ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 9 ตัดมือ (1)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

……

“ข้าเองที่อนุญาตให้อาจารย์ท่านนี้และนักเรียนเหล่านั้นกลับมา”

เกี่ยวกับเด็กบ้านตระกูลเซวีย เขาก็เคยมารายงานข้า”

“หากมีอะไรผิดพลาด ก็ผิดพลาดที่ข้า ขอท่านใต้เท้าสังฆราชได้โปรดให้อภัย”

ทั้งสามประโยคนี้ สายตาที่เขามองไปยังอาจารย์ที่ชื่อเหมยชวนก็เปลี่ยนไป

ว่าจากคำกล่าวของอาจารย์เหมยชวนอ่อนโยนยิ่งนัก จิตใจสง่าผ่าเผย มารยาทจรรยาก็งดงามต่อให้ฝ่ายตรงข้ามที่สนทนาด้วยคือเฉินฉางเซิง ก็ยังคงมีความรู้สึกไม่เย่อหยิ่งจองหอง

เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าในตัวคนผู้นี้มีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก คำถามที่สำคัญก็คือสำนักฝึกหลวงมีอาจารย์เพิ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

ซูม่ออวี๋เอ่ย “ท่านเป็นอาจารย์ เหตุใดจึงปล่อยให้นักเรียนเหล่านั้นกระทำความผิดโดยไม่ขัดขวางห้ามปราม ท่านไม่เพียงไม่ลงโทษแต่กลับปกป้องคนผิดหรือ”

อาจารย์เหมยชวนเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “สำนักฝึกรวมเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์จะยินยอมให้บุตรหลานของขุนนางกบฏมาดูหมิ่นได้อย่างไร ข้าทำเยี่ยงนี้ ล้วนมองในมุมของสำนักทั้งสิ้น”

เฉินฉางเซิงมองไปยังอาจารย์เหมยชวน ความรู้สึกคุ้นเคยนี้จริงปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อยเรื่อย

อาจารย์เหมยชวนยกยิ้ม เตรียมตัวที่จะอภิปรายความคิดของตนเอง

เขาดูสงบนิ่งยิ่งนัก อันที่จริงแล้วยังคงมีความประหวั่นเล็กน้อย อย่างไรเสียเรื่องราวเหล่านี้ที่เขาทำลงไป มันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะผิดใจต่อท่านใต้เท้าสังฆราช

ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เขายังเตรียมที่จะอาศัยเรื่องนี้รวมไปถึงคำโต้แย้งเหล่านี้ที่ติดตามมา ประกอบกับความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองฝ่าย ในการหาผลประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้นไปอีก

ที่น่าเสียดายก็คือ เฉินฉางเซิงไม่ได้ให้โอกาสเขาในการพูดต่อ

ราวกับเฉินฉางเซิงมีความรู้สึกบางอย่างหากว่าเขาสนทนากับอีกฝ่ายต่อไป สุดท้ายแล้วอาจจะได้ผลลัพธ์ที่ตนไม่ยินดีจะยอมรับก็เป็นได้

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ อาจารย์เหมยชวนผู้นี้ก่อนที่จะปรากฏตัวได้เตรียมวิถีและจังหวะคำพูดฉากนี้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว

คนที่ขัดขวางจังหวะและความคืบหน้าของการสนทนาได้ดีที่สุด มักเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล กำแหงใหญ่โต

เฉินฉางเซิงทำไม่ได้ แต่สำนักฝึกหลวงแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยขาดคนอย่างนี้

เขามองไปทางซูม่ออวี๋ก่อนเอ่ยถาม “เขาเล่า”

ซูม่ออวี๋ชี้ไปทางด้านหลังก่อนเอ่ย “เมื่อคืนดื่มไปมาก กำลังนอนหลับอยู่ด้านใน”

“เรียกให้ตื่น” เฉินฉางเซิงเอ่ย “นี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ผู้คุมกฎสำนักควรจะดูแล”

ผู้คุมกฎสำนักฝึกหลวง ก็คือถังซานสือลิ่ว

เมื่อพูดถึงคำว่าไม่ฟังเหตุผลสี่คำนี้ ก็คงไม่มีใครเชี่ยวชาญไปมากกว่าเขาจริงๆ ผู้ใดใช้ให้เขามีเงินกันเล่า

ถังซานสือลิ่ว ขยี้ตาคลุม ชุดนอนแล้วเดินจึงเข้ามาในห้อง เมื่อได้ยินการเล่าเรื่องแบบรวบรัดจากซูม่ออวี๋แล้ว จึงหาวเสียที

หลังจากนั้นเขาถึงมองไปยังอาจารย์ที่ปล่อยให้นักเรียนเหล่านั้นทำร้ายรังแกเซวียเยี่ยจิ่น ก่อนเอ่ย “ไสหัวไป”

เสียงของเขาไม่ได้ดังก้องสนั่น แน่นอนว่าไม่เหมือนกับเสียงฟ้าผ่า เพียงแต่มันก้องกังวาน ราวกับเสียงกัดหัวไชเท้าที่แช่เอาไว้ทั้งคืน

อาจารย์ฝึกผู้นั้นเหงื่อไหลราวกับของเหลวหลั่งริน มองไปทางอาจารย์เหมยชวน ไม่กล้าชักช้าอยู่ เร่งรุดถอยออกไป

สามปีก่อน เขาก็ได้มาเป็นอาจารย์ที่สำนักฝึกหลวงแห่งนี้ แจ้งแก่ใจยิ่งนักว่านิสัยใจคอของผู้คุมกฎท่านนี้เป็นอย่างไร

หากตอนนี้เขาไม่รีบจากไป หลังจากนั้นก็ใสหัวไปให้ไกลจากสำนักฝึกหลวง ถ้าอย่างนั้นชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่มีโอกาสจะได้ใสหัวไปที่ไหนอีก

อาจารย์เหมยชวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับไม่เคยคิดว่าคุณชายตระกูลถังที่ยังหนุ่มผู้นี้จะมีอำนาจบารมีในสำนักฝึกหลวงถึงเพียงนี้

ถังซานสือลิ่วมองไปที่เขา

อาจารย์เหมยชวนเตรียมใจเอาไว้แล้ว เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยว่า ไสหัวไป ตนนั้นควรยกยิ้มอย่างไร ถึงจะดูแล้วไม่ใส่ใจ

แต่ถังซานสือลิ่วไม่ได้เอ่ยคำนั้น แต่กลับถามออกมาว่า “เจ้านี่ใคร”

อาจารย์เหมยชวนชะงักไปครู่ใหญ่ถึงจะได้สติกลับมา ก่อนตอบว่า “ข้าเป็นอาจารย์ของสำนักฝึกหลวง”

ถังซานสือลิ่วเอ่ย “สำนักฝึกหลวงมีอาจารย์เพิ่มขึ้นมาเมื่อไหร่กัน เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่อง”

สามารถได้รับเลือกจากสำนักการศึกษากลางส่งมาเป็นอาจารย์ที่สำนักฝึกหลวงสถานที่ที่มีความสำคัญถึงเพียงนี้ ที่มาของอาจารย์เหมยชวนคงไม่ธรรมดาเป็นแน่

ดังนั้นถังซานสือลิ่วจึงไม่คิดที่จะถามที่มาที่ไปของอีกฝ่าย และก็ไม่คิดที่จะให้โอกาสอีกฝ่ายในการเอ่ยสิ่งใด

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมเฉินฉางเซิงถึงต้องให้เขาออกหน้า

แต่ปฏิกิริยาตอบโต้ของอาจารย์เหมยชวนก็ยังเร็วกว่าที่คิดเอาไว้มาก

เค้าไม่ได้สนใจในถังซานสือลิ่ว เขามองไปยังเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ย “เนื่องด้วยท่านใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาเป็นลุงของข้า”

ที่แท้ก็เป็นหลานชายของใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซา

อย่างนี้นี่เอง

เมื่อความคาดเอาของเฉินฉางเซิงได้รับการยืนยัน แน่นอนว่าก็เข้าใจว่าเหตุใดซูม่ออวี๋ถึงได้ลำบากใจถึงเพียงนี้

ทั่วทั้งดินแดนล้วนทราบดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างมุขนายกเหมยหลี่ซากับสำนักฝึกหลวงและเขา

ในห้องเงียบอยู่นาน

“ข้าอยากจะถามสักข้อ”

ถังซานสือลิ่วมองไปยังอาจารย์เหมยชวนก่อนเอ่ย “เหตุใดเจ้ายินยอมให้อาจารย์ฝึกและนักเรียนเหล่านั้นกลับมา”

อาจารย์เหมยชวนสีหน้าไม่เปลี่ยน เอ่ยตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “นี่เป็นการตัดสินใจของสำนักการศึกษากลางต้องรับราชโองการจากฝ่าบาท”

คำพูดนี้ไม่ผิดนัก

สำนักฝึกหลวงถือเป็นหนึ่งในหกสำนักไม้เลื้อย ถูกควบคุมโดยตรงจากพระราชวังหลี แต่ก็เนื่องด้วยอยู่ในเมืองหลวง อยู่บนแผ่นดินต้าโจว

คำถามก็คือ ผู้ใดล้วนทราบว่านี่ต้องมิใช่พระประสงค์ของฝ่าบาทเป็นแน่ อาจจะเป็นเจตนาของซางสิงโจว”

ถังซานสือลิ่วแสดงออกมาสงบนิ่งยิ่งนัก เขาเอ่ยกับอาจารย์เหมยชวนว่า “รบกวนท่านออกไปข้างนอกสักครู่พวกเราขอปรึกษาหารือกันหน่อย”

อาจารย์เหมยชวนยกยิ้มก่อนเอ่ย “แน่นอนขอรับ”

เมื่อเอ่ยคำนี้จบ เขาแสดงความเคารพต่อเฉินฉางเซิง หลังจากนั้นจึงถอยออกไป

ในห้องนั้นกลับมาเงียบเป็นเวลานานอีกครั้ง

ถังซานสือลิ่วมองไปยังเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงเงียบไม่พูดจา

ม่ออวี่ไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้ในจดหมาย เนื่องจากนางมิใช่คนของสำนักฝึกหลวง ไม่มีทางทราบได้ว่ามีคลื่นอะไรซ่อนอยู่ใต้น้ำบ้าง

แต่พวกเขาทราบดีว่า ปัญหาอยู่ที่สำนักการศึกษากลาง

สำนักการศึกษากลางควบคุมหกสำนักไม่เลื้อย ที่นั่นคือโถงศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญที่สุดในพระราชวังหลี สถานะในสำนักฝึกหลวงค่อนข้างพิเศษเป็นอย่างยิ่ง

ผู้ควบคุมทั้งสองรุ่นก่อนหน้า เหมยหลี่ซาและเหมาชิวอวี่ ล้วนเป็นมุขนายกที่มีฐานะสูงที่สุดประสบการณ์โชกโชนที่สุด

สำนักการศึกษากลางถือเป็นขั้วอำนาจเดิมของสำนักฝึกหลวง มีการต่อกรกับราชันดิ์แห่งหลิงไห่ นักพรตซือหยวนที่ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ของสำนักฝึกหลวงมาหลายปี

ระหว่างการคัดเลือกผู้เรียนใหม่ สำนักการศึกษากลางและมุขนายกเหมยหลี่ซาถือว่ามีหน้าที่ที่สำคัญมากทีเดียว

ในสายตาคนทั่วไป สำนักการศึกษากลางแน่นอนว่าน่าจะเหมือนกับในอดีตเช่นนั้น ที่สนับสนุนสำนักฝึกหลวง สนับสนุนเฉินฉางเซิงที่ได้กลายเป็นใต้เท้าสังฆราชแล้ว

เฉินฉางเซิงกลับแจ้งแก่ใจว่าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

ในคราแรกขั้วอำนาจเดิมที่สนับสนุนสำนักฝึกหลวง มิใช่เพราะเขา แต่เพราะอาจารย์ของเขา

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาสนับสนุนอาจารย์ของเขามาตลอด

สำหรับพวกเขาแล้ว สำนักฝึกหลวงแต่ไหนแต่ไรก็มิใช่ของเฉินฉางเซิง แต่ก็มิใช่ของเหล่าคนหนุ่มอย่างถังซานสือลิ่วนี้

ตั้งแต่ต้นจนจบสำนักฝึกหลวงควรจะเป็นของซางสิงโจว สหายเดิมที่พลีชีพในตอนนั้น

ในเวลาสามปีที่เฉินฉางเซิงจากเมืองหลวงไป ค่ายกลพระราชวังหลีปิดตัวเอง ผู้ใดอยากยื่นมือเข้าไปก็ล้วนยากทั้งสิ้น

แต่สำนักการศึกษากลางอยู่ด้านนอกพระราชวังหลี อยู่ภายใต้อำนาจและบารมีของซางสิงโจว ขั้วอำนาจเดิมของสำนักฝึกหลวงนับวันยิ่งมีอำนาจขึ้นเรื่อยๆ

ซูม่ออวี๋อดทนมาได้ถึงทุกวันนี้ นับว่าไม่ง่ายแล้ว

ถังซานสือลิ่วมองไปยังซูม่ออวี๋ก่อนเอ่ยถาม “เจ้าสำนักเหมาเล่า”

นี่คือปัญหาที่เขากังวลที่สุด

ซูม่ออวี๋เอ่ย “เจ้าสำนักเหมาเร้นกายบำเพ็ญมานานแล้ว เรื่องเหล่านี้น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเขา”

เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ไม่ว่าถังซานสือลิ่วหรือว่าเฉินฉางเซิงล้วนลอบถอนหายใจ

แต่ปัญหาที่สำนักฝึกหลวงกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ช่างยากที่จะแก้ไขนัก

วิธีการของสำนักการศึกษากลางหรือว่าซางสิงโจวเองช่างช่ำชองและชั่วร้ายนัก

แม้แต่ถังซานสือลิ่วเองยังไม่มีทางที่จะตะโกนไล่ให้อีกฝ่ายใส่หัวไปได้เลย

อย่างไรเสียเหมยชวน ก็เป็นญาติของมุขนายกเหมยหลี่ซา

ถังซานสือลิ่วเงียบอยู่นานก่อนเอ่ยขึ้นว่า “แต่ที่นี่คือสำนักฝึกหลวงนะ”

เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ใช่”

ถังซานสือลิ่ว เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่ได้บอกให้เขาไสหัวไป เป็นเพราะข้าทราบดีว่าไม่มีประโยชน์”

เฉินฉางเซิงเงียบไปอีกครั้งก่อนเอ่ย “ใช่”

ถังซานสือลิ่วหันหน้าเดินออกห้องไป

ซูม่ออวี๋ราวกับคาดเดาได้ว่าถังซานสือลิ่วกำลังจะทำอะไร สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที และเขาก็ลุกขึ้นมาเตรียมจะหยุดยั้งเขา

แต่เฉินฉางเซิงไม่ได้พูดอะไรอีก

น้ำเสียงของซูม่ออวี๋สั่นเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “ต้องทำถึงเพียงนี้เลยหรือ”