เด็กหนุ่มผู้นั้นได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอกของป่า สีหน้าของเขาปรากฏแววตาความหวาดกลัวออกมา เขาเตรียมจะหันหน้าวิ่งหนีแต่ก็สายเสียแล้ว
เสียงฝีเท้าหลายเสียงดังขึ้นเด็กนักเรียนหนุ่มสิบกว่าคนวิ่งเข้ามาด้านในตัวป่า ล้อมรอบเด็กหนุ่มเอาไว้
เมื่อเห็นใบหน้าที่ปูดบวมของเด็กหนุ่มคนนั้นร่างกายเต็มไปด้วยฝุ่นน่าอเนจอนาถ เด็กนักเรียนหนุ่มบางคนปรากฏสีหน้าดูแคลน แววตาที่พร้อมดูถูกตลอดเวลา เด็กหนุ่มบางคนกลับดวงตาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่ามีความตื่นเต้นดูเหมือนว่าพวกเขาเตรียมจะรังแกเด็กหนุ่มผู้นี้ให้หนักขึ้นอีก
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงอยู่ในป่า เพียงแต่ถูกต้นเหมยบดบังเอาไว้ ทำให้คนพวกนี้ไม่สามารถมองเห็นได้
ไม่เห็นท่าทางที่น่าสงสารของเด็กหนุ่มคนนั้น สีหน้าของเขาก็ขรึมลงหลายส่วน
เมื่อได้ยินชื่อของเด็กหนุ่มผู้นั้น ทั้งยังได้เห็นเครื่องแต่งกายที่สวมใส่ของเด็กหนุ่มเหล่านั้น สีหน้าของเขากลับดูย่ำแย่ยิ่ง
เด็กหนุ่มผู้นั้นใช้แขนเสื้อของตนเช็ดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทาว่า “หากพวกเจ้า ยังทำอย่างนี้ต่อไปข้าจะไปรายงานอาจารย์ผู้ฝึก”
“เดือนก่อนเจ้าก็มีได้ไปรายงานแล้วหรือ เมื่อครู่นี้ไม่ได้ไปหรอกรึ”
เด็กนักเรียนหนุ่มผู้หนึ่งมองไปที่เขาก่อนเอ่ยออกมาอย่างหัวเราะเยาะ “มีอาจารย์ผู้ฝึกท่านใดจะมาสนใจเรื่องของเจ้ากัน”
เด็กหนุ่มผู้นั้นรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้น “ท่านใต้เท้าสังฆราชกลับมาแล้ว เขาจะต้องมาที่สำนักฝึกหลวงแน่นอน”
นักเรียนวัยรุ่นเหล่านั้นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แววตามีความหวาดวิตก ไม่นานความไม่สบายใจเหล่านั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นความเคียดแค้น
เด็กหนุ่มผู้นั้นตะโกนด้วยเสียงโหดเหี้ยมว่า “เจ้าคิดว่าใต้เท้าสังฆราชกลับมายังเมืองหลวง ตนเองก็จะมีที่พึ่งแล้วหรือ ท่านใต้เท้าสังฆราชเป็นผู้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น จะมาสนใจเรื่องราวเล็กน้อยพวกนี้ได้อย่างไร อีกอย่าง เดิมทีเจ้าก็เป็นบุตรของขุนนางทรยศ ไม่มีคุณสมบัติที่จะมาเรียนที่นี่ด้วยซ้ำ”
สีหน้าของเด็กหนุ่มผู้นั้นปรากฏแววตาความเจ็บปวดออกมา ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงฝืนทนว่า “ท่านแม่ข้าบอกว่า ท่านใต้เท้าสังฆราชเป็นคนเอ่ยปากให้ข้ามาเรียนหนังสือที่นี่”
“คำพูดเลื่อนลอยที่แม่จะเอ่ยเชื่อถือได้หรือ เจ้ามาอยู่ที่นี่ ก็มีแต่ทำให้เกิดความวุ่นวายในสำนักฝึกหลวง หากพวกเราขับไล่เจ้าออกไปได้ นั่นก็เป็นการคิดแทนสำนักฝึกหลวง ต่อให้เป็นผู้อื่นก็คงไม่กล่าวว่าพวกเราทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง เจ้าอย่าโทษว่าพวกเราใจร้ายเลย หากจะโทษก็ต้องโทษแม่ที่ไม่เอาไหนของเจ้านั่นแหละ”
เด็กนักเรียนหนุ่มผู้นั้นบีบคั้นเด็กหนุ่มเข้าไปอีก เอ่ยวาจาผรุสวาทไม่หยุดหย่อน
สวีโหย่วหรงเหลือบมองไปทางเฉินฉางเซิง ก่อนเอ่ย “ข้าจะไปดูรอบ ๆ”
เมื่อเอ่ยจบ นางก็จากไป
นางทราบดีว่าเขาไม่ยินดีที่จะเห็นเรื่องเหล่านี้ แล้วก็ไม่ยินดีที่จะให้ผู้อื่นเห็นเรื่องเหล่านี้เช่นกัน ต่อให้คนผู้นั้นเป็นนางเองก็ตาม
นี่คือเรื่องของสำนักฝึกหลวง
สำหรับฝึกหลวงเป็นของเขา เป็นของลั่วลั่ว เซวียนหยวนผ้อ ถังซานสือลิ่ว ซูม่ออวี๋
นักเรียนวัยรุ่นคนหนึ่งใช้เท้าถีบไปยังเด็กหนุ่มผู้นั้น
เกิดเสียงดังปัง หินก้อนหนึ่งแหวกอากาศเข้ามา กระแทกไปยังหัวเข่าของนักเรียนผู้นั้นเข้าอย่างจัง
นักเรียนผู้นั้นเจ็บจนทนไม่ไหว คุกเข่าลงกับพื้น กุมขาของตนเกลือกกลิ้งไปมา ร้องตะโกนไม่หยุด
นักเรียนเหล่านั้นตกตะลึงจนใบหน้าสิ้นสี พวกเขารีบประคองเด็กนักเรียนคนนั้นขึ้นมา พลางมองไปทางรอบด้านของป่า ก่อนตะโกนออกไป “ผู้ใดกัน”
พุ่มต้นเหมยไหวเล็กน้อย ลมหนาวพัดผ่านไป
เฉินฉางเซิงดำเนินมาถึง มองไปยังเด็กหนุ่มที่ชื่อ เซวียเยี่ยจิ่น ก่อนเอ่ยถาม “เจ้าเป็นบุตรของขุนพลเซวียหรือ”
เมื่อได้ยินสรรพนามเรียกขาน “ขุนพลเซวีย” เด็กหนุ่มผู้นั้นก็ตกตะลึงอยู่นานกว่าจะได้สติกลับมา จึงค่อยค่อยพยักหน้า
นักเรียนหนุ่มเหล่านั้นตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ในคืนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของสุสานเทียนซู เซวียสิ่งชวนถูกโจวทงวางยาพิษจนเสียชีวิต
ในฐานะที่เป็นขุนพลที่ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพที่มีอำนาจมากที่สุดในราชวงศ์เทียนไห่ ต่อให้เสียชีวิต ไปแล้วเขาก็ยังคงไม่ได้รับความสงบสุข ศพของเขาถูกทิ้งไว้นอกเมืองสิบกว่าวัน
เวลาสามปีผ่านไป เมื่อต้องเอ่ยถึงเขาอีกครั้ง ก็ไม่มีผู้ใดเรียกขานเขาว่าขุนพลเซวียอีกต่อไป แม้แต่จะเรียกเขาว่าท่านเซวียก็ไม่มี
เหล่านายทหารขั้นสูงที่เขาสนับสนุนให้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นรวมไปถึงกองทหารเก่าที่เคยร่วมรบมาแล้วกว่าร้อยครั้ง เมื่อก้าวเข้าสู่ราชวงศ์ใหม่ แน่นอนว่าต้องพบกับความยากลำเค็ญ ต้องอยู่อย่างอยากลำบากใจชงโจว
เซวียฮูหยินและบุตรชายที่ยังต้องอยู่ในเมืองหลวง แน่นอนว่าต้องอยู่อย่างลำเค็ญเช่นกัน หากมิใช่ว่าพระราชวังหลีมักส่งคนมาเยี่ยมเยียน ม่ออวี่เลยรับราชโองการมาเยี่ยมสองหน ยังมีเฉินหลิวอ๋องที่แอบให้การช่วยเหลือ เกรงว่าคงถูกขับไล่ออกจากถนนไท่ผิงนานแล้ว
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่า ช่วงเวลาที่คุณชายเซวียอยู่ในสำนักฝึกหลวงก็ยากลำบากเช่นกัน
นักเรียนวัยรุ่นกลุ่มนั้นเอ่ยถามด้วยท่าทางกระวนกระวายใจว่า “ท่านคือใครกัน”
เฉินฉางเซิงมิได้สนใจพวกเขา เอ่ยกับเซวียเยี่ยจิ่นว่า “เรื่องพวกนี้เจ้าควรจะพูดกับอาจารย์ฝึก”
เซวียเยี่ยจิ่นรู้สึกน้อยใจยิ่งนัก เบ้าตาของเขาแดงก่ำ เขาเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทาว่า “ข้าเคยพูดแล้ว แต่อาจารย์ฝึกไม่สนใจ หลังจากนั้นพวกเขาก็ทำร้ายหนักขึ้น”
เฉินฉางเซิงนึกไปถึงบทสนทนาที่ได้ยินก่อนหน้า ในใจคิดว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ แต่… เป็นอย่างนี้ได้อย่างไรกันเล่า
“หากว่าอาจารย์ฝึกไม่สนใจอย่างนั้นจนกว่าควรจะไปพบคนที่สามารถควบคุมอาจารย์ฝึกได้อย่างเช่น ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักฝึกหลวง”
หลายปีมานี้เขาและลั่วลั่ว ถังซานสือลิ่ว เจ๋อซิ่ว ล้วนไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ภารกิจทั้งหมดในสำนักฝึกหลวงล้วนตกอยู่ในการดูแลของซูม่ออวี๋
ซูม่ออวี๋ตอนนี้เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักฝึกหลวง
ซูเยี่ยจิ่นเมื่อได้ฟังแล้วยิ่งรู้สึกน้อยใจ ในใจคิดว่าตนนั้นเป็นเพียงเด็กนักเรียนธรรมดาคนหนึ่ง ผู้มีตำแหน่งสูงอย่างผู้อำนวยการซูนี้ ใช่ว่าอยากพบจะได้พบที่ไหนกัน
เฉินฉางเซิงเอ่ย “เจ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกมารดาของเจ้า มารดาของเจ้าจะต้องมีวิธีการรับมือแน่นอน”
เซวียเยี่ยจิ่นเอ่ย “ในฐานะที่เป็นบุตร จะทำให้มารดากังวลใจได้อย่างไร”
เฉินฉางเซิงชื่นชอบการตอบของเขานัก ยิ้มก่อนเอ่ย “อย่างนั้นเจ้ามากับข้า ข้าพาเจ้าไปพบเขา”
เมื่อเอ่ยคำนี้จบ เขาก็นำเซวียเยี่ยจิ่นเดินออกนอกป่าไป
นักเรียนหนุ่มสิบกว่าคนนั้นอยากจะหยุดยั้งเขาไว้ กลับพบว่าขาขยับไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่กล้าติดตามไปเลย
ในสายตาพวกเขา คนผู้นี้อายุอานามพอพอกับพวกเขา แต่มีความสูงส่งที่ล้ำลึก ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลน
สำนักฝึกหลวงมิใช่สถานที่ที่ผู้ใดจะเข้ามาได้ง่ายๆ พวกเขาแน่ใจว่าไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน และก็ไม่มีอาจารย์ฝึกผู้ใดหน้าตาแบบนี้
คนผู้นี้เป็นใครกัน
ทันใดนั้น พวกเขานึกถึงความไปได้อย่างหนึ่ง
นักเรียนคนที่หัวเข่าถูกหินกระแทกใส่ ถูกประคองโดยเพื่อนนักเรียน เขาฝืนใช้ขาซ้ายยืนขึ้น จู่ๆ ขาก็อ่อน และล้มลงนั่งลงบนพื้น
สีหน้าของนักเรียนหนุ่มคนที่เหลือจู่ๆ ก็ซีดขาวอย่างหาใดเทียบได้ ซีดขาวยิ่งกว่าหิมะที่ทับถมเหล่าที่ที่นอกป่าเสียอีก
……
……
ส่วนที่ลึกที่สุดของสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ด้านตะวันตกของสำนักฝึกหลวง
ซูม่ออวี๋มองไปยังอาจารย์ฝึกที่อยู่เบื้องหน้า แววตาปรากฏความเกลียดชังและความโกรธออกมา สุดท้ายก็กดมันลงไป เขามองไปข้างหน้าต่างก่อนเอ่ย “อีกสักครู่จะมีการประชุมสำนักฝึกหลวง จะมีการว่ากล่าวตักเตือน นักเรียนเหล่านั้นจะต้องถูกลงโทษตามกฎ
อาจารย์ฝึกผู้นั้นก้มหน้า เอาแต่เช็ดน้ำตาไม่หยุด บางครั้งก็อดไม่ไหวเงยหน้ามองนอกหน้าต่าง
นอกหน้าต่างนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่
ที่แท้ท่านใต้เท้าสังฆราชอ่อนวัยถึงเพียงนี้ ที่แท้ท่านใต้เท้าสังฆราชมีความหลังกับจวนเซวีย
ในปีนั้นเฉินฉางเซิงเป็นธุระจัดการเรื่องงานศพให้แก่เซวียสิ่งชวน ทั้งเมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่ทราบ ไม่มีผู้ใดไม่รู้ แต่หลายคนล้วนเข้าใจว่านั่นเป็นเพียงอคติส่วนตัว
อาจารย์ฝึกรู้สึกเสียใจมาก
เฉินฉางเซิงหันกลับมา มองไปยังซูม่ออวี๋ สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่อารมณ์ในใจแตกต่างไปเล็กน้อย
การจัดการของซูม่ออวี๋ค่อนข้างเบา แต่ยังพอเข้าใจได้ เขาไม่เคยคิด หากตนออกหน้า อาจารย์ฝึกผู้นี้และนักเรียนหนุ่มเหล่านั้นต้องได้รับโทษความรับผิดชอบที่หนักขึ้นแน่นอน แต่เขายังคงไม่เข้าใจ คนที่หนักแน่น เถรตรง จริงจังและรอบคอบอย่างซูม่ออวี๋เช่นนี้ เหตุใดจึงให้เรื่องเยี่ยงนี้เกิดขึ้นในสำนักฝึกหลวงได้
ซูม่ออวี๋ น่าจะแจ้งแก่ใจยิ่งนักบุตรชายเซวียสิ่งชวนได้เข้ามาเรียนหนังสือในสำนักฝึกหลวงเป็นการจัดการของเขา
และขณะที่กำลังจัดการเรื่องนี้อยู่ ราวกับซูม่ออวี๋ กำลังมีอะไรที่ลำบากใจอยู่
ที่นี่คือสำนักฝึกหลวง หากต้องการจัดการอาจารย์ฝึกท่านหนึ่งและนักเรียนสิบกว่าคน มันมีอะไรที่ต้องลำบากใจกันเล่า
เฉินฉางเซิง มองไปยังอาจารย์ฝึกท่านนั้นจู่ๆ ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายหน้าตาคุ้นยิ่งนัก
หลังจากนั้นจู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องเก่าเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
สามปีก่อนสำนักฝึกหลวงถูกทหารม้าเกราะล้อมเอาไว้โดยลูกศิษย์สถานศึกษาหนานซีและซูม่ออวี๋ป้องกันประตูโรงเรียนเอาไว้ ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งนัก
ขณะที่หลินกงกงผู้เฒ่าเตรียมที่จะพังสำนักฝึกหลวง นักเรียนสิบกว่าคน และยังมีอาจารย์ฝึกหลายคนหลบหนีไปทางประตูหลัง
ซูม่ออวี๋ขณะนั้นจดรายชื่อนักเรียนและอาจารย์ฝึกเหล่านั้นไว้ทั้งสิ้น หลังจบเรื่องเฉินฉางเซิงก็เคยดูรายชื่อพวกนั้น
หากเขาจำไม่ผิดละก็ เวลานี้อาจารย์ฝึกที่อยู่ตรงหน้า ก็คือหนึ่งในคนเหล่านั้น
คนผู้นี้กล้ากลับมายังสำนักฝึกหลวงหรือ
หรือว่าอาจารย์ฝึกและนักเรียนเหล่านั้นก็ล้วนกลับมายังสำนักฝึกหลวงหรือนี่
สำนักฝึกหลวงเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เฉินฉางเซิงมองไปยังซูม่ออวี๋ “ผู้ใดให้เขากลับมากัน”
ซูม่ออวี๋ทราบดีว่าเขานั้นจดจำได้แล้ว จึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เตรียมจะอธิบายเรื่องนี้
“เหมยชวน อาจารย์ แห่งสำนักฝึกหลวง คารวะท่านใต้เท้าสังฆราช”
ด้านนอกเกิดเสียงดังขึ้น
เฉินฉางเซิงมองไปทางซูม่ออวี๋
ซูม่ออวี๋พยักหน้า สีหน้าของเขาซับซ้อนยิ่งนัก