……
“ข้าเองที่อนุญาตให้อาจารย์ท่านนี้และนักเรียนเหล่านั้นกลับมา”
เกี่ยวกับเด็กบ้านตระกูลเซวีย เขาก็เคยมารายงานข้า”
“หากมีอะไรผิดพลาด ก็ผิดพลาดที่ข้า ขอท่านใต้เท้าสังฆราชได้โปรดให้อภัย”
ทั้งสามประโยคนี้ สายตาที่เขามองไปยังอาจารย์ที่ชื่อเหมยชวนก็เปลี่ยนไป
ว่าจากคำกล่าวของอาจารย์เหมยชวนอ่อนโยนยิ่งนัก จิตใจสง่าผ่าเผย มารยาทจรรยาก็งดงามต่อให้ฝ่ายตรงข้ามที่สนทนาด้วยคือเฉินฉางเซิง ก็ยังคงมีความรู้สึกไม่เย่อหยิ่งจองหอง
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าในตัวคนผู้นี้มีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก คำถามที่สำคัญก็คือสำนักฝึกหลวงมีอาจารย์เพิ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ซูม่ออวี๋เอ่ย “ท่านเป็นอาจารย์ เหตุใดจึงปล่อยให้นักเรียนเหล่านั้นกระทำความผิดโดยไม่ขัดขวางห้ามปราม ท่านไม่เพียงไม่ลงโทษแต่กลับปกป้องคนผิดหรือ”
อาจารย์เหมยชวนเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “สำนักฝึกรวมเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์จะยินยอมให้บุตรหลานของขุนนางกบฏมาดูหมิ่นได้อย่างไร ข้าทำเยี่ยงนี้ ล้วนมองในมุมของสำนักทั้งสิ้น”
เฉินฉางเซิงมองไปยังอาจารย์เหมยชวน ความรู้สึกคุ้นเคยนี้จริงปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อยเรื่อย
อาจารย์เหมยชวนยกยิ้ม เตรียมตัวที่จะอภิปรายความคิดของตนเอง
เขาดูสงบนิ่งยิ่งนัก อันที่จริงแล้วยังคงมีความประหวั่นเล็กน้อย อย่างไรเสียเรื่องราวเหล่านี้ที่เขาทำลงไป มันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะผิดใจต่อท่านใต้เท้าสังฆราช
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เขายังเตรียมที่จะอาศัยเรื่องนี้รวมไปถึงคำโต้แย้งเหล่านี้ที่ติดตามมา ประกอบกับความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองฝ่าย ในการหาผลประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้นไปอีก
ที่น่าเสียดายก็คือ เฉินฉางเซิงไม่ได้ให้โอกาสเขาในการพูดต่อ
ราวกับเฉินฉางเซิงมีความรู้สึกบางอย่างหากว่าเขาสนทนากับอีกฝ่ายต่อไป สุดท้ายแล้วอาจจะได้ผลลัพธ์ที่ตนไม่ยินดีจะยอมรับก็เป็นได้
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ อาจารย์เหมยชวนผู้นี้ก่อนที่จะปรากฏตัวได้เตรียมวิถีและจังหวะคำพูดฉากนี้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว
คนที่ขัดขวางจังหวะและความคืบหน้าของการสนทนาได้ดีที่สุด มักเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล กำแหงใหญ่โต
เฉินฉางเซิงทำไม่ได้ แต่สำนักฝึกหลวงแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยขาดคนอย่างนี้
เขามองไปทางซูม่ออวี๋ก่อนเอ่ยถาม “เขาเล่า”
ซูม่ออวี๋ชี้ไปทางด้านหลังก่อนเอ่ย “เมื่อคืนดื่มไปมาก กำลังนอนหลับอยู่ด้านใน”
“เรียกให้ตื่น” เฉินฉางเซิงเอ่ย “นี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ผู้คุมกฎสำนักควรจะดูแล”
ผู้คุมกฎสำนักฝึกหลวง ก็คือถังซานสือลิ่ว
เมื่อพูดถึงคำว่าไม่ฟังเหตุผลสี่คำนี้ ก็คงไม่มีใครเชี่ยวชาญไปมากกว่าเขาจริงๆ ผู้ใดใช้ให้เขามีเงินกันเล่า
ถังซานสือลิ่ว ขยี้ตาคลุม ชุดนอนแล้วเดินจึงเข้ามาในห้อง เมื่อได้ยินการเล่าเรื่องแบบรวบรัดจากซูม่ออวี๋แล้ว จึงหาวเสียที
หลังจากนั้นเขาถึงมองไปยังอาจารย์ที่ปล่อยให้นักเรียนเหล่านั้นทำร้ายรังแกเซวียเยี่ยจิ่น ก่อนเอ่ย “ไสหัวไป”
เสียงของเขาไม่ได้ดังก้องสนั่น แน่นอนว่าไม่เหมือนกับเสียงฟ้าผ่า เพียงแต่มันก้องกังวาน ราวกับเสียงกัดหัวไชเท้าที่แช่เอาไว้ทั้งคืน
อาจารย์ฝึกผู้นั้นเหงื่อไหลราวกับของเหลวหลั่งริน มองไปทางอาจารย์เหมยชวน ไม่กล้าชักช้าอยู่ เร่งรุดถอยออกไป
สามปีก่อน เขาก็ได้มาเป็นอาจารย์ที่สำนักฝึกหลวงแห่งนี้ แจ้งแก่ใจยิ่งนักว่านิสัยใจคอของผู้คุมกฎท่านนี้เป็นอย่างไร
หากตอนนี้เขาไม่รีบจากไป หลังจากนั้นก็ใสหัวไปให้ไกลจากสำนักฝึกหลวง ถ้าอย่างนั้นชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่มีโอกาสจะได้ใสหัวไปที่ไหนอีก
อาจารย์เหมยชวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับไม่เคยคิดว่าคุณชายตระกูลถังที่ยังหนุ่มผู้นี้จะมีอำนาจบารมีในสำนักฝึกหลวงถึงเพียงนี้
ถังซานสือลิ่วมองไปที่เขา
อาจารย์เหมยชวนเตรียมใจเอาไว้แล้ว เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยว่า ไสหัวไป ตนนั้นควรยกยิ้มอย่างไร ถึงจะดูแล้วไม่ใส่ใจ
แต่ถังซานสือลิ่วไม่ได้เอ่ยคำนั้น แต่กลับถามออกมาว่า “เจ้านี่ใคร”
อาจารย์เหมยชวนชะงักไปครู่ใหญ่ถึงจะได้สติกลับมา ก่อนตอบว่า “ข้าเป็นอาจารย์ของสำนักฝึกหลวง”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “สำนักฝึกหลวงมีอาจารย์เพิ่มขึ้นมาเมื่อไหร่กัน เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่อง”
สามารถได้รับเลือกจากสำนักการศึกษากลางส่งมาเป็นอาจารย์ที่สำนักฝึกหลวงสถานที่ที่มีความสำคัญถึงเพียงนี้ ที่มาของอาจารย์เหมยชวนคงไม่ธรรมดาเป็นแน่
ดังนั้นถังซานสือลิ่วจึงไม่คิดที่จะถามที่มาที่ไปของอีกฝ่าย และก็ไม่คิดที่จะให้โอกาสอีกฝ่ายในการเอ่ยสิ่งใด
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมเฉินฉางเซิงถึงต้องให้เขาออกหน้า
แต่ปฏิกิริยาตอบโต้ของอาจารย์เหมยชวนก็ยังเร็วกว่าที่คิดเอาไว้มาก
เค้าไม่ได้สนใจในถังซานสือลิ่ว เขามองไปยังเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ย “เนื่องด้วยท่านใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาเป็นลุงของข้า”
ที่แท้ก็เป็นหลานชายของใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซา
อย่างนี้นี่เอง
เมื่อความคาดเอาของเฉินฉางเซิงได้รับการยืนยัน แน่นอนว่าก็เข้าใจว่าเหตุใดซูม่ออวี๋ถึงได้ลำบากใจถึงเพียงนี้
ทั่วทั้งดินแดนล้วนทราบดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างมุขนายกเหมยหลี่ซากับสำนักฝึกหลวงและเขา
ในห้องเงียบอยู่นาน
“ข้าอยากจะถามสักข้อ”
ถังซานสือลิ่วมองไปยังอาจารย์เหมยชวนก่อนเอ่ย “เหตุใดเจ้ายินยอมให้อาจารย์ฝึกและนักเรียนเหล่านั้นกลับมา”
อาจารย์เหมยชวนสีหน้าไม่เปลี่ยน เอ่ยตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “นี่เป็นการตัดสินใจของสำนักการศึกษากลางต้องรับราชโองการจากฝ่าบาท”
คำพูดนี้ไม่ผิดนัก
สำนักฝึกหลวงถือเป็นหนึ่งในหกสำนักไม้เลื้อย ถูกควบคุมโดยตรงจากพระราชวังหลี แต่ก็เนื่องด้วยอยู่ในเมืองหลวง อยู่บนแผ่นดินต้าโจว
คำถามก็คือ ผู้ใดล้วนทราบว่านี่ต้องมิใช่พระประสงค์ของฝ่าบาทเป็นแน่ อาจจะเป็นเจตนาของซางสิงโจว”
ถังซานสือลิ่วแสดงออกมาสงบนิ่งยิ่งนัก เขาเอ่ยกับอาจารย์เหมยชวนว่า “รบกวนท่านออกไปข้างนอกสักครู่พวกเราขอปรึกษาหารือกันหน่อย”
อาจารย์เหมยชวนยกยิ้มก่อนเอ่ย “แน่นอนขอรับ”
เมื่อเอ่ยคำนี้จบ เขาแสดงความเคารพต่อเฉินฉางเซิง หลังจากนั้นจึงถอยออกไป
ในห้องนั้นกลับมาเงียบเป็นเวลานานอีกครั้ง
ถังซานสือลิ่วมองไปยังเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงเงียบไม่พูดจา
ม่ออวี่ไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้ในจดหมาย เนื่องจากนางมิใช่คนของสำนักฝึกหลวง ไม่มีทางทราบได้ว่ามีคลื่นอะไรซ่อนอยู่ใต้น้ำบ้าง
แต่พวกเขาทราบดีว่า ปัญหาอยู่ที่สำนักการศึกษากลาง
สำนักการศึกษากลางควบคุมหกสำนักไม่เลื้อย ที่นั่นคือโถงศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญที่สุดในพระราชวังหลี สถานะในสำนักฝึกหลวงค่อนข้างพิเศษเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ควบคุมทั้งสองรุ่นก่อนหน้า เหมยหลี่ซาและเหมาชิวอวี่ ล้วนเป็นมุขนายกที่มีฐานะสูงที่สุดประสบการณ์โชกโชนที่สุด
สำนักการศึกษากลางถือเป็นขั้วอำนาจเดิมของสำนักฝึกหลวง มีการต่อกรกับราชันดิ์แห่งหลิงไห่ นักพรตซือหยวนที่ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ของสำนักฝึกหลวงมาหลายปี
ระหว่างการคัดเลือกผู้เรียนใหม่ สำนักการศึกษากลางและมุขนายกเหมยหลี่ซาถือว่ามีหน้าที่ที่สำคัญมากทีเดียว
ในสายตาคนทั่วไป สำนักการศึกษากลางแน่นอนว่าน่าจะเหมือนกับในอดีตเช่นนั้น ที่สนับสนุนสำนักฝึกหลวง สนับสนุนเฉินฉางเซิงที่ได้กลายเป็นใต้เท้าสังฆราชแล้ว
เฉินฉางเซิงกลับแจ้งแก่ใจว่าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ในคราแรกขั้วอำนาจเดิมที่สนับสนุนสำนักฝึกหลวง มิใช่เพราะเขา แต่เพราะอาจารย์ของเขา
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาสนับสนุนอาจารย์ของเขามาตลอด
สำหรับพวกเขาแล้ว สำนักฝึกหลวงแต่ไหนแต่ไรก็มิใช่ของเฉินฉางเซิง แต่ก็มิใช่ของเหล่าคนหนุ่มอย่างถังซานสือลิ่วนี้
ตั้งแต่ต้นจนจบสำนักฝึกหลวงควรจะเป็นของซางสิงโจว สหายเดิมที่พลีชีพในตอนนั้น
ในเวลาสามปีที่เฉินฉางเซิงจากเมืองหลวงไป ค่ายกลพระราชวังหลีปิดตัวเอง ผู้ใดอยากยื่นมือเข้าไปก็ล้วนยากทั้งสิ้น
แต่สำนักการศึกษากลางอยู่ด้านนอกพระราชวังหลี อยู่ภายใต้อำนาจและบารมีของซางสิงโจว ขั้วอำนาจเดิมของสำนักฝึกหลวงนับวันยิ่งมีอำนาจขึ้นเรื่อยๆ
ซูม่ออวี๋อดทนมาได้ถึงทุกวันนี้ นับว่าไม่ง่ายแล้ว
ถังซานสือลิ่วมองไปยังซูม่ออวี๋ก่อนเอ่ยถาม “เจ้าสำนักเหมาเล่า”
นี่คือปัญหาที่เขากังวลที่สุด
ซูม่ออวี๋เอ่ย “เจ้าสำนักเหมาเร้นกายบำเพ็ญมานานแล้ว เรื่องเหล่านี้น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเขา”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ไม่ว่าถังซานสือลิ่วหรือว่าเฉินฉางเซิงล้วนลอบถอนหายใจ
แต่ปัญหาที่สำนักฝึกหลวงกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ช่างยากที่จะแก้ไขนัก
วิธีการของสำนักการศึกษากลางหรือว่าซางสิงโจวเองช่างช่ำชองและชั่วร้ายนัก
แม้แต่ถังซานสือลิ่วเองยังไม่มีทางที่จะตะโกนไล่ให้อีกฝ่ายใส่หัวไปได้เลย
อย่างไรเสียเหมยชวน ก็เป็นญาติของมุขนายกเหมยหลี่ซา
ถังซานสือลิ่วเงียบอยู่นานก่อนเอ่ยขึ้นว่า “แต่ที่นี่คือสำนักฝึกหลวงนะ”
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ใช่”
ถังซานสือลิ่ว เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่ได้บอกให้เขาไสหัวไป เป็นเพราะข้าทราบดีว่าไม่มีประโยชน์”
เฉินฉางเซิงเงียบไปอีกครั้งก่อนเอ่ย “ใช่”
ถังซานสือลิ่วหันหน้าเดินออกห้องไป
ซูม่ออวี๋ราวกับคาดเดาได้ว่าถังซานสือลิ่วกำลังจะทำอะไร สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที และเขาก็ลุกขึ้นมาเตรียมจะหยุดยั้งเขา
แต่เฉินฉางเซิงไม่ได้พูดอะไรอีก
น้ำเสียงของซูม่ออวี๋สั่นเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “ต้องทำถึงเพียงนี้เลยหรือ”