“อะไรนะ”
“ข้าจะนอนกอดท่าน”
“อ๋า?”
“อืม”
ม่ออวี่เอ่ยอย่างมั่นใจ
เฉินฉางเซิงฟังแล้วราวกับเกิดเสียงฟ้าร้องดังก้อง
เขาโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนเอ่ย “อย่าทำอะไรบ้าๆ”
ม่ออวี่เอ่ย “อย่างนั้นท่านมาทำอะไรกันเล่า”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ข้ามาพบเจ้า เพียงเพราะอยากจะตักเตือนเจ้า แล้วก็ต้องการจะขอบคุณเจ้าเช่นกัน”
ม่ออวี่ทำเรื่องราวต่างๆ ไปมากมายจริงๆ มันควรค่าที่เขาจะเดินทางมาขอบคุณอย่างเป็นทางการ
ม่ออวี่เอ่ยว่า “หากประสงค์จะขอบคุณข้าจริงๆ เจ้าก็นอนเป็นเพื่อนข้าสักคืน”
เฉินฉางเซิงจนใจยิ่งนัก เขาเอ่ยขึ้น “อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะแต่งงานแล้ว”
“ในปีนั้นข้าไม่ได้เรียกร้องให้ท่านนอนกับข้า”
ม่ออวี่มองเขาก่อนเอ่ย “ก็เพราะว่าต้องออกเรือนแล้ว ดังนั้นข้าจึงอยากนอนกับท่าน”
คำกล่าวนี้นางยังคงพูดออกมาได้อย่างมั่นอกมั่นใจยิ่งนัก มันแอบซ่อนความหมายมากมายเอาไว้ในนั้น ช่างมีเจตนาที่โจ่งแจ้งยิ่งนัก
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยต่ออย่างไร
ม่ออวี่จ้องไปที่ดวงตาเขาก่อนเอ่ย “ท่านไม่กล้าเข้ามาก็เพราะว่าคิดอะไรกับข้า”
เฉินฉางเซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเดินมานั่งข้างเตียง
ม่ออวี่ใช้มือทั้งสองข้างโอบเอวของเขาเอาไว้ พลางอิงแอบใบหน้าเข้ากับแผ่นหลังของเขา
“ในตอนนั้นเจ้าไม่ได้เอาชุดเครื่องนอนและหมอนของข้าไปจากสำนักฝึกหลวงหรอกหรือ”
ตอนนี้นางกำลังเอาใบหน้าพิงกับหลังของเขา จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเขาเห็น จึงผ่อนคลายลงไปมาก
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ใบหน้าแดงก่ำของนางก็ค่อยๆ จางไป ในใจคิดว่าตอนนั้น ช่างไร้สาระยิ่งนัก นางกลับลืมไปได้ ตอนนี้มองแล้วช่างไร้สาระจริงๆ
“เวลาผ่านไปนานแล้วกลิ่นของชุดเครื่องนอนและหมอนของท่านหายไปตั้งนานแล้ว”
“อืม…… อย่างนั้นช่วงนี้เจ้ายังนอนไม่หลับอยู่ใช่หรือไม่”
“จะพูดไปก็แปลกอยู่หลังจากที่เหนียงเหนียงจากไป ข้าก็ไม่เคยนอนไม่หลับอีก วันนั้นข้ายังไปงีบหลับในบ้านของโจวทงอีก”
“จริงหรือ”
“จริงสิ”
“ข้าจะนั่งตรงนี้ เจ้านอนสักพักเถอะ”
“อืม สักพัก สักพักก็คงดี”
ในห้องเกิดความเงียบขึ้นมา
เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ข้างเตียง ไม่ได้ขยับไปไหน
ม่ออวี่กอดเอวเขาเอาไว้ ไม่ได้ขยับไปไหน
หากว่ากันตามจริง ท่าทางการนอนแบบนี้ไม่สบายตัวยิ่งนัก แต่นางกลับนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังนอนหลับฝันดีอีกด้วย แม้กระทั่งเกิดเสียงกรนขึ้นมาเบาๆด้วยซ้ำ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เหมือนหิมะนอกหน้าต่างค่อยๆ เกิดการทับถมขึ้น
ในขณะที่เฉินฉางเซิงคิดว่าตนอาจจะต้องนั่งไปอย่างนี้ทั้งคืน เขากำลังคิดว่าพรุ่งนี้จะอธิบายเรื่องนี้กับสวีโหย่วหรงอย่างไร นางก็ตื่นขึ้นมาเสียก่อน
การนอนหลับครึ่งช่วยยาม ทำให้นางดูสดใสขึ้นมาไม่น้อย เห็นได้ชัดเลยว่าคุณภาพการนอนหลับนั้นดีเพียงใด
สาวใช้ยกชามรังนกเข้ามา นางดื่มไปสองคำ จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น มองมาทางเขา ก่อนเอ่ยว่า”เหตุใดท่านยังไม่ไปอีก”
เฉินฉางเซิงจนใจยิ่งนัก เขาเอ่ย “ข้านึกว่าเจ้าเขียนจดหมายให้ข้ามาที่นี่เนื่องจากต้องการจะปรึกษาเรื่องบางอย่าง”
…ที่แท้เจ้าไม่ต้องการอะไรนอกเสียจากนอนกอดข้า
ม่ออวี่เอ่ย “ไม่มีอะไรที่ต้องพูดกันนี่ สถานการณ์ในเมืองหลวงสงบนิ่งยิ่งนัก ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเวลาก่อนหน้า”
สามปีมานี้พวกเขาส่งจดหมายหากันตลอด เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในราชวงศ์ปัจจุบันจากทางม่ออวี่นี้
ในราชวงศ์ปัจจุบันนี้ ท่านอ๋องมากกว่าสิบคนจากตระกูลเฉินที่มีจงซานอ๋องเป็นแกนนำ รวมไปถึงพลทหารที่ได้รับการเลี้ยงดูจากตระกูลเทียนไห่และตระกูลเฉินกวนซงถือเป็นก๊กเดียวกัน เหล่าขุนนางสายบุ๋นที่มีชีวิตต่อมาจากราชวงศ์ที่แล้ว รวมไปถึงหลินกงกงที่อยู่ในวังนับเป็นก๊กเดียวกัน
หากแบ่งกลุ่มอำนาจออกเป็นสองฝ่ายง่ายๆ อย่างนี้ ต่อให้เขามีความคิดเยี่ยงไรต่อฝ่าบาท
“หากอาจารย์ของท่านยินดีที่จะมาดูแลเรื่องนี้แน่นอนว่าจะต้องไม่เกิดปัญหาแน่นอนแต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากสนใจ”
ม่ออวี่เอ่ยขึ้นว่า “หรือบางทีเขาอยากเห็นความสามารถในการจัดการบริหารของฝ่าบาท หรือบางทีอาจจะเพียงประสงค์จะฝึกฝนฝ่าบาทเท่านั้น”
“ท่านพี่สามารถจัดการเรื่องปัญหาเหล่านี้ได้ดีอยู่แล้ว”
เฉินฉางเซิง นึกไปถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่เคยเกิดขึ้นที่เมืองซีหนิง ปลาไร้เกล็ดในแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่งนอกวัดล้วนเป็นเขาที่จักมาได้ด้วยมือตนเอง หลังจากนั้นก็ลงมือทำด้วยตนเอง
“ท่านพี่เชี่ยวชาญการทำอาหารด้วยปลายิ่งนัก เนื่องจากจิตใจของเขาสงบนิ่ง มีความอดทนยิ่งนักแล้วยังมีฝีมือมันคง
“ดังนั้นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของราชวงศ์ ก็ยังอยู่ด้านนอกราชวงศ์หรือ หรือจะพูดให้ชัดเจนก็คือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสำนักฝึกหลวงนั่นเอง”
ม่ออวี่เอ่ย “หลายคนล้วนทราบดีที่ท่านกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้
ม่ออวี่เอ่ย “หลายคนล้วนทราบดี ท่านกลับมาเมืองหลวงในครั้งนี้ แล้วนักพรตเต่าจะจัดการอย่างไรเล่า”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ข้ากำลังรอคอยที่จะได้พบกับเขา”
หลังจากที่จากเมืองหลวงไปในค่ำคืนที่หิมะตกหนัก ตั้งแต่นั้นทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ก็ไม่เคยพบกันอีกเลย
ตอนนี้เขากลับมายังเมืองหลวงแล้วถ้าอย่างนั้นก็คงต้องพบกันสักครั้ง
เชื่อมั่นได้ว่าการพบกันในครั้งนี้ อาจารย์จะต้องกล้าสบตาเขาตรงๆ ไม่มองเขาเป็นคนแปลกหน้าอีกต่อไป
ม่ออวี่เอ่ยถาม “เป็นไปได้หรือไม่ที่จะพบกันด้วยรอยยิ้มแล้วลืมเลือนเรื่องบาดหมางไปเสีย”
เฉินฉางเซิงเงียบไปไม่พูดจา เขาทราบดีว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดระหว่างตนและอาจารย์ของตนนั้นคืออะไร
มันคือปมที่อยากจะแก้ที่สุดในโลก สุดท้ายแล้วนอกเสียจากใช้กระบี่ฟันมันให้สิ้น ก็ราวกับไม่มีวิธีการใดที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
ม่ออวี่ไม่ได้สนใจในท่าทีของเขา นางเอ่ย “ถึงแม้ว่าทุกคนรวมถึงข้าด้วยล้วนไม่เข้าใจว่าระหว่างท่านและอาจารย์ของท่านเหตุใดจึงได้พลิกโฉมหน้ามาเป็นศัตรู แต่ข้าคิดว่าท่านจะต้องเตรียมตัวให้ดีถึงการเปลี่ยนแปลงของนักพรตเต๋า เมื่อเขาแสดงท่าทีว่าต้องการคืนดี ปฏิกิริยาของท่านเองก็ต้องเร็วสักหน่อย”
เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม “เจ้าคิดถึงจริงหรือว่าท่าทีของเขาจะเปลี่ยนไป”
“ผู้ใดจะทราบได้เล่า เรื่องของจักรพรรดินี้ทั้งเขาและราชสำนักล้วนได้รับความกรุณาจากเจ้า แล้วก็ไม่แน่ว่าเขาจู่ๆ อาจจะคิดตกแล้วก็เป็นได้”
ม่ออวี่เอ่ย “เหตุใดเรื่องการกำจัดราชามารนี้ เขาจึงยินดีที่จะทำเรื่องราวต่างๆ โดยไม่เกิดเหตุการณ์ประหลาด”
เฉินฉางเซิงทราบดีว่าความเป็นไปได้ในข้อนี้มีไม่มากนัก แต่อย่างที่ม่ออวี่เอ่ย ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นจู่ๆ เขาก็เกิดความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
“หากสามารถเป็นอย่างนี้ได้จริงๆ อย่างนั้นก็คงดีไม่น้อย”
“แต่หากเป็นเยี่ยงนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาระหว่างท่านกับเขา”
“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าหมายถึงอะไร”
“ท่านคิดว่าถ้าหากอาจารย์เปลี่ยนทัศนคติของเขาจริง เรื่องนี้จะจบลงแบบสวยงามหรือ”
ม่ออวี่มองเขาและเอ่ยว่า “ตรงกันข้าม หากเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่าโศกนาฏกรรมกำลังจะเกิดขึ้น”
เฉินฉางเซิง ถามว่า “เจ้ากำลังพยายามจะพูดอะไร”
ม่ออวี่ ถามกลับ: “ท่านจะล้างแค้นให้กับจักรพรรดินีหรือไม่?”
เฉินฉางเซิงส่ายหัว ไม่ต้องพูดถึงว่านี่อาจทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์แตกแยกออกเป็นสงครามภายใน ต่อให้แก้แค้นจริงมันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย
จักรพรรดินีได้ช่วยชีวิตเขาไว้ แต่เขาก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะถือธงแก้แค้นนั้นได้
ท่านพี่ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการล้างแค้นจักรพรรดินี ตอนนี้คือจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ และยังเป็นศิษย์ที่อาจารย์รักและไว้วางใจมากที่สุด
ต่อให้เป็นท่านพี่ ก็ไม่มีทางทำอะไรได้เพื่อเรื่องราวในตอนนั้นได้ นับประสาอะไรกับเขา
“รวมถึงท่านอ๋องเหล่านั้นด้วย หลายคนกำลังจ้องมองมาที่ข้า และระวังในตัวข้า ด้วยพวกเขาเกรงว่าข้าจะล้างแค้นให้จักรพรรดินีของข้า”
ม่ออวี่มองเข้าไปในดวงตาของเขาและเอ่ยว่า “แต่พวกคุณลืมไปหมดแล้ว คนที่อยากจะแก้แค้นให้จักรพรรดินีที่สุดไม่ใช่ท่านหรือว่าฝ่าบาท แล้วก็ไม่ใช่ข้าเช่นกัน “
จู่ๆ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกไม่สบายใจ
เขาลืมไปจริงๆ
เหล่าขุนนางทั้งราชสำนักล้วนลืมแล้ว
ทั่วทั้งดินแดนล้วนลืมแล้ว
คนที่อยากจะแก้แค้นให้จักรพรรดินีที่สุดและยังมีคุณสมบัติมากที่สุดในการแก้แค้นให้กับจักรพรรดินี
ก็คือ สวีโหย่วหรง
นางคือคนที่จักรพรรดินีเฝ้าเลี้ยงดูจนเติบใหญ่
หากจะเปรียบเทียบกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รุ่นก่อนแล้วล่ะก็ จักรพรรดินีเป็นอาจารย์แห่งการตรัสรู้ของนาง
เมื่อเทียบกับเทียบกับสวีซื่อจีละก็ จักรพรรดินีจึงจะถือได้ว่าเป็นมารดาที่แท้จริงของนาง
จักรพรรดินีเป็นหงส์สวรรค์ สวีโหย่วหรงก็เป็นหงส์สวรรค์
เมื่อเทียบกับองค์หญิงผิงกั๋วแล้ว นางจึงจะถือได้ว่าเป็นบุตรสาวที่แท้จริงของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเทียบกับคนที่เหลือแล้ว หนังจึงจะถือได้ว่าเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
ม่ออวี่เอ่ย “ฉันคิดว่านางจะไม่แก้แค้นให้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หรือ”
เฉินฉางเซิงเงียบอยู่นาน ก่อนเอ่ย “นางไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้”
“หากดูตามความสัมพันธ์ระหว่างนางและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แล้ว ในสามปีมานี้นางไม่เคยเอ่ยสักครั้งเลยหรือ ท่านไม่รู้สึกหรือว่านี่เป็นเรื่องแปลกประหลาด”
ม่ออวี่สบตาเขาก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าเองก็ได้มองเห็นนางจนเติบใหญ่ ข้าทราบดีว่าปณิธานของนางและการกระทำน่ากลัวเพียงใด”
เวลาสามปีไม่เคยเอ่ยขึ้นแม้สักครั้งเดียว หรือแม้แต่ไม่เคยคิดถึงเลย นี่มันต้องการปณิธานอย่างไรกันเล่า
หากว่ามีการปฏิบัติที่แข็งแกร่งแบบเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นตอนนี้นางเองได้บำเพ็ญพรตไปถึงขั้นใดกันแล้วเล่า
……
……
หิมะที่หนาวเย็นลอยมา ลมฤดูหนาวเรากับใบพัดกรีด เฉินฉางเซิงมารับสวีโหย่วหรง ดำเนินไปยังสวนร้อยหญ้า
เขากางร่มกระดาษทองออก ดำเนินในยังส่วนที่อยู่ลึกที่สุดของสวน
ที่นั่นมีป่าที่ธรรมดามากผืนหนึ่ง ในป่านั้นเคยมีโต๊ะหินและม้านั่งหินอยู่ ตอนนี้เหลืออยู่เพียงผืนดินว่างเปล่า
สวีโหย่วหรงมองไปยังที่แห่งนั้นมิได้เอ่ยคำใด
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถูกฝังไว้อย่างที่แห่งนี้
อยู่ในจุดที่ลึกมากๆ