บทที่ 599.2 หมัดเดียวต่อยให้เถ้าแก่รองล้มคว่ำ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด และยังมีอีกข้อหนึ่ง การที่ข้าหันไปขายพัดพับแทนนั้นก็เพราะหวังว่าจะสามารถปกปิดความตั้งใจของตัวเองเอาไว้ได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเซียนกระบี่คนใดมองออกแล้วรู้สึกว่าคนผู้นี้กลอุบายลึกล้ำเกินไป จึงรู้สึกรังเกียจขึ้นมา แต่หากทำถึงขั้นนี้แล้วยังถูกคนจับได้ อันที่จริงก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ควรแสวงหาความสมบูรณ์แบบกับทุกเรื่อง ถึงท้ายที่สุดแล้วก็จะต้องมีโอกาสที่เซียนกระบี่บางท่านจะขบคิดได้ แล้วด่าขำๆ ว่าไอ้เด็กนี่เจ้าเล่ห์นัก แล้วทำไมพวกเขาถึงจะไม่ถือสา? ก็เพราะนับตั้งแต่แรกเริ่มมา คนที่ข้าหวังให้ได้ตราประทับและพัดพับทุกชิ้นของข้าไปครอง ล้วนไม่ใช่พวกผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่ความคิดจิตใจโปร่งใสเป็นที่สุด และประสบการณ์ชีวิตก็โชกโชนอย่างที่สุดอยู่แล้ว แน่นอนว่าในบรรดาคนเหล่านี้ หากมีใครที่มองความจริงออกแต่กลับไม่เปิดโปง หรือถึงขั้นยังยินดีที่จะเก็บตราประทับบางชิ้นที่ถูกชะตาเอาไว้ ข้าก็จะยิ่งเคารพเลื่อมใสเขาจากใจจริง หากมีโอกาสล่ะก็ ข้ายังจะพูดกับเขาต่อหน้าว่า ‘ใช้วิธีการต่ำช้าขายความรู้ เป็นผู้น้อยที่เสียมารยาท’ด้วย”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “ความคิดรอบคอบรัดกุม รับมือได้อย่างเหมาะสม”

เฉินผิงอันตบไหล่ฉีจิ่งหลงหนักๆ “ไม่เสียแรงที่เป็นคนซึ่งเคยไปเยือนภูเขาลั่วพั่วของข้า! ไปไม่เสียเที่ยวเลย! แต่เจ้าลูกกระต่ายป๋ายโส่วนั่นใช้ไม่ได้ หัวทึ่มไปสักหน่อย ได้แต่เรียนรู้มาอย่างผิวเผิน คำพูดของเขาก่อนหน้านี้น่ะเรียกว่ากลับลำอย่างแข็งทื่อ ช่วยให้เสียเรื่องซะมากกว่า”

ฉีจิ่งหลงกระดกเหล้าดื่มด้วยตัวเองอย่างที่หาได้ยาก มองไปยังทิศทางของร้านเหล้า ที่นั่นนอกจากผู้ฝึกกระบี่และสุราแล้ว ยังมีตรอกเหยียนชือ ตรอกหลิงซี ฯลฯ และยังมีเด็กๆ หลายคนที่ตลอดชีวิตได้เห็นมาดของเซียนกระบี่มาจนเอียน แต่กลับไม่เคยรู้ถึงขนบธรรมเนียมของใต้หล้าไพศาลแม้แต่น้อย ฉีจิ่งหลงเช็ดมุมปาก พูดเสียงทุ้มหนักว่า “หากไม่มีเวลาหลายสิบปี หรือถึงขั้นเป็นร้อยปี เจ้าทำอย่างนี้ย่อมมีความหมายไม่มาก”

เฉินผิงอันเงียบงันไปนาน สุดท้ายก็เอ่ยว่า “หากไม่ทำอะไรบ้างเลย ในใจคงอึดอัดมากอย่างแน่นอน เรื่องนี้ก็เรียบง่ายเพียงเท่านี้ ข้าไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนนัก”

ฉีจิ่งหลงชูกาเหล้าขึ้นมาราวกับต้องการชนกับกาของเฉินผิงอันแล้วดื่มให้เต็มคราบ

ผลคือเฉินผิงอันพูดอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “ข้าผู้อาวุโสต้องใช้กลยุทธทั้งหมดที่มี เปลืองแรงไปมหาศาลกว่าจะหลอกเอาเหล้าสองกานี้มาจากร้านเหล้าได้ กาหนึ่งให้เจ้า อีกกาหนึ่งป๋ายโส่วก็เอาไปแล้ว เจ้าคิดว่าข้าเป็นเทพเซียน มีความสามารถมากขนาดที่หลอกเอาเหล้ามาสามกาได้รวดเดียวจริงๆ หรือไง?!”

ฉีจิ่งหลงร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็ไม่ดื่มอีก

ฉีจิ่งหลงถาม “ก่อนหน้านี้ได้ยินเจ้าบอกว่าเขียนจดหมายไปบอกให้เผยเฉียนมากำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินหน่วนซู่กับโจวหมี่ลี่จะทำอย่างไร? หากไม่ให้แม่นางน้อยสองคนมาด้วย ในจดหมายฉบับนั้นเจ้าได้อธิบายให้ดีหรือไม่? เจ้าน่าจะรู้ว่าด้วยนิสัยของลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาคนนั้นของเจ้า ได้รับจดหมายฉบับนั้นต้องไม่ต่างจากได้รับพระราชโองการแน่นอน ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมจะโอ้อวดเพื่อนสองคนของนางด้วย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ดี”

เฉินผิงอันพาฉีจิ่งหลงเดินออกมาจากฟ้าดินเล็กเมล็ดงา “จะพาเจ้าไปดูอะไรหน่อย”

ป๋ายโส่วเดินลงมาจากหน้าผาสังหารมังกรแล้ว เขาเดินวนรอบภูเขาลูกเล็กอยู่หลายรอบ รู้สึกว่าแท่นสังหารมังกรใหญ่ขนาดนี้ ตนควรจะต้องเชิญจิตรกรมาช่วยวาดภาพเหมือนให้ตนสักภาพ ภาพตอนยืนอยู่ตรงตีนเขาภาพหนึ่ง นั่งอยู่ในศาลาอีกภาพหนึ่ง พอกลับไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุยและยอดเขาเพียนหราน พอคลี่ม้วนภาพนั้นออก เจ้าพวกคนที่สุมหัวอยู่ด้านข้างจะยังไม่สูดลมหายใจดังเฮือก ตาเบิกถลนกันทุกคนเลยหรอกหรือ ชื่อเสียงของสำนักก็จะเพิ่มขึ้นพรวดพราดเพราะเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่ว ดังนั้นหากอาศัยคนแซ่หลิว คงไม่สำเร็จ ถึงอย่างไรตนก็ควรจะต้องพึ่งตัวเอง อาศัยพี่น้องเฉินผิงอันของตน น่าจะพึ่งพาได้มากกว่า

ป๋ายโส่วเห็นว่าเจ้าคนสองคนที่สวมชุดเขียวเหมือนกันพากันเดินออกมาจากลานประลองยุทธ ก็เลยเดินตามคนทั้งสองไปยังที่พักของเฉินผิงอันด้วย

ป๋ายโส่วเห็นเรือนหลังเล็กที่น่าสงสารนั้น ในใจก็พลันรู้สึกเศร้าสร้อย จึงปลอบใจเฉินผิงอันว่า “พี่น้องคนดี ลำบากเจ้าแล้ว”

เฉินผิงอันยกเท้าขึ้น

ป๋ายโส่ววิ่งหนีห่างไปไกล

ขนาดตัวเองยังรู้สึกว่าน่าขายหน้าไม่น้อย เด็กหนุ่มเดินเนิบช้าเข้าไปในบ้าน เลือกนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่เดิมทีก็วางไว้ใต้ชายคาอยู่แล้ว แสร้งทำท่าเป็นนายท่านใหญ่

พอคิดว่าสักวันหนึ่งเจ้าถ่านดำตัวขาดทุนผู้นั้นอาจโผล่มา ป๋ายโส่วก็รู้สึกเห็นค่าช่วงเวลาผ่อนคลายอันสงบสุขของตนในเวลานี้ยิ่งนัก

เห็นได้ชัดว่าคนแซ่หลิวกับพี่น้องของตนกำลังคุยเรื่องเป็นการเป็นงาน ไม่ใช่คุยเรื่องไร้สาระ แววตาแค่นี้เด็กหนุ่มยังพอจะมีอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่เข้าไปร่วมวงแล้ว

เฉินผิงอันพาฉีจิ่งหลงเดินเข้าไปในห้องที่วางโต๊ะไว้สองตัว บนโต๊ะตัวหนึ่งยังวางซี่ไผ่โครงพัดหยกที่ยังขัดเกลาไม่เสร็จ รวมไปถึงหน้าพัดมากมายที่ขาวโพลนไร้ตัวอักษร ตราประทับเปลือยๆ ที่ยังไม่มีตัวอักษรและการแกะสลักริมขอบก็มีอยู่ไม่น้อย ตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กแน่นขนัดบนกระดาษมากมายนั้นล้วนเป็นคำร่างของตัวอักษรที่จะสลักบนตราประทับและเนื้อหาบนหน้าพัด บนโต๊ะอีกตัวที่อยู่ข้างกันคือแผนที่ภูมิศาสตร์เตาเผามังกรทั้งหมดของเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี

เขตการปกครองหลงเฉวียนในทุกวันนี้ อาณาเขตหลายแห่ง ยกตัวอย่างเช่นภูเขาเครื่องกระเบื้อง สุสานเทพเซียน และยังมีเตาเผามังกรทั้งหลาย ยังคงมีเมฆหมอกหนาชั้นปกคลุม ต่อให้โดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนผ่านมาด้านบนก็ยังไม่อาจมองเห็นโฉมหน้าทั้งหมดของพวกมันได้

ฉีจิ่งหลงยืนอยู่ข้างโต๊ะ วางกาเหล้าไว้บนโต๊ะเบาๆ ก้มหน้าลงมอง เตาเผามังกรทั้งหมดไม่ได้กระจายตัวอย่างไร้ระเบียบ แต่เรียงตัวกันเป็นเส้นโค้งยาวเส้นหนึ่ง ห่างจากเส้นยาวนี้ไปเล็กน้อย มีวงกลมเล็กๆ อยู่วงหนึ่ง ฉีจิ่งหลงชี้ไปที่จุดนั้น ถามว่า “คือบ่อโซ่เหล็กในเมืองเล็ก?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ฉีจิ่งหลงจ้องนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยว่า “เป็นภาพมังกรคาบไข่มุกโผบิน”

เฉินผิงอันพูดชื่นชม “สายตาดียิ่ง!”

ฉีจิ่งหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ข้าวาดยันต์ค่ายกลบางส่วนเป็น สายตาดีกว่าของเจ้าเล็กน้อย ไม่มีอะไรให้ต้องแปลกใจ”

เฉินผิงอันจุ๊ปาก “ใช้น้ำเสียงที่ผ่อนคลายที่สุดพูดว่าตัวเองร้ายกาจแค่ไหน ข้าได้เรียนรู้แล้ว”

ฉีจิ่งหลงสีหน้าเคร่งเครียด ยื่นมือมาลูบแผนที่ฉบับนั้นเบาๆ หรี่ตาเอ่ยว่า “ต่อให้จะแค่มองภาพนี้ แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความดุร้ายและจิตสังหารที่วูบมาปะทะใบหน้า ดูท่าก่อนที่มังกรแท้จริงตัวสุดท้ายจะตายไป จะต้องเคียดแค้นจนนึกอยากพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินให้ภูเขาสายน้ำหมุนตลบอย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ค้อมเอวฟุบตัวลงบนโต๊ะ

ฉีจิ่งหลงไล่อ่านชื่อของเตาเผามังกรเหล่านั้นไปทีละชื่อ มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งยื่นออกไปปาดผ่านแต่ละจุดเบาๆ “อยู่บนโครงกระดูกของมังกรที่แท้จริงตัวนั้นจริงๆ ด้วย สร้างเตาเผาขึ้นมาบนช่องโพรงสำคัญตามกระดูกสันหลังของมังกร เป็นเหตุให้เครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตทุกชิ้นที่สร้างมาจากเตาเผามังกรล้วนมีวิชาอภินิหารแห่งชีวิตก่อนกำเนิดที่แตกต่างกันไป บุตรเก้าตัวของมังกรล้วนแตกต่างกัน สุภาษิตเรื่องเล่ามากมายที่สามารถถ่ายทอดมาสู่หมู่ชาวบ้านร้านตลาดได้นั้น ล้วนมีความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ก่อนหน้านี้ข้าเคยไปเดินเล่นในเมืองเล็ก แล้วก็ไปที่สะพานหินโค้งแห่งนั้น รวมไปถึงร้านกระบี่ที่อริยะหร่วนฉงสร้างขึ้นมาริมลำคลองหลงซวีด้วย บ่อน้ำเจ็ดแห่งที่ไม่ค่อยสะดุดตาพวกนั้น นอกจากเจ็ดองค์ประกอบขจัดภัยที่มีอยู่ในตัวเอง สามารถแบกรับผลกรรมของลัทธิพุทธได้แล้ว ในความเป็นจริงแล้วยังขานรับอยู่กับโครงกระดูกของมังกรตัวนี้อยู่ไกลๆ คือการช่วงชิงไข่มุกกัน แน่นอนว่าความตั้งใจเดิมหาใช่ต้องการจะช่วงชิง ‘หลีจู’ (หลีจูมีหลายความหมาย แปลได้ว่าไข่มุกหรืออัญมณีที่ล้ำค่า และยังแปลได้ว่าดวงตามังกร) แต่ความหมายในการสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะนั้นมีมากกว่า อีกทั้งยังไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่นี้ เดิมทีเป็นสถานการณ์ที่อยู่บนนภา ตาต่อตาฟันต่อฟัน ทว่าเมื่อถ้ำสวรรค์หลีจูร่วงหล่นลงสู่โลกมนุษย์ เชื่อมต่อกับอาณาเขตของต้าหลี ก็เกิดการพลิกกลับอย่างมหัศจรรย์ สลับกลายมาเป็นสถานการณ์บนปฐพีในเสี้ยววินาที อีกทั้งบวกกับที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเลือกภูเขาใหญ่ทางแถบทิศตะวันตกเป็นตาของค่ายกล ชักนำโชคชะตาเข้ามาในบ่อน้ำทั้งเจ็ดอย่างยิ่งใหญ่ กลายเป็นสถานการณ์ที่เทียนขุยเทียนเยว่ (เทียนขุยและเทียนเยว่คือชื่อของดวงดาว ซึ่งทั้งสองเป็นตัวแทนของผู้สูงศักดิ์ เทียนขุยเป็นตัวแทนของผู้สูงศักดิ์เพศชาย เทียนเยว่เป็นตัวแทนของผู้สูงศักดิ์เพศหญิง) คอยประคับประคองช่วยเหลือ โชคชะตาขุนเขาสายน้ำส่วนใหญ่ถูกนำกลับมาหล่อเลี้ยงภูเขาเสินซิ่วอันเป็นที่ตั้งของศาลบรรพจารย์ เพียงแค่พูดถึงการจัดวางของเตาเผามังกรเหล่านี้ อันที่จริงเมื่อเทียบกับแผนที่ภูมิศาสตร์ การตามหาเส้นทางมังกรในปัจจุบันแล้ว โดยภาพรวมจะช่วยป้องกันความเสี่ยงให้แก่กันมากกว่า แต่กลับสามารถใช้สัจธรรมแห่งฟ้ามาสยบสัจธรรมแห่งดิน ช่างเป็นการลงทุนก้อนใหญ่ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเสียจริง ยกตัวอย่างเช่นเตาเหวินชางกับเตาอู่หลงที่อยู่ใกล้กัน ตามหลักทฤษฎีเส้นรุ้งเส้นแวงที่สำนักหยินหยางของใต้หล้าไพศาลยกย่องในทุกวันนี้ ถ้าอย่างนั้นบนแผนที่ที่เจ้าวาดขึ้นมานี้ เตาเหวินชางจำเป็นต้องขยับออกไปด้านล่างครึ่งชุ่น หรือไม่ก็ให้เตาอู่หลงขยับไปทางขวาหนึ่งชุ่น ถึงจะได้ขอบเขตที่บุ๋นบู๊ของวิถีทางโลกช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะขาดความหมายไปหลายอย่าง ไม่ถูกสิ กระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง จะต้องเป็นเตาแห่งอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับเตาสองแห่งนี้ นี่คือเตาชงเซียว? ก็ไม่ถูกอีก น่าจะเป็นสาเหตุจากเตาก่งปี้แห่งนี้ น่าเสียดายที่ตอนนั้นเดินทางท่องเที่ยวผ่านที่นี่ ยังเห็นได้แค่เลือนราง ไม่ชัดเจนมากพอ ควรจะทะยานลมไปยังจุดสูงบนทะเลเมฆ ก้มหน้ามองลงมาให้นานหน่อย…”

ทุกประโยคของฉีจิ่งหลง แน่นอนว่าเฉินผิงอันฟังเข้าใจทั้งหมด ส่วนความหมายในนั้น กลับไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร แต่ถึงอย่างไรใบหน้าเขาก็มีรอยยิ้ม เจ้าฉีจิ่งหลงพูดของเจ้าไป ข้าแค่รับฟังก็พอ หากข้าพูดมากแค่คำเดียวก็ถือว่าข้าแพ้

ฉีจิ่งหลงพลันหันหน้ามาถาม “ตัวอักษรแปดตัวยามเกิดที่แน่นอนของเจ้าคืออะไร? ไม่อย่างนั้นหมากกระดานนี้ สำหรับข้าในเวลานี้แล้วยังคงยากเกินไป กระดานหมากใหญ่เกินไป หลักการลึกล้ำเกินไป หากมีเจ้าเป็นจุดเริ่มต้น นั่นถึงจะมีโอกาสฝ่าสถานการณ์ไปได้”

เฉินผิงอันวางเมล็ดแตงกำหนึ่งลงบนโต๊ะ ยังคงเป็นเมล็ดแตงที่ขอคนอื่นเขามา เขาส่ายหน้า

ฉีจิ่งหลงขมวดคิ้วกล่าว “เจ้าวางแผนที่จะทำลายสถานการณ์นี้แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมให้ข้าช่วยเจ้าบ้าง? หากข้ายังเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ช่างเถิด แต่ตอนนี้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว เรื่องไม่คาดฝันจึงน้อยลงเยอะมาก”

เฉินผิงอันแทะเมล็ดแตง ยิ้มกล่าว “เจ้ามายุ่งด้วยไม่ได้ โกรธหรือไม่”

ฉีจิ่งหลงกลับไม่โกรธ เขานั่งลงบนเก้าอี้ จ้องมองภาพมังกรบินทะยานภาพเล็กๆ แต่กลับเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศนับพันนับหมื่นภาพนั้นต่อไป บางครั้งก็ยื่นมือมานับนิ้วคำนวณ ขณะเดียวกันก็เริ่มพลิกเปิดสมุดสองเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะ

ขณะที่อ่านหนังสือ ฉีจิ่งหลงก็ถามชวนคุยว่า “เรื่องส่งจดหมายกลับบ้าน?”

เฉินผิงอันกล่าว “ปลอดภัยมั่นคงดี”

ฉีจิ่งหลงจึงไม่ถามอะไรให้มากความอีก

เฉินผิงอันเอาแต่ง่วนอยู่กับการแทะเมล็ดแตง เรียกได้ว่าว่างมากจริงๆ

ตอนหลังก็ลุกไปยังโต๊ะด้านข้าง ยกพู่กันเขียนประโยคหนึ่งลงบนหน้าพัด ลมแปดทิศพัดข้าไม่สั่นคลอน ธงโบกใจไม่สะบัด

คิดแล้วก็เขียนตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวันกำกับลงไปบนพื้นที่ว่างด้านข้างราวกับเป็นคำอธิบายว่า ‘หมื่นเรื่องผ่านใจ ล้วนคืนให้ฟ้าดิน หมื่นสรรพสิ่งผ่านตา ล้วนกลายเป็นของข้า’

ถือหน้าพัด เป่าลมใส่รอยหมึกให้แห้ง แล้วเฉินผิงอันก็พยักหน้ากับตัวเอง ตัวอักษรดี อยู่ห่างจากขอบเขตของอริยะด้านตำราก็น่าจะเปลี่ยนจากห่างหมื่นก้าว มาเป็นห่างเก้าพันเก้าร้อยกว่าก้าวแล้ว

ฉีจิ่งหลงหมุนตัวมา ถามว่า “เจ้ารู้จักแม่นางหลูของภูเขาสุ่ยจิงหรือไม่?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “เทพธิดาหลูแห่งภูเขาสุ่ยจิงผู้เลื่องชื่อ ข้าต้องรู้จักนางอยู่แล้ว แต่นางไม่รู้จักข้าหรอกนะ เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม? ทำไม หรือว่านางตามเจ้ามาที่ภูเขาห้อยหัวด้วย? ใช้ได้เลยนี่นา ความจริงใจทำให้ทองปริแตกได้ ข้าว่าไม่สู้เจ้ารับปากนางไปเถอะ คนอายุร้อยกว่าปีแล้ว เอาแต่อยู่ตัวเปล่าเล่าเปลือยแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ผีขี้เหล้านักพนันล้วนดูแคลนคนโสดกันทั้งนั้นแหละ”

ฉีจิ่งหลงเอ่ยอธิบาย “ไม่ได้ติดตามข้ามา แต่มาเจอกันโดยบังเอิญที่ภูเขาห้อยหัว จากนั้นก็มาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมกับข้า”

เฉินผิงอันที่มือหนึ่งถือพู่กันหยิบเปลี่ยนหน้าพัดใหม่เอี่ยมมาอีกหนึ่งอัน คิดว่าจะควักน้ำหมึกในท้องออกมาอีกสักหน่อย บอกตามตรง ทั้งตราประทับทั้งพัดพับ ถังน้ำหมึกครึ่งถังของเฉินผิงอันไม่พอให้เอามาแกว่งแล้ว เขายกมือขึ้น คร้านจะพูดกับฉีจิ่งหลงให้เปลืองน้ำลาย “คิดเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยมาคุยกับข้า”

ฉีจิ่งหลงเหมือนกระจ่างแจ้งในฉับพลัน พยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ข้าควรทำอย่างไร?”