกำเนิดเพื่อจำลองพลังเส้นทางนักจารกรรม หลอกลวงกฎและเปลี่ยนให้ ‘ม่าน’ กับวัตถุท้องถิ่นของโลกวิญญาณเก้าชนิด กลายเป็น ‘ส่วนหนึ่ง’ ของร่างกายตน

วินาทีถัดมา แสงสว่างจำนวนมากปรากฏขึ้นรอบๆ หุ่นเชิดตัวที่กำลังปีนเขาไปได้ครึ่งทาง

หนอนวิญญาณภายในร่างหุ่นเชิดตัวดังกล่าวลอยออกมาทันที ผสานเข้ากับเศษแสง

เพียงพริบตา ชิ้นส่วนของแสงพองตัวจนกลายเป็นลูกบอลแสง จากนั้นก็ขยายออกและก่อตัวเป็นไคลน์

เมื่อร่างไคลน์ถูกวาดเสร็จสมบูรณ์ ชายหนุ่มระเบิดตัวเองต่อทันที ส่งหนอนวิญญาณจำนวนมากพุ่งไปยังทุกทิศทางรอบตัว จน ‘ม่าน’ และวัตถุท้องถิ่นของโลกวิญญาณเก้าชนิดร่วงหล่นพื้น

ถัดมา หนอนวิญญาณเสร็จสิ้นการจัดระเบียบโครงสร้างใหม่ บางส่วนเปลี่ยนเป็นหมวกทรงกึ่งสูง เสื้อกั๊ก เสื้อเชิ้ต และกางเกงขายาว

ไคลน์ไม่มัวรีรอ รีบคว้า ‘ม่าน’ และวัตถุท้องถิ่นของโลกวิญญาณขึ้นมาปรุงเป็นโอสถทันที

สำหรับชายหนุ่ม นี่คือช่วงเวลาที่สุดที่สุดในการเลื่อนเป็นบริวารเร้นลับ

ในแง่หนึ่ง พิธีกรรมของไคลน์เสร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความช่วยเหลือจากเทพแห่งตะเกียง ซึ่งผลลัพธ์ดังกล่าวมิได้คงอยู่ถาวร แต่จะค่อยๆ เลือนหายไปตามเวลา ในทางกลับกัน อาดัม ตัวการวางแผนพังพิธีกรรมเลื่อนลำดับ ปัจจุบันกำลังรับมือกับวายุสลาตันจนมิอาจละสายตามาแทรกแซง

หากดื่มโอสถเลื่อนเป็นลำดับ 1 ในเวลาอื่น ไคลน์คงเป็นกังวลว่า นักสร้างฝันอาดัม อาจฉวยโอกาสแพร่อารมณ์ด้านลบใส่ตนผ่านจิตใต้สำนึกรวมในช่วงเวลาวิกฤติ และหากเป็นเช่นนั้น ผลลัพธ์คือคลุ้มคลั่งคาที่อย่างมิอาจเลี่ยง

เหตุผลสำคัญที่มันเรียกเลโอเดโร ไม่ใช่เพื่อฆ่าซาราธ แต่เพื่อให้ช่วยสะกดเทพแท้จริงอย่างอาดัมเอาไว้!

ขณะประกอบพิธีกรรมเลื่อนเป็นบริวารเร้นลับ ไคลน์ไม่สามารถใช้พลังของปราสาทต้นกำเนิดเพื่อสร้างอาณาจักรเทพเทียม และกีดกันตัวเองออกจากโลกภายนอกได้ เพราะนั่นจะทำให้ร่างต้นถูกตัดขาดจากโลกวิญญาณ จนอิทธิพลของพิธีกรรมเมืองหุ่นเชิดกลายเป็นหมัน

ภายในเวลาไม่ถึงสิบวินาที ขวดโอสถสีดำสนิทราวกับน้ำทะเลยามค่ำคืนปรากฏขึ้นบนมือไคลน์ ขณะเดียวกัน ร่างของชายหนุ่มบนปราสาทต้นกำเนิด ทำการดีดนิ้วเพื่อสนองความปรารถนาจากจุดแสงแห่งการสวดวิงวอน และจากดวงดาวสีแดง เก็บเล็กผสมน้อยความปรารถนาจนกระทั่งโอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ถูกย่อยอย่างสมบูรณ์

ทันใดนั้น ร่างบนปราสาทต้นกำเนิดพลันเลือนหาย ช่วยให้ร่างต้นของไคลน์อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด ได้ดื่มโอสถในช่วงเวลาที่ดีที่สุด

เมื่อฟ้าร้องจนทะเลสว่างขึ้น ไคลน์ยกมือขวา นำขวดโอสถจากหุ่นเชิดมาจ่อปาก กระดกดื่มของเหลวที่เบาราวกับอากาศ