บทที่ 1178 หัวใจมนุษย์

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,178 หัวใจมนุษย์

รุ่งเช้าวันต่อมา

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

หรานจื่อชุนรัวมือทุบประตูอย่างแรง

“ตื่นขึ้นมาทำงานได้แล้ว”

บุรุษหนุ่มผู้ซื่อสัตย์คนนี้มีกิริยาดุร้ายต่อหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างยิ่ง

เพราะนับตั้งแต่ที่ ‘เจ้าเด็กหนุ่มหน้าขาว’ ปรากฏตัว เขาก็รู้สึกได้ว่าฮันลั่วเซวี่ยมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับหลินเป่ยเฉินมากเป็นพิเศษ

เดิมทีเด็กสาวผู้นี้มีกำหนดต้องแต่งงานกับเขา แต่นางก็ปฏิเสธเรื่อยมา

แต่สิ่งที่ทำให้หรานจื่อชุนรู้สึกได้ถึงวิกฤตที่แท้จริงก็คือแม้แต่ฮันหลี่กับอู๋เหว่ยผู้เป็นภรรยาก็พึงพอใจในตัวของหลินเป่ยเฉินเช่นกัน พวกเขาเยินยอหลินเป่ยเฉินด้วยความชื่นชมและดูเหมือนผู้อาวุโสทั้งสองคิดจะเปลี่ยนตัวลูกเขยในอนาคตเสียแล้ว

เจ้าใบ้คนนี้มีดีที่ตรงไหน?

หรานจื่อชุนไม่อยากยอมรับความจริง

ดังนั้น เขาจึงประพฤติตัวต่อหลินเป่ยเฉินด้วยความดุร้าย

ใช่แล้ว ในเมื่อยามราตรีเขามารบกวนหลินเป่ยเฉินไม่ได้ หรานจื่อชุนจึงเลือกที่จะมาทำลายยามเช้าอันสงบสุขของเด็กหนุ่มด้วยการมาเคาะประตูเรียกให้ไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้า เปิดประตูทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ…”

“เจ้าใบ้ตัวเหม็น”

หรานจื่อชุนโยนขวานให้เด็กหนุ่มด้วยความโกรธแค้นและออกคำสั่ง “ออกไปผ่าฟืน ก่อนโรงเตี๊ยมเปิด เจ้าต้องผ่าฟืนแห้งให้ได้สามสิบท่อนและผ่าฟืนเปียกให้ได้อีกสิบท่อน”

หลินเป่ยเฉินรับขวานมาถือไว้อย่างไม่โต้แย้ง ก่อนจะเดินออกไปกระท่อมเก็บฟืนอย่างคึกคักแจ่มใส

หลายวันที่ผ่านมานี้ เด็กหนุ่มสร้างภาพลักษณ์ให้ตนเองเป็นบุคคลจิตใจดีงาม ไม่เคยโต้แย้งกับผู้ใด บุคลิกใสซื่อบริสุทธิ์

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเป็นที่รักของฮันหลี่กับภรรยา

ให้ตายสิ

มีความสุขชะมัด

หลินเป่ยเฉินเคยผ่าฝืนมาแล้ว

สำหรับเขา เรื่องนี้ง่ายไม่ต่างจากปอกกล้วยเข้าปาก

อย่าว่าแต่ให้ใช้ขวานผ่าฟืนเลย ต่อให้ใช้สันมือเปล่า ๆ เด็กหนุ่มก็สามารถผ่าฟืนได้อย่างไม่มีข้อแตกต่าง เพราะร่างกายของเขาในขณะนี้ มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง…

“คิดไม่ถึงจริง ๆ นะว่าเด็กหนุ่มรูปงามที่สุดในแผ่นดินตงเต้า ผู้ที่ได้ครอบครองตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุน มีสถานะเป็นหัวหน้านักบวชวิหารหลวง เป็นท่านเจ้าเมืองปกครองเมืองไป๋หยุน และเป็นท่านเจ้าเมืองปกครองนครเจาฮุยอย่างเรา จะต้องมาใช้ชีวิตเป็นคนผ่าฟืนเช่นนี้… ชีวิตช่างไร้รสชาติจริง ๆ”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาขณะลงมือผ่าฟืน

สำหรับชีวิตที่ได้รับประทานอาหารรสจัดจ้านมาตลอด บางครั้งการได้รับประทานต้มจืดสักถ้วยหนึ่งก็มีความอร่อยเลิศล้ำอย่าบอกใคร

แต่หากต้องรับประทานต้มจืดทุก ๆ วัน คุณชายหลินก็คงสบถก่นด่าต่อสวรรค์แล้ว

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงฮันลั่วเซวี่ยเดินเข้ามาที่ลานหลังโรงเตี๊ยม

ตามมาด้วยเสียงการอธิบายของหรานจื่อชุน

ผัวะ!

ประตูกระท่อมเก็บฟืนเปิดผางออก

ฮันลั่วเซวี่ยเด็กสาวผู้สวมใส่กระโปรงสีดำยาวระดับเข่าและรองเท้าบูทหนังสีเหลืองรีบวิ่งเข้ามาคว้าแขนของหลินเป่ยเฉินพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่ต้องทำแล้ว ท่านยังไม่หายดี ยังจะทำงานหนักอันใดอีก? ไปเถอะ งานนี้ให้พี่จื่อชุนทำไปก็ได้…”

“อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ…”

หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งอธิบายว่าเขาไม่เป็นไร สิ่งที่เขาทำก็เพื่อประโยชน์ของโรงเตี๊ยม ฮันลั่วเซวี่ยจะไปกล่าวโทษหรานจื่อชุนได้อย่างไร?

น่ามหัศจรรย์ที่ฮันลั่วเซวี่ยเข้าใจความหมายของเขาด้วย

“ท่านไม่ต้องไปปกป้องเขา”

ฮันลั่วเซวี่ยดึงแขนหลินเป่ยเฉินออกมาจากกระท่อมเก็บฟืน ก่อนจะแย่งขวานมาโยนไปให้หรานจื่อชุนและกล่าวว่า “พี่จื่อชุน ท่านผ่าฟืนต่อไปก็แล้วกัน พี่ใบ้ยังคงร่างกายอ่อนแอ ท่านไม่ควรไปกลั่นแกล้งเขาเลย…”

“เปล่านะ ข้าไม่ได้กลั่นแกล้งเขาสักหน่อย ข้า…”

หรานจื่อชุนพยายามโต้แย้งให้แก่ตนเองอย่างดีที่สุด แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล

เนื่องจากการดำรงอยู่ของหลินเป่ยเฉิน ตัวตนของเขาจึงน่าอับอายในสายตาของผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในสายตาของทุกคน หลินเป่ยเฉินเป็นเพียงเด็กหนุ่มหน้ามนที่ไม่เคยมีปากมีเสียง ไม่ว่าถูกใช้งานให้ทำอะไรก็ไม่เคยปฏิเสธ และนั่นก็ทำให้ภาพลักษณ์ของหรานจื่อชุนดูย่ำแย่มากไปกว่าเดิม

“ไปเถอะ ท่านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า เดี๋ยวพวกเราจะต้องไปที่วิหารกันแล้ว”

ฮันลั่วเซวี่ยไม่ยอมปล่อยมือจากหลินเป่ยเฉินและดึงเข้าไปยังลานห้องพัก

หรานจื่อชุนไม่มีทางเลือกนอกจากยืนถือขวานเดินเข้าไปในกระท่อมเก็บฟืนและเริ่มต้นผ่าฟืนด้วยจิตอิจฉาริษยา เพราะเขาไม่เคยเห็นฮันลั่วเซวี่ยปกป้องเขาเช่นนี้บ้างเลย

หรานจื่อชุนมีสีหน้าเคร่งเครียด หันหน้ามองไปทางแผ่นหลังของฮันลั่วเซวี่ยกับหลินเป่ยเฉินก่อนจะพึมพำอะไรบางอย่างออกมา

นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเป่ยเฉินหันหน้ามองกลับมาพอดี

แล้วรอยยิ้มเขินอายบนใบหน้าเจ้าหนุ่มหน้าขาวก็หายวับไป ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยการแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกเย้ยหยันใส่หรานจื่อชุน…

“ลั่วเซวี่ย เจ้าดูมันสิ…”

หรานจื่อชุนพลันร้องตะโกนออกมา “เจ้าใบ้มันกำลังเยาะเย้ยข้า”

ฮันลั่วเซวี่ยหันหน้ากลับมามอง

หลินเป่ยเฉินรีบเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นเด็กหนุ่มผู้ใสซื่อบริสุทธิ์อีกครั้ง ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับด้วยความไร้เดียงสา เสแสร้งแกล้งเป็นมองด้วยความมึนงงสับสน “อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ…”

ฮันลั่วเซวี่ยจ้องมองไปที่หรานจื่อชุนด้วยแววตาขุ่นเคือง “ท่านรีบผ่าฟืนได้แล้ว”

หรานจื่อชุนพูดอะไรไม่ออก

หลังจากนั้นไม่นาน

หลินเป่ยเฉินผู้เปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าสะอาดเอี่ยมพร้อมด้วยครอบครัวของฮันลั่วเซวี่ยทั้งสามคนก็รีบออกเดินทางตรงไปยังวิหารเทพพงไพรสาขาที่ 98…

ในโรงเตี๊ยมเงียบสงัดลงทันที

ปึก!

หรานจื่อชุนเขวี้ยงขวานเข้าใส่ผนังห้องอย่างแรง

ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความรำคาญใจ

“ไม่ได้การ ข้าอุตส่าห์วางแผนมาตั้งนาน จะปล่อยให้ไอ้เด็กหน้าขาวนั่นมาทำลายทุกอย่างลงได้อย่างไร…”

ใบหน้าของชายหนุ่มแสดงให้เห็นถึงความดุร้ายอำมหิตอย่างที่ในวันเวลาปกติไม่มีทางแสดงออกมา ลักษณะท่าทีของเขาขณะนี้ ราวกับเปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน

หรานจื่อชุนเปลี่ยนเสื้อผ้าและแอบออกไปจากโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย

เขาเดินเตร่ไปตามถนนโซวหมิง สวมหมวกและคาดผ้าปิดบังใบหน้า ก่อนจะหายลับเข้าไปในตรอกที่คับแคบแห่งหนึ่ง

เมื่อเดินทะลุตรอกนั้นมาแล้ว หรานจื่อชุนก็ออกมาสู่ถนนอีกสายที่มีผู้คนพลุกพล่าน หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็เดินไปหยุดอยู่หน้าคฤหาสน์ที่ประตูเปิดกว้างหลังหนึ่ง

หน้าประตูยืนไว้ด้วยมือกระบี่รักษาความปลอดภัย ผู้มีกระบี่ยาวเหน็บอยู่ข้างเอวตลอดเวลา

“ข้าพเจ้าสายลับหมายเลข 9527 มีข้อมูลสำคัญมารายงาน ขอแจ้งความประสงค์เข้าพบพี่ใหญ่เจิ้ง”

หรานจื่อชุนถอดหมวกออกและพลิกด้านในหมวกออกมาเผยให้เห็นสัญลักษณ์บางอย่างที่อยู่ด้านในหมวก

หลังจากนั้น เขาก็เดินเข้าสู่ด้านในคฤหาสน์และถูกนำตัวมาที่ ‘ห้องโถงสะบั้นสายลม’

ชายวัยกลางคนร่างกายกำยำผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ในอ้อมแขนของเขากำลังโอบอุ้มแมวสามหางตัวหนึ่ง ชายวัยกลางคนยังคงก้มหน้าก้มตาเล่นกับแมว เอ่ยถามโดยไม่เงยหน้ามองขึ้นมา “9527 เจ้าอยากพบข้ามีเรื่องอันใด? หรือว่าสามีภรรยาเจ้าของโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยตายแล้ว? เจ้าทำภารกิจได้สำเร็จแล้วหรือ?”

หรานจื่อชุนรีบประสานมือทำความเคารพ กล่าวว่า “พี่ใหญ่เจิ้ง เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้วขอรับ”

เขาบอกเล่าถึงการปรากฏตัวของหลินเป่ยเฉิน

สุดท้าย หรานจื่อชุนก็กล่าวต่อ “เจ้าเด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นี้ ข้าไม่ทราบว่ามันเป็นใครมาจากไหน แต่เพียงมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าคงไม่ใช่คนดี และตอนนี้ฮันลั่วเซวี่ยก็กำลังหลงใหลมันเป็นอย่างมาก แม้แต่สองสามีภรรยาฮันหลี่กับอู๋เหว่ยก็ยังดูแลมันเป็นอย่างดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าน้อยเกรงว่าตนเองคงไม่ได้แต่งงานกับฮันลั่วเซวี่ยเป็นแน่แท้ อย่าว่าแต่จะได้ครอบครองโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยเลย”

“เจ้าโง่”

พี่ใหญ่เจิ้งเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าดุร้าย พูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “เจ้าแฝงตัวอยู่ในตระกูลฮันมาเป็นสิบปี แต่กลับสู้คนที่เพิ่งปรากฏตัวเพียงห้าหกวันไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

“พี่ใหญ่เจิ้ง ข้าน้อยผิดไปแล้ว”

หรานจื่อชุนร่ำร้องออกมาด้วยความร้อนรน “ท่านต้องเห็นเจ้าเด็กหนุ่มหน้าขาวนั่นด้วยตนเอง ข้าน้อยไม่เคยเห็นผู้ใดมีผิวพรรณดีและหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้มาก่อน เขาหล่อเหลามากกว่าพวกขุนนางหนุ่มในเมืองของเราเสียอีก อย่าว่าแต่ฮันลั่วเซวี่ยเลยขอรับ แม้แต่สตรีนางอื่น ๆ ก็ยังมารวมตัวที่โรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยทุกวันเพื่อที่จะได้ยลโฉมเด็กผู้นี้!”

“เด็กหน้าขาวผู้นี้มีขั้นพลังเป็นอย่างไร?”

พี่ใหญ่เจิ้งเกาคางแมวสามหางพร้อมกับถามออกมา

“นอกจากหน้าตาแล้ว มันก็ไม่มีอะไรดีอีกเลย”

หรานจื่อชุนตอบกลับด้วยความรวดเร็ว

“งั้นข้าจะส่งคนไปฆ่ามัน”

พี่ใหญ่เจิ้งเลือกใช้วิธีแก้ปัญหาที่เรียบง่ายที่สุด ตรงไปตรงมาที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

“วันนี้เป็นโอกาสดีเลยขอรับ”

หรานจื่อชุนรีบกล่าวด้วยความดีใจ “ฮันลั่วเซวี่ยนำตัวเจ้าเด็กหน้าขาวไปที่วิหารสาขา 98 เพื่อรับยาให้แก่บิดามารดา และก็ยังนำมันผู้นั้นไปขึ้นทะเบียนพลเมืองด้วย ระหว่างทางกลับโรงเตี๊ยม ถือเป็นโอกาสดีที่พวกเราจะลงมือ”

“งั้นข้าจะรีบส่งคนไปจัดการมันเดี๋ยวนี้”

พี่ใหญ่เจิ้งพยักหน้าและกล่าวว่า “เจ้าได้วางยาพิษตามกำหนดหรือไม่? เหตุไฉนฮันหลี่ถึงยังไม่ตาย? เบื้องบนแทบรอไม่ได้แล้ว”

หรานจื่อชุนกล่าวด้วยความลนลานว่า “ข้าน้อยย่อมวางยาตามกำหนด แต่กราบเรียนพี่ใหญ่เจิ้ง ท่านก็รู้ว่าผู้เฒ่าฮันมีสถานะเป็นพลเมือง หากการตายของเขาผิดปกติมากเกินไป ทางวิหารจะต้องยื่นมือเข้ามาสืบสวนเป็นแน่แท้ และไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะถูกเปิดโปง หากเป็นเช่นนั้น พี่ใหญ่เจิ้งอาจจะเดือดร้อนเอาได้ แต่ที่สำคัญก็คือผู้เฒ่าฮันยังมีน้องชายอีกคนหนึ่ง เขาทำงานอยู่กับขุนนางในพื้นที่เขตหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ข้าน้อยจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ปริมาณยาพิษที่ให้เขารับประทานจึงเจือจางไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่บัดนี้ ผู้เฒ่าฮันเริ่มมีอาการไอหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ข้าน้อยมั่นใจว่าอีกไม่เกินสี่ห้าวัน เขาจะต้องตายอย่างแน่นอนขอรับ”