บทที่ 599.3 หมัดเดียวต่อยให้เถ้าแก่รองล้มคว่ำ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้ากลับมามองด้วยซ้ำ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเขียนหน้าพัดต่อไป ปากก็พูดง่ายๆ ว่า “จะทำอย่างไรได้ ก็แค่ทำตามมารยาทที่สมควรเท่านั้น นางมาพบเจ้า เจ้าก็ออกไปพบ อย่าได้ทำหน้าคร่ำเคร่ง คนเขาชอบเจ้า ไม่ได้ติดค้างเงินเจ้าสักหน่อย พอได้พบกันหลายครั้งเข้า ต่อให้เจ้าไม่ยินดีเป็นฝ่ายจะไปหานางเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนเข้าใจผิด ก็ไม่เป็นไร แต่สุดท้ายเมื่อต้องจากลากัน ไม่ว่าใครที่จะไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อน เจ้าเป็นฝ่ายไปหานางก่อนสักครั้ง เอ่ยลากับนางสักคำก็พอ ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็ไม่มีสตรีที่ชื่นชอบ อันที่จริงกลับทำให้ผึ่งผายได้มากกว่านี้อีก หากเจ้าเอาแต่ระมัดระวังอย่างเดียว กลับจะยิ่งทำให้นางคิดมากได้ง่าย”

ฉีจิ่งหลงพลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง

ตอนนี้สิ่งที่เฉินผิงอันเขียนลงไปบนหน้าพัด ไม่ได้เคร่งขรึมจริงจังเหมือนหน้าพัดอันก่อนหน้านี้ แต่จงใจให้มีกลิ่นอายของความอ่อนหวานของสตรีมากขึ้น ถึงอย่างไรก็เป็นของที่เอาไปวางขายไว้ในร้านผ้า หากจริงจังเกินไป อย่าว่าแต่จะเป็นที่ชื่นชอบหรือไม่เลย บางทีอาจยังขายไม่ออกด้วยซ้ำ เขาจึงเขียนประโยคว่า ‘คนที่คิดถึง คุณชายผู้สง่างาม คือสายลมดับร้อนอันดับหนึ่งบนโลก’

ฉีจิ่งหลงชำเลืองตามองตัวอักษรบนหน้าพัดแล้วก็พูดไม่ออก

หวังจริงๆ ว่าตนจะเก็บคำพูดดีๆ ก่อนหน้านี้ได้กลับมาสักเกินครึ่ง เห็นได้ชัดว่าเจ้าคนที่เดินทางท่องอุตรกุรุทวีปไปตลอดทางก็เป็นร้านผ้าห่อไปตลอดทางตรงหน้าผู้นี้ ไม่เคยคิดเรื่องหาเงินน้อยลงเลย!

ความคิดมากมายบนโลกใบนี้ก็เหมือนเส้นเส้นหนึ่งที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน แต่ละความคิดที่ถือกำเนิด แรงบันดาลใจในการประพันธ์ก็ยิ่งเหมือนตาน้ำพุผุดพุ่ง เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็เขียนอีกประโยคลงบนหน้าพัด ‘นับแต่โบราณสถานที่แห่งนี้ไร้ไอร้อนแผดเผา ที่แท้ปราณกระบี่ก็ผลาญมันจนสิ้นสูญ’

ค่อนข้างพอใจกับประโยคนี้ เฉินผิงอันจึงหยิบตราประทับชิ้นหนึ่งที่แกะสลักเสร็จเรียบร้อยแล้วมา เปิดกล่องตราประทับออกแล้วประทับลงด้านล่างของกลอนบทนี้เบาๆ ตราประทับสลักอักษรคำว่า ลมทองน้ำค้างหยก หญ้าเขียวขุนเขามรกต สองประโยคสอดคล้องรับกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นสตรีหรือบุรุษที่ซื้อพัดเล่มนี้ ก็ได้ทั้งนั้น

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ฝึกฝนจิตใจอย่างยากลำบาก ถือโอกาสฝึกฝนตัวเองให้เป็นร้านผ้าห่อบุญที่คิดคำนวณทุกอย่างอย่างรอบคอบแม่นยำด้วย เจ้าไม่เคยทำการค้าที่ขาดทุนเลยจริงๆ”

เฉินผิงอันหัวเราะร่า “เจ้าเลิกพูดจาเหน็บแนมข้าเสียทีเถอะ ระวังจะโดนกรรมตามสนอง ข้าจะเดิมพันกับเจ้า เดิมพันว่าเทพธิดาหลูจะต้องมอบตราประทับหรือไม่ก็พัดพับที่มาจากฝีมือข้าให้เจ้าหนึ่งชิ้น เจ้าจะเดิมพันด้วยไหมล่ะ?”

ฉีจิ่งหลงลุกขึ้นยืน “ข้าไปก่อนล่ะ ยังต้องไปที่หัวกำแพงเมืองเพื่อถ่ายทอดวิชากระบี่ให้กับลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย”

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้รั้งเอาไว้ พวกเขาเดินข้ามธรณีประตูออกมาด้วยกัน ป๋ายโส่วยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ พอเห็นเฉินผิงอันก็ยกเหล้ากาที่อยู่ในมือขึ้น เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเผยเฉียนมาถึงเร็ว ได้พบกับเจ้า ข้าจะช่วยตำหนินางแทนเจ้าเอง”

ป๋ายโส่วหลุดหัวเราะพรืด “ใช่ว่าทุกวันนี้ข้าจะเอาชนะนางจริงๆ ไม่ได้สักหน่อย ก็แค่นางอายุน้อย เริ่มฝึกหมัดช้า อีกทั้งยังเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง ข้าจะกล้าออกแรงออกกระบวนท่าเต็มกำลังได้อย่างไร ต่อให้ชนะนางได้แล้วอย่างไร ไม่ว่ามองอย่างไรข้าก็ต้องแพ้อยู่ดี ข้าถึงได้ไม่ยินดีให้มีการประลองครั้งที่สองอย่างไรเล่า”

เฉินผิงอันหัวเราะเสียงเย็น “พูดจาให้ดีๆ”

ป๋ายโส่วรีบลุกขึ้นยืนทันใด วิ่งตุปัดตุเป๋มาหยุดยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน มือทั้งสองข้างถือประคองเหล้ากานั้น “พี่น้องคนดี ขอร้องเจ้าช่วยเกลี้ยกล่อมเผยเฉียนหน่อย อย่าได้ประลองบู๊กันอีกเลย จะทำลายความปรองดองกันเปล่าๆ”

เฉินผิงอันรับกาเหล้ามาแล้วตบหัวเด็กหนุ่มไปทีหนึ่ง “ไม่ว่าจะอยู่ในคลังเจี่ยจ้างหรือบนหัวกำแพงเมือง เจ้าควรฝึกกระบี่ให้มากพูดให้น้อย ไม่อย่างนั้นด้วยปากแบบนี้ของเจ้าก็ง่ายที่จะชักนำกระบี่บินของเซียนกระบี่ให้พุ่งมาหา”

ป๋ายโส่วกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เฉินผิงอัน ให้ความเคารพกันหน่อย ไม่รู้จักเด็กจักผู้ใหญ่ หัดมีสัมมาคารวะบ้างได้ไหม?!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พอเผยเฉียนมาถึง หากเจ้ากล้าเรียกข้าว่าพี่น้องต่อหน้านาง ข้าก็จะยอมรับพี่น้องอย่างเจ้า เป็นอย่างไร?”

ป๋ายโส่วชั่งน้ำหนักอยู่พักหนึ่ง “พี่น้องไม่พี่น้อง รอให้เผยเฉียนจากไปก่อนแล้วค่อยมาเป็นกันดีกว่ากระมัง”

เฉินผิงอันพูดเยาะเย้ย “ดูท่าทางขี้ขลาดของเจ้าสิ”

สองมือของป๋ายโส่วประกบกันทำท่ามุทรากระบี่ แหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้า “วีรบุรุษชายชาตรีค้ำฟ้ายันดิน ไม่มัวมาขุ่นเคืองถือสาแม่นางน้อยหรอก”

เฉินผิงอันหัวเราะ ลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม

มีเขาอยู่เคียงข้างฉีจิ่งหลงก็ไม่เลวเลย ไม่อย่างนั้นหากทั้งอาจารย์และศิษย์ต่างก็เป็นน้ำเต้าตันทั้งคู่ คงไม่ค่อยดีเท่าไร

เฉินผิงอันเดินมาส่งฉีจิ่งหลงที่หน้าประตูใหญ่จวนหนิง ป๋ายโส่วเดินเร็วๆ ลงบันไดไปแล้วก็ยักไหล่ พูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นว่า “จะได้ถามหมัดแล้ว เจ้าหนึ่งหมัดข้าหนึ่งหมัด”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ไม่ควบคุมเขาสักหน่อยหรือ?”

ดังนั้นฉีจิ่งหลงจึงหันไปพูดกับป๋ายโส่วว่า “คำพูดที่เป็นความจริงแบบนี้ เก็บไว้ในใจก็พอแล้ว”

ฉีจิ่งหลงหมุนตัว หันไปคารวะบอกลาน่าหลันเย่สิงที่อยู่ด้านข้าง

ป๋ายโส่วเห็นแล้วก็กุมหมัดคารวะตามคนแซ่หลิวอยู่ไกลๆ

สองอาจารย์และศิษย์ออกจากนครมุ่งหน้าไปยังคลังเจี่ยจ้าง

เฉินผิงอันเดินเคียงบ่ากับน่าหลันเย่สิง ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก่อนคุณหนูจะปิดด่านได้ฝากให้ข้ามาบอกท่านเขย มีแค่สองคำ อย่าแพ้”

เฉินผิงอันรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก เอ่ยเสียงเบาว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็รู้แล้วว่าควรจะออกหมัดหนักเบาแค่ไหน”

เกี่ยวกับระดับความสูงของคอขวดขอบเขตหกของตนและอวี้เจวี้ยนฟู เฉินผิงอันพอจะรู้อยู่ในใจแล้ว ก่อนจะไปถึงยอดเขาสิงโตแล้วให้ท่านอาหลี่เอ้อร์ป้อนหมัดให้ เป็นอวี้เจวี้ยนฟูที่ขอบเขตสูงกว่าจริงๆ แต่ตอนที่เขาฝ่าคอขวดเลื่อนเป็นขอบเขตร่างทองได้สำเร็จ ก็เหนือกว่าวิถีวรยุทธขอบเขตหกของอวี้เจวี้ยนฟูไปหนึ่งระดับแล้ว

หากไม่นับเฉาสือที่เฉินผิงอันคอยไล่ตามอยู่เงียบๆ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนอื่นๆ ขอแค่เป็นการช่วงชิงของขอบเขตเดียวกัน เฉินผิงอันก็ไม่อยากแพ้ แล้วก็แพ้ไม่ได้ด้วย

ส่วนเฉาสือนั้น ต่อให้ในอนาคตจะต้องแพ้อีกฝ่ายสามครั้ง หรืออาจถึงสามสิบครั้ง ขอแค่เฉาสือยังยินดีออกหมัด ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็จะออกหมัดไม่หยุด ความมั่นใจจะไม่ลดน้อยลงแม้แต่นิด

จุดที่จิตของข้ามุ่งไปหา คือความรู้ของอาจารย์ฉี คือปณิธานหมัดของชุยเฉิง คือความอิสระเสรีของผู้แข็งแกร่งที่อาเหลียงเคยพูดถึง นี่จึงเป็นเหตุให้บนมหามรรคา ในใจข้าไม่มีศัตรู มีเพียงข้าเฉินผิงอันที่เป็นศัตรูกับเฉินผิงอันเท่านั้น

น่าหลันเย่สิงประหลาดใจเล็กน้อย เขาหันหน้ามามอง

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ปณิธานฮึกเหิมพลุ่งพล่าน ปณิธานหมัดเอ่อล้น

ดังนั้นต่อมาเฉินผิงอันจึงต้องนอนแบ๊บอยู่บนเตียงถึงครึ่งเดือนเต็ม

บนหัวกำแพงเมือง สตรีที่มัดผมมวยขดเป็นก้อนซาลาเปากำลังนั่งแทะแผ่นแป้งย่าง ก่อนหน้านี้นางส่งข่าวไปที่นครแล้ว พูดอย่างชัดเจนว่าต้องการประลองฝีมือกับเฉินผิงอันสามครั้ง ผลคืออาศัยข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ จึงรู้ว่าเถ้าแก่รองที่อยู่ในจวนหนิงคนนั้นอ้างว่าป่วยจึงไม่ได้ออกจากจวนมาครึ่งเดือนแล้ว นางตกตะลึงเล็กน้อย เหตุใดใต้หล้าถึงได้มีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่หน้าไม่อายขนาดนี้อยู่ด้วย?

ตอนนั้นเฉาสือพูดผิด มองคนผิดไปหรือไม่? ไม่อย่างนั้นเหตุใดเฉาสือถึงได้บอกว่าท่ามกลางบรรดาผู้ฝึกยุทธมากมายในใต้หล้าที่อายุพอๆ กัน มีแค่คนสามประเภทเท่านั้น นั่นคือเขาเฉาสือที่เดินนำหน้าไปเพียงลำพัง ด้านหลังที่ตามมาติดๆ คือเฉินผิงอัน นอกจากนี้แล้วก็คือทุกคนที่รวมเจ้าอวี้เจวี้ยนฟูอยู่ด้วย?

ประเด็นสำคัญคือขอแค่เฉาสือยินดีเปิดปากพูด เขาก็มักจะจริงจังเสมอ ทั้งไม่เคยพูดจาดีๆ เกินความจำเป็น แล้วก็ไม่เคยพูดจาร้ายๆ ที่ไร้ความสำคัญ อย่างมากสุดคงกลัวว่านางอวี้เจวี้ยนฟูจะได้รับผลกระทบทางจิตใจ เฉาสือก็เลยฝืนนิสัยพูดเพิ่มมาหนึ่งประโยค ถือเป็นการเตือนนางอวี้เจวี้ยนฟู

‘เฉินผิงอันมีนิสัยดึงดันหนักแน่นมาก อีกทั้งบนวิถีวรยุทธที่เขาเดินไปจะต้องมั่นคงทุกย่างก้าว ขอแค่วันนี้แพ้ให้เขาหนึ่งครั้ง วันหน้าก็มีโอกาสสูงว่าจะต้องแพ้เขาทุกครั้ง ไม่แน่ว่าข้าเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้นบนเส้นทางของการฝึกวรยุทธ ข้าจะไม่ให้โอกาสเฉินผิงอันได้เดินมาข้างกายข้าเด็ดขาด’

อวี้เจวี้ยนฟูลุกพรวดขึ้นยืน คนอย่างเฉินผิงอันก็มีคุณสมบัติให้เฉาสือมองเขาแตกต่างไปจากคนอื่นขนาดนี้ด้วยหรือ?!

ทั้งๆ ที่มีผู้ฝึกยุทธรุ่นเดียวกันท้ารบอย่างผึ่งผาย มีหมัดแต่กลับไม่ออกหมัด เจ้าจะเก็บเอาไว้กินแทนข้าวหรือไร?!

หรือว่ากริ่งเกรงที่พึ่งเบื้องหลังของข้าอวี้เจวี้ยนฟู? เพียงแค่เรื่องนี้ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้าแล้ว?

อวี้เจวี้ยนฟูกินแผ่นแป้งย่างหมดก็เก็บกาน้ำใส่ไว้ในห่อสัมภาระ ไม่ได้สะพายไว้บนร่าง แต่ขอให้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยช่วยดูให้ ส่วนนางวิ่งตะบึงไปยังทิศเหนือของหัวกำแพงเมืองเพียงลำพัง แล้วพลันกระโดดทะยานตัวขึ้น สุดท้ายก้าวออกไปจากริมขอบของหัวกำแพง เหยียบลงบนผนัง วิ่งตะบึงลงไปยังพื้นดิน

ขณะที่อยู่ห่างจากพื้นไปอีกหลายสิบจั้ง นางก็กระทืบเท้าลงบนกำแพงหนักๆ ประหนึ่งลูกธนูที่พุ่งฉิวออกไป พลิ้วกายลงบนพื้น แล้วพุ่งตัวไปยังนคร พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม

ไม่รู้ว่าเป็นเซียนกระบี่คนใดที่เปิดเผยความลับนี้ก่อน ยังไม่ทันที่สตรีผู้ฝึกยุทธคนนั้นจะเข้าไปในนคร ด้านในนคร กิจการของบ่อนน้อยใหญ่ตามถนนต่างๆ กลับรุ่งเรืองขึ้นมาแล้ว แต่ละคนราวกับถูกฉีดเลือดไก่ (เปรียบเปรยว่าคึกคัก/ตื่นเต้น/ฮึกเหิม) เทียบกับการเดิมพันของสนามประลองหอมายาที่ทุกคนมุ่งตรงไปก็เพื่อหาเงินมาเลี้ยงกระบี่บินแล้ว ต่อให้เงินเดิมพันในครั้งนี้จะน้อยกว่า แต่กลับทำให้คนลิงโลดได้มากกว่า ราวกับกำลังเฉลิมฉลองวันปีใหม่อย่างไรอย่างนั้น พากันตะโกนคำว่าลงเงินแล้วก็เอามือไปห่างๆ เดิมพันมากก็ได้มาก เงินก้อนหนึ่งได้เมียมาคนหนึ่ง มีการเดิมพันสารพัดรูปแบบ เสียงร้องเสียงรับดังขึ้นๆ ลงๆ ครึกครื้นอย่างยิ่ง และยังมีเจ้ามือบางคนที่ไร้จิตสำนึกให้ลงเดิมพันว่า หลังจากที่เถ้าแก่รองชนะแล้ว จะถูกใจสตรีแซ่อวี้ พอนางชม้อยชายตาให้ก็เกิดใจสงสารจนไม่อาจเก็บซ่อนความคิดของบุรุษไว้ได้ จากนั้นจึงถูกหนิงเหยาซ้อมอย่างหนักหรือไม่

ส่วนรากฐานของอวี้เจวี้ยนฟูผู้นั้น พวกนักพนันน้อยใหญ่ที่กินอิ่มว่างงานในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ตรวจสอบจนรู้ชัดเจนหมดแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเถ้าแก่รองที่เจ้าเล่ห์ใจดำผู้นั้นยังต้องใช้หมัดปะทะหมัดอย่างเดียว ทำให้เสียโอกาสใช้ลูกไม้มากมายในการหลอกคนไปอย่างเปล่าๆ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงยังคงลงเดิมพันว่าเฉินผิงอันจะชนะการต่อสู้ครั้งแรกนี้ได้อย่างมั่นคง เพียงแต่ว่าจะชนะได้ที่กี่สิบหมัด นั่นต่างหากจึงจะเป็นกุญแจสำคัญที่ตัดสินว่าจะได้กำไรมากหรือน้อย แต่ก็มีนักพนันที่ประสบการณ์บนโต๊ะพนันโชกโชนบางคนคอยบ่นพึมพำอยู่ในใจไม่หยุด สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าเถ้าแก่รองผู้นี้จะเดิมพันว่าตัวเองแพ้หรือไม่? มารดามันเถอะ ถึงเวลานั้นเขาคนเดียวจะไล่ฆ่าคนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่เลยหรือไม่? เรื่องแบบนี้ต้องสงสัยด้วยหรือ? ตอนนี้ลองถามเด็กๆ ตามทางสักคนดู ไม่ว่าใครก็รู้สึกว่าเถ้าแก่รองสามารถทำแบบนี้ได้แน่นอน

หลังจากที่อวี้เจวี้ยนฟูเข้าเมืองมา ยิ่งขยับเข้าใกล้ถนนใหญ่ของจวนหนิง ฝีเท้าก็ยิ่งเนิบช้าและมั่นคง

ผลคือพอนางไปถึงถนนใหญ่ก็พบว่าสองฝั่งของถนนมีคนนั่งยองอยู่เต็มไปหมด แต่ละคนพากันหันมามองนาง

อวี้เจวี้ยนฟูรู้สึกสงสัยเล็กน้อย การประลองฝีมือถามหมัดกันของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคน จำเป็นต้องมีเซียนกระบี่มาชมศึกมากมายขนาดนี้เชียวหรือ?

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเคยพูดเรื่องบางอย่างกับนาง ส่วนใหญ่เป็นการช่วยนางทบทวนสี่ศึกใหญ่ของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ รวมถึงข่าวลือบางอย่างมากกว่า

เดิมทีเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดมากอยู่แล้ว ทุกครั้งที่พูดคุยกับอวี้เจวี้ยนฟูก็ล้วนเป็นความจริงที่เน้นสาระสำคัญ เป็นเหตุให้ข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ที่สร้างบรรยากาศเป็นพิษที่อวี้เจวี้ยนฟูได้ยินมาจึงมาจากผู้ฝึกตนเด็กสาวที่ชื่อว่าจูเหมยเสียมากกว่า

อวี้เจวี้ยนฟูเดินหน้าไปตลอดทาง แล้วจึงมาหยุดอยู่หน้าประตูใหญ่ของจวนหนิง กำลังจะเปิดปากพูด แต่ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังครืน

อวี้เจวี้ยนฟูขมวดคิ้ว

นางกวาดตามองไปรอบด้าน จากนั้นก็สังเกตเห็นว่าแทบทุกคนล้วนพากันหันไปมองบนหัวกำแพงมุมหนึ่งที่ตนเพิ่งเดินผ่านมา ที่นั่นมีเจ้าอ้วนคนหนึ่ง เด็กหนุ่มผอมบางคนหนึ่ง สตรีแขนเดียวคนหนึ่ง คุณชายหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งนั่งอยู่ และยังมีคนหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งที่กำลังซุบซิบพูดคุยกับคนอื่น

คนหนุ่มผู้นั้นลุกขึ้นยืนช้าๆ ยิ้มกล่าวว่า “ข้าก็คือเฉินผิงอัน คนที่แม่นางอวี้จะถามหมัด”

ไฟโทสะของอวี้เจวี้ยนฟูพลันเดือดพล่าน

ปั่นหัวข้าอวี้เจวี้ยนฟูอย่างนั้นรึ?!

เหตุใดผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้ถึงต้องให้ความร่วมมือกับคนผู้นี้ด้วย? ก่อนหน้านี้ทุกคนถึงได้จงใจไม่มองไปทางเฉินผิงอันผู้นี้?

เฉินผิงอันเดินขึ้นมาบนถนนใหญ่เพียงลำพัง อยู่ห่างจากอวี้เจวี้ยนฟูแค่ยี่สิบกว่าก้าว มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งแบออก ผายออกไปเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มมองอวี้เจวี้ยนฟูแล้วกดมือลงอยู่สองที

จิตของอวี้เจวี้ยนฟูพลันหดตัวกลายเป็นเมล็ดงา ไม่เหลือความคิดวุ่นวายใดๆ อีก ปณิธานหมัดไหลวนไปทั่วเรือนกาย ทอดยาวดุจมหานทีที่ไหลรินไม่หยุดนิ่ง นางมองไปยังผู้ฝึกยุทธหนุ่มชุดเขียวปักปิ่นหยกขาวเหมือนบัณฑิตผู้นั้น แล้วพยักหน้า

เจ้าคนตรงหน้าผู้นี้พอจะมีมาดของผู้ฝึกยุทธอยู่บ้าง