ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 7 กลับสำนักฝึกหลวง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงมองไปยังสวีโหย่วหรง

เมื่อมองจากด้านข้าง นางงดงามยิ่งนัก

ก็เหมือนกับการมองจากมุมใดก็ตาม

นางสงบนิ่งเหมือนปกติ

แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด เฉินฉางเซิงรู้สึกเสมอว่ามองเห็นความเย็นของฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในนั้น

หรือเป็นเพราะสิ่งที่ม่ออวี่พูดกับเขาเมื่อวานนี้

ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเวลานี้ เขาคิดอยู่นาน และลังเลอยู่นานเช่นกัน และในที่สุดเขาก็ถามออกไป

“เจ้ากำลังอยากพูดอะไรใช่หรือไม่”

สวีโหย่วหรงตกใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถาม “พูดอะไรหรือ”

ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าของงานหรือท่าทางที่หันกลับมามองเขาล้วนเป็นปกติออกอย่างนั้น

เฉินฉางเซิงจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไป สายตาของเขาทอดตกลงบนพื้นหญ้าผืนนั้นที่อยู่ไกลออกไป

บนใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย นางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านหมายถึงเหนียงเหนียงหรือ”

เฉินฉางเซิงพยักหน้า

รอยยิ้มของสวีโหย่วหรงค่อยๆ หายไป นางเอ่ยเสียงเบาว่า “นางก็เหมือนกับมารดาของข้า”

เฉินฉางเซิงมองไปยังที่แห่งนั้นก่อนเอ่ยถามว่า “เจ้าอยากพูดอะไรใช่หรือไม่”

สวีโหย่วหรงมองไปที่เขาก่อนเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “เมื่อคืนนี้ม่ออวี่พูดอะไรกับท่านใช่หรือไม่”

เฉินฉางเซิงตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “นางรู้สึกว่าเจ้าจะต้องแก้แค้นแทนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แน่นอน”

สวีโหย่วหรงเอ่ย “หากว่าข้าทำจริงๆ ท่านจะกังวลใจหรือไม่”

คำตอบของเฉินฉางเซิงยังคงซื่อตรงยิ่งนัก “แน่นอน”

สวีโหย่วหรงเอ่ยตอบอย่างเฉยเมยว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางควรจะทำที่สุดหรอกหรือ ท่านเองก็ควรเป็นห่วงนางจึงจะถูก”

เฉินฉางเซิงเอ่ย “เมื่อคืนนางบอกเขาว่าในปีนั้น เขาได้สังหารโจวทงไป จึงถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แล้ว”

สวีโหย่วหรง เงียบไปครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “มียืมก็ต้องมีคืน นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว”

เฉินฉางเซิงไร้หนทางที่จะมองเห็นความคิดที่แท้จริงของนาง จึงเอ่ยขึ้นว่า “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร”

สวีโหย่วหรงย้อนถาม “แล้วท่านคิดเห็นเยี่ยงไร”

“ถึงแม้ว่าข้าและอาจารย์ตอนนี้เดินคนละเส้นทาง ก็เพราะด้วยเหตุผลนี้ แต่ด้วยเนื้อในของเรื่องนี้ข้าไม่ทราบจริงๆว่าผู้ใดผิดผู้ใดถูก”

เฉินฉางเซิง เอ่ย “หากมองตามเรื่องที่พวกเขาล้วนเคยนำเรื่องของโจวทงใช้มาก่อน ข้าคงคิดว่าเป็นพวกเขาที่เป็นฝ่ายผิด”

สวีโหย่วหรงเอ่ย “ดังนั้นท่านคิดว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะนำความผิดพลาดไปต่อกรกับความผิดพลาด”

เฉินฉางเซิง “ข้าเพียงรู้สึกว่าไม่มีทางที่จะโน้มน้าวตนเอง”

สวีโหย่วหรง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “มีเหตุผล แต่ท่านเองไม่ต้องพยายามที่จะโน้มน้าวข้า แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงข้า เนื่องจากข้าไม่ได้คิดวางแผนที่จะทำสิ่งใด สิ่งที่ข้าบำเพ็ญมาคือสามพันมหามรรค เหนียงเหนียงเองก็บำเพ็ญสามพันมหามรรคเช่นกัน หากนางยังเหลือหนึ่งดวงจิตอยู่ในทะเลดวงดาวที่มาสามารถรับรู้ได้ คิดว่าคงไม่ยินดีที่จะให้ข้าเอาแค่ครุ่นคิดเรื่องเล็กน้อยพวกนี้แน่”

เฉินฉางเซิงไม่ได้เอ่ยคำใด

หากว่ากันตามหลักการแล้ว สวีโหย่วหรงเพิ่งจะร่วมมือกับซางสิงโจว น่าจะไม่ต้องกังวลในเรื่องใด แต่เขามักจะรู้สึกว่ามีเรื่องอะไรที่ไม่ถูกต้องอยู่

สวีโหย่วหรงเอ่ยต่อ “ถ้าหากค่าทำเรื่องอะไรลงไปจริงๆ จะต้องบอกท่านก่อนแน่นอน และอาจารย์จะสัมผัสเรื่องราวพวกนี้ไม่ได้เชียวหรือ”

เฉินฉางเซิงรู้สึกวางใจเล็กน้อยเนื่องจากเขาทราบดีว่านางจะไม่มีทางหลอกตน

สวีโหย่วหรง ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกนั่งมองไปยังกำแพงที่อยู่ลึกที่สุดของป่า ก่อนเอ่ยถาม “ทางด้านนั้นคือสำนักฝึกหลวงหรือ”

เฉินฉางเซิงมีความคุ้นเคยกับป่าผืนนี้ยิ่งนัก เขาเอ่ยตอบว่า “อยู่อีกด้านของกำแพง”

ในเมื่อมาถึงยังสวนร้อยไม้แล้ว แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไปเยือนสำนักฝึกหลวง

เฉินฉางเซิงเดินไปทางด้านนั้น

สวีโหย่วหรงช้าไปหนึ่งก้าว

เนื่องจากนางมองไปทุ่งหญ้าทางด้านนั้นอยู่

แววตาของนางสงบนิ่งยิ่งนัก

ร่างของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถูกฝังอยู่ที่นั่นอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดลงไปใต้ดิน

……

……

กำแพงลานสีเทาดำสูงไปหน่อย และเก่ามาก ไม่รู้ว่าผ่านทั้งลมและฝนไปกี่ปีแล้ว

แต่เห็นได้ชัดว่าประตูบนผนังลานนั้นดูมีอายุไม่มาก ไม่ว่าจะเป็นวงกบประตูหรือปูนในช่อง คาดว่ามีอายุเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น

ประตูที่ปรากฏออกมาอย่างกะทันหันมองไปไม่มีจุดสิ้นสุด แต่มีเพียงพื้นผิวสีเทาดำเท่านั้น ดูเหมือนปากที่เผยอรอยยิ้มออกมา

เฉินฉางเซิงราวกับมองเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เปิดประตูเข้ามาและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

ผลักเปิดประตูออก ก็มาถึง สำนักฝึกหลวง

อีกด้านหนึ่งของกำแพง มีถังไม้ที่ไม่มีไอร้อน

ถังซานสือลิ่วจากสำนักเทียนเต้าไปเป็นเวลาหลายปีแล้ว ตอนนี้อาศัยอยู่สำนักฝึกหลวง หากเขาหนีไปอีกครั้งในสภาพเสื้อผ้าเปียก ๆ เขาจะไปยืมเสื้อผ้าใส่ที่ใดกันดี?

อาคารหลังเล็กนั้นยังคงตั้งอยู่ที่เดิม

เฉินฉางเซิงอาศัยอยู่ในตึกหลังเล็กนั้นเป็นเวลานาน เขาเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคย

เมื่อเดินเข้าไปในชั้นแรก ก็จะเห็นห้องหนึ่ง นั่นเป็นห้องของเจ๋อซิ่ว

ทั้งตึกเงียบมาก ราวกับไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่

ไม่ว่าทางเดินหรือรูปแบบการก่อสร้าง เมื่อเทียบกับสามปีที่แล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย

ซูม่ออวี๋และถังซานสือลิ่วอาศัยอยู่ชั้นบน

ห้องของเขาอยู่ชั้นสาม

ด้านในห้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร เพียงแต่เห็นได้ชัดว่ามีการทำความสะอาดบ่อยครั้ง สามารถพูดได้เลยว่าไม่มีแม้แต่ไรฝุ่น

ชุดคลุมนักพรตเต๋าสีเรียบๆ ที่บ้างก็สีเข้มบ้างก็สีอ่อน ยังคงแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้า บนชั้นหนังสือยังคงมีหนังสืออยู่ ผ้าปูที่นอนก็ยังคงเรียบร้อยและเป็นระเบียบ

มองดูแล้วคล้ายกับเขาไม่เคยจากไปไหนเลยหรือจะกล่าวได้ว่าเวลาสามปีมานี้แทบจะไม่เกิดขึ้นเลย

สวีโหย่วหรงชี้ไปยังพื้นที่ว่างเปล่าบางแห่งบนชั้นหนังสือ ก่อนเอ่ยถาม “ของที่ข้าเคยมอบให้ท่านที่ยังเด็กเล่า”

“อย่างที่ข้าจะไปก็เอาไว้ติดตัวตลอด”

เฉินฉางเซิงใช้นิ้วคีบเอาแมลงปอไม้ไผ่ที่เก่ามากแล้วออกมา

สวีโหย่วหรงรับเอามาอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็เอาวางไว้บนชั้นหนังสืออย่างระมัดระวัง

เมื่อเห็นภาพนี้ เขารู้สึกว่าอบอุ่นยิ่งนัก พลันก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ

เขาจำได้ว่าสวีโหย่วหรงน่าจะไม่เคยมายังห้องที่ของตนสำนักฝึกหลวง อย่างนั้นนางทราบได้อย่างไรว่าตรงนี้เคยวางแมลงปอไม้ไผ่เอาไว้

เขามองไปยังสวีโหย่วหรง อยากจะถามอีกฝ่าย

สีหน้าของสวีโหย่วหรงปกตินัก แก้มสองข้างแดงผุดผาด แย่งพูดขึ้น “มันเก่ามากแล้ว เดี๋ยวข้าทำให้ท่านใหม่”

เฉินฉางเซิงรู้ว่าไม่ควรถามต่อแล้ว เขาหัวเราะก่อนจะตอบว่าได้

เมื่อเดินออกจากตึก เหยียบผ่านสนามหญ้าผืนนั้น มายังริมทะเลสาบ

ต้นหรงซู่ที่มีหิมะปกคลุม งดงามยิ่งนัก ทั้งยังทำให้ผู้คนรู้สึกกังวลว่ามันจะอดทนความหนาวเย็นเช่นนี้ได้หรือไม่

เสียงลมพัดแผ่ว เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงยืนอยู่บนกิ่งที่หนากิ่งหนึ่ง หิมะโปรยปราย

“เมื่อก่อนพวกท่านก็ยืนอยู่บนนี้มองดูเมืองหลวงใช่หรือไม่”

“ใช่แล้ว พวกเรารู้สึกว่าวิวทิวทัศน์ที่มองออกไปสวยสดงดงามยิ่งนัก

“ฝั่งตรงข้ามคืออะไร”

“ครัวเล็ก ต่อมาถูกอู๋ฉยงปี้ทำลาย แล้วจึงสร้างขึ้นใหม่ ตอนนี้ไม่มีผู้ใดใช้มัน แต่ได้ยินมาว่าฟืนและอุปกรณ์ทำครัวล้วนตระเตรียมไว้พร้อมพรัก”

“รอเพียงเซวียนหยวนผ้อกลับมาหรือ”

“รอให้ครั้งหน้าเขามาเมืองหลวง ก็คงเป็นนายพลใหญ่เผ่ามารแล้วกระมัง”

……

……

เมืองหลวงท่ามกลางหิมะโปรยปรายเงียบเหงายิ่งนัก สำนักฝึกหลวงก็เงียบมาก มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นไกลๆ ถ้าตั้งใจฟัง น่าจะเป็นเสียงคนอ่านหนังสืออย่างพร้อมเพรียง

สำนักฝึกหลวงมีขนาดใหญ่มาก สถานที่เฉินฉางเซิง เคยอยู่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น เขารู้ว่าตอนนี้มันแตกต่างไปจากเดิมมากแล้ว

เขาต้องการไปที่นั่นเพื่อดู แน่นอนว่าสวีโหย่วหรงไม่ขัดข้อง

ดำเนินตามเสียงของอ่านหนังสือไป ผ่านเก็บหนังสือล้ำค่า ห้องที่จินอวี้ลวี่เคยย่างกวางสามเขา ทั้งยังเดินผ่านน้ำพุที่ในที่สุดก็ซ่อมเสร็จเสียที เข้าสู่ป่าผืนหนึ่ง

หอพักของสำนักฝึกหลวงอยู่ด้านนั้นของป่า

เสียงอ่านหนังสือดังชัดขึ้นเรื่อยๆ

ที่น่าสนใจก็คือในป่านั้นกลับดูแล้วเงียบสงัดยิ่งนัก

มีเสียงร้องไห้ดังขึ้นมาจากเบื้องหน้า

เฉินฉางเซิงมองไป

เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนพิงต้นไม้พร้อมทั้งเช็ดน้ำตา

เด็กหนุ่มผู้นั้นการแต่งกายธรรมดายิ่งนัก ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลร่ำรวย แต่ก็ไม่น่าจะใช่ลูกศิษย์ผู้ยากไร้

สีหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลที่บวมช้ำ เห็นได้ชัดว่าถูกทำร้ายมา

สวีโหย่วหรงเตรียมจะเข้าไปดู

ขนาดนั้นด้านนอกปากเกิดเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบขึ้นมาหลายเสียง ทั้งยังมีเสียงหัวเราะเยาะดังลั่น

“วันนี้จะต้องอัดเจ้าเซวียเยี่ยจิ่นให้น่วม”

“ใช่แล้ว จะให้มันหนีไปอีกไม่ได้”

“ใช่ใช่ใช่ ดูสิว่ามันจะกล้ามาที่สำนักฝึกหลวงของพวกเราอีกหรือไม่”