บทที่ 599.4 หมัดเดียวต่อยให้เถ้าแก่รองล้มคว่ำ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันถาม “ถามหมัดต้องเอาจำนวนเยอะไหม?”

อวี้เจวี้ยนฟูพูดเสียงทุ้มหนักว่า “ครั้งแรกนี้ พวกเราต่างก็ออกแรงเต็มกำลัง แลกกันคนละหมัด?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าออกก่อนหนึ่งหมัด หากข้ารับไหว ค่อยต่อยคืนเจ้าหนึ่งหมัด หากเจ้ารับไว้ไม่ได้ แน่นอนว่าเจ้าแพ้ จากนั้นก็ทำแบบนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ ใครล้มแล้วลุกไม่ขึ้นก่อน ก็ถือว่าคนนั้นแพ้”

อวี้เจวี้ยนฟูตอบรับอย่างฉับไหว “ตกลง! อีกครึ่งเดือนให้หลังค่อยมาสู้กันเป็นครั้งที่สอง แต่ก่อนจะทำเช่นนั้น เจ้าต้องรักษาบาดแผลให้หายดีเสียก่อน”

หมัดนี้เป็นเขาที่รนหาที่เอง

คำพูดนี้หลุดออกจากปาก เสียงผิวปากก็ดังระงมขึ้นรอบด้าน

เห็นได้ชัดว่าแม่นางอวี้ผู้นี้รอคอยเถ้าแก่รองอย่างเสียเวลาเปล่ามาถึงครึ่งเดือน ก็เลยไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร

นี่ยังไม่นับเป็นอะไร เพราะยังมีแม่นางน้อยคนหนึ่งวิ่งตะบึงไปบนหัวกำแพงของเรือนแต่ละหลัง พลางตีฆ้องร้องป่าวประกาศเสียงดังสนั่นฟ้า “ว่าที่อาจารย์ ข้าแอบออกมาให้กำลังใจท่านแล้ว! ฆ้องนี่ตีแล้วเสียงดังนัก ข้าว่าอีกเดี๋ยวท่านพ่อต้องออกมาจับตัวข้ากลับไปแน่ๆ ข้าตีได้นานแค่ไหนก็จะตีให้นานเท่านั้นนะ!”

เจ้าอ้วนเยี่ยนเงยศีรษะไปด้านหลัง เอาหัวกระแทกกำแพง นังหนูลวี่ตวนผู้นี้ เวลาพูดเจ้าหยุดตีฆ้องก่อนได้ไหม? ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างหลายคนที่มาร่วมวงความครึกครื้นคงไม่ได้ยินเสียงเจ้าหรอก

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองกวอจู๋จิ่วแล้วพยักหน้ายิ้มให้นาง

วินาทีนั้น

พายุหมัดของอวี้เจวี้ยนฟูพลันพัดโหมกระหน่ำ

มีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่เป็นเจ้ามือคราวนี้ ซึ่งถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องชนะได้เงินไปไม่น้อยกำลังนั่งดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่อยู่บนหัวกำแพง มองสองฝ่ายที่กำลังคุมเชิงกัน แล้วพลันก้มหน้าลง ปล่อยให้นังหนูที่ตะโกนเสียงดังว่า ‘เซียนกระบี่ใหญ่เถาเหวินหลบทางหน่อย’ ก้าวเท้าข้ามผ่านหัวไป

หนึ่งหมัดผ่านไป

อันที่จริงต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่เกิดใจดูแคลนต่ออวี้เจวี้ยนฟูก็ยังอดขมวดคิ้วไม่ได้

แม่นางน้อยคนนี้ ช่างมีหมัดที่หนักหน่วงนัก

เฉินผิงอันที่เดิมทียืนอยู่ที่เดิมถูกหมัดหนึ่งที่พุ่งตรงมาต่อยเข้าที่หน้าอก ร่างจึงปลิวกระเด็นออกไปกระแทกลงบนสุดปลายถนนใหญ่

บนถนนใหญ่เกิดเสียงลมฟ้าลมฝนดังครืนครั่น นอกจากผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านแล้ว ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองก็ยังจำเป็นต้องใช้ปราณกระบี่ต้านทานปณิธานหมัดที่กระจายไปสี่ทิศขุมนั้น

เฉินผิงอันนอนอยู่บนพื้นครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นนั่ง ยื่นนิ้วมาเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก เรือนกายโงนเงน แต่ก็ยังลุกขึ้นยืนได้

มีผู้ฝึกกระบี่จำนวนไม่น้อยโหวกเหวกขึ้นมาว่าไม่ได้การๆ เถ้าแก่รองประมาทเกินไป ต้องแพ้อย่างแน่นอน

เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้ลงเดิมพันว่าเถ้าแก่รองต่อยไม่กี่หมัดก็ทำให้อวี้เจวี้ยนฟูร่อแร่ใกล้ตายได้แล้ว แล้วก็เป็นพวกคนที่มักจะไปดื่มเหล้าที่ร้านบ่อยๆ จึงเชื่อใจในนิสัยใจคอของเถ้าแก่รองอย่างมาก

ทว่าทุกคนหรือแม้แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็ล้วนคิดไม่ถึงว่า อวี้เจวี้ยนฟูผู้นั้นจะหมุนตัวเดินจากไปพร้อมพูดด้วยเสียงดังกังวานว่า “ครั้งแรก ข้ายอมแพ้ อีกครึ่งเดือนให้หลัง การถามหมัดครั้งที่สอง ไม่ต้องพิถีพิถันเรื่องพวกนี้ ออกหมัดได้ตามสบาย”

เถ้าแก่รองที่ไม่เคยทำการค้าขาดทุนมาก่อนไม่มีเวลามามัวเก็บงำอำพรางอะไรอีกแล้ว ตะโกนเสียงดังทันทีว่า “ครั้งที่สองต่อสู้กันทันทีเลย ตกลงไหม?”

อวี้เจวี้ยนฟูหยุดเดิน หันหน้ามาเอ่ยว่า “การถามหมัดของผู้ฝึกยุทธในใจเจ้าคือสภาพเช่นนี้หรือ?”

เฉินผิงอันหันหน้าไปถ่มเลือดคำหนึ่ง พยักหน้า เอ่ยเสียงหนักว่า “ถ้อย่างนั้นก็ไปที่หัวกำแพงเมืองตอนนี้เลย”

อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ยประโยคนี้ได้ ก็ควรค่าแก่การเคารพอยู่หลายส่วน

ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวควรให้ความเคารพคู่ต่อสู้อย่างไร? แน่นอนว่ามีเพียงการออกหมัด

อวี้เจวี้ยนฟูมองสายตาของเฉินผิงอัน รวมไปถึงกระบวนท่าหมัดและปณิธานหมัดที่เก็บซ่อนไว้บนร่างของเขา โดยเฉพาะกลิ่นอายบริสุทธิ์บางอย่างที่ปรากฎแล้วก็วูบหาย ตอนนั้นที่อยู่ในซากปรักสนามรบโบราณของทวีปเกราะทอง นางเคยออกหมัดใส่เฉาสือไม่รู้กี่พันกี่หมื่นครั้ง ดังนั้นจึงทั้งคุ้นเคย แล้วก็ทั้งแปลกใหม่ คนทั้งสองเหมือนกันอย่างมาก แต่ก็ไม่คล้ายคลึงกันอย่างสิ้นเชิงจริงๆ เสียด้วย!

“เฉินผิงอัน ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าก็ไม่มีอคติใดๆ ต่อเจ้า ก็แค่การถามหมัดเท่านั้น แต่เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีว่า หากไม่แบ่งเป็นตาย แค่แบ่งแพ้ชนะ การหยุดเมื่อพอสมควรที่ไม่เจ็บไม่คันแบบนั้น สำหรับวิชาหมัดและวิถีวรยุทธของทั้งสองฝ่ายแล้ว อันที่จริงไม่มีความหมายอะไรเลย”

อวี้เจวี้ยนฟูถาม “ดังนั้นไม่ต้องไปสนกฎการเฝ้าด่านของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้หรือไม่ ระหว่างเจ้าและข้า เว้นจากจะไม่แบ่งเป็นตายแล้ว ต่อให้ต่อยให้อนาคตวิถีวรยุทธของอีกฝ่ายแหลกสลาย ต่างคนก็ต่างไม่เสียใจภายหลัง ได้หรือไม่?!”

เฉินผิงอันม้วนชายแขนขึ้นเสื้อช้าๆ หรี่ตาเอ่ยว่า “ไปถึงหัวกำแพงเมือง เจ้าสามารถลองถามเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก่อนได้ว่า เขากล้ารับรองแทนบรรพจารย์ตระกูลอวี้และโจวเสินจือหรือไม่ อวี้เจวี้ยนฟู คนฝึกยุทธอย่างเราๆ ไม่ใช่ว่าข้าแค่ก้มหน้าก้มตาออกหมัด ไม่สนฟ้าดินไม่สนคนอื่นเป็นพอ หรือต่อให้จะมีหมัดนั้นจริงๆ ก็ไม่มีทางปล่อยใส่เจ้าอวี้เจวี้ยนฟูอย่างแน่นอน หากให้พูดแรงหน่อยก็คือ เจ้าต้องมีปณิธานหมัดที่ยิ่งใหญ่พอถึงจะได้”

อวี้เจวี้ยนฟูเงียบงันไป

เฉินผิงอันสะบัดแขนสองข้าง ชายแขนเสื้อคลี่ตัวลงมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เหลือแค่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว พร้อมรับใช้ตลอดเวลา”

กวอจู๋จิ่วที่อยู่บนหัวกำแพงมุมหนึ่งลืมตีฆ้องไปแล้ว นางยกมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นก็เหวี่ยงไม้ที่อยู่ในมืออย่างแรง พูดอย่างสะท้อนใจ “แข็งแกร่งเกินไปแล้ว อาจารย์ของข้าแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ไม่ต้องออกแม้แต่กระบวนท่าเดียวก็สามารถใช้คำพูดทำให้ศัตรูล่าถอย ทำให้จิตแห่งมรรคาของศัตรูวุ่นวาย ที่แท้นี่ต่างหากจึงจะเป็นยอดเขาของการเรียนวรยุทธ ยอดเขาบนมหามรรคาที่แท้จริง! ร้ายกาจยิ่ง ข้าหาอาจารย์ที่ร้ายกาจจริงๆ …”

จากนั้นแม่นางน้อยก็ถูกเซียนกระบี่กวอเจี้ยดึงหูกลับบ้านไป

เฉินผิงอันทอดถอนใจอยู่ในใจ

แล้วก็จริงดังคาด อวี้เจวี้ยนฟูที่เดิมทีตั้งใจจะจากไปแล้วกลับเอ่ยขึ้นว่า “ครั้งที่สองยังไม่ทันได้สู้ ครั้งที่สามก็ยิ่งไม่ต้องรีบร้อน”

เฉินผิงอันกำลังจะเปิดปากพูด

พวกนักพนันรวมไปถึงเจ้าของบ่อนน้อยใหญ่ที่เกือบจะมึนงงไปอย่างสิ้นเชิงกลับช่วยเถ้าแก่รองตอบตกลงไปแล้ว หากอยู่ดีๆ การต่อสู้ก็หายไปรอบหนึ่ง พวกเขาจะได้เงินน้อยลงขนาดไหนเล่า?

ในศาลาบนแท่นสังหารมังกร หนิงเหยาขมวดคิ้วเอ่ย “ป๋ายหมัวมัว อาศัยอะไรบุรุษของข้าถึงต้องช่วยป้อนหมัดให้นางด้วย รับปากว่าจะต่อสู้ด้วยหนึ่งครั้งก็พอแล้ว ว่าไหม?”

หญิงชรายื่นมือมากุมมือคุณหนูของตัวเองแล้วตบเบาๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงแผ่วว่า “จะเป็นอะไรไปเล่า? แต่ไหนแต่ไรมา ในสายตาของท่านเขยก็มีแต่แม่นางหนิงของเขาอยู่แล้วนี่นา”

มุมปากหนิงเหยากระดกขึ้น พลันพูดอย่างคนที่เขินอายจนพานเป็นความโกรธ “ป๋ายหมัวมัว นี่เพราะเจ้าหมอนั่นพูดกับท่านไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วใช่ไหม?”

หญิงชรายิ้มพูดเลียนแบบคุณหนูของตนยามที่พูดกับท่านเขย “จะเป็นไปได้อย่างไร”

หนิงเหยาลุกขึ้นยืน ไปปิดด่านต่ออีกครั้ง

การปิดด่านและออกจากด่านของนาง คล้ายจะเป็นไปตามใจตัวเองอย่างมาก

แต่หญิงชรากลับรู้ชัดเจนยิ่งกว่าใครว่า ความจริงก็เป็นเช่นนี้

การปิดด่านของคุณหนูครั้งนี้ แท้จริงแล้วสิ่งที่นางต้องการนั้นยิ่งใหญ่มาก

เพราะนางคือหนิงเหยา หนึ่งเดียวตลอดหมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่

วันนี้พวกเฉินซานชิวเองก็ใจตรงกันมาก ต่างก็ไม่ได้เข้าไปที่จวนหนิง

หลังจากประตูใหญ่ปิดลง เฉินผิงอันยื่นมือมาปิดปาก พอแบฝ่ามือออกดูก็ต้องขมวดคิ้ว

ดูท่าการถามหมัดครั้งที่สองบนหัวกำแพงเมือง หากไม่พูดถึงสถานการณ์ที่ใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเปิดฉากอย่างสมบูรณ์ ตนคงต้องพยายามปิดฉากลงภายในหนึ่งร้อยหมัดด้วย ไม่อย่างนั้นยิ่งเป็นช่วงหลังๆ โอกาสชนะก็จะยิ่งน้อย

น่าหลันเย่สิงกล่าวว่า “วิชาหมัดของแม่นางน้อยคนนี้บรรลุถึงแก่นแล้ว ไม่อาจดูแคลน”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แต่นางก็ยังต้องแพ้อยู่ดี ต่อให้นางจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เรือนกายปราดเปรียวว่องไวอย่างถึงที่สุด ต่อให้ถึงเวลานั้นข้าอาจจะไม่ได้ใช้ยันต์ย่อพื้นที่ก็ตาม”

หลังจากที่เฉินผิงอันเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากผ่านการขัดเกลาบนสนามรบหลากหลายรูปแบบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงเฉินผิงอันยังไม่เคยวิ่งตะบึงอย่างเต็มกำลังมาก่อน ดังนั้นแม้แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็ยังอยากรู้ว่า สรุปแล้วตนจะสามารถ ‘เดิน’ ได้เร็วแค่ไหน

จากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยอย่างจนใจว่า “เพียงแต่ว่าหลังจากผ่านวันนี้ไป ต่อให้ข้าเอาชนะได้ในสองครั้งหลัง กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ต้องมีคำกล่าวว่าหมัดเดียวต่อยให้เฉินผิงอันล้มคว่ำแพร่ไปอยู่ดี”

น่าหลันเย่สิงส่ายหน้า

เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “ไม่หรือ?”

น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “เฉินผิงอันที่ยืนนิ่งไม่ขยับ เถ้าแก่รองที่ล้มคว่ำด้วยหมัดเดียว”

เฉินผิงอันหยุดเดิน หันตัววิ่งไปทางประตูใหญ่ แล้วหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “ท่านปู่น่าหลัน หากหนิงเหยาถามถึงก็บอกไปว่าข้าถูกลากไปดื่มเหล้าที่ร้านนะ”

ไม่ได้ เขาต้องรีบไปที่ร้านเหล้าเพื่อสยบกลิ่นอายชั่วร้ายอัปมงคลนี้เสียหน่อย

อวี้เจวี้ยนฟูที่กลับมาถึงบนหัวกำแพงเมืองนั่งลงขัดสมาธิ ขมวดคิ้วครุ่นคิดลึกซึ้ง

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเอ่ยถาม “ครั้งที่สองก็ยังต้องแพ้หรือ?”

อวี้เจวี้ยนฟูพยักหน้ารับ “ขอแค่ถูกเขาใช้ท่าหมัดที่รับมือกับฉีโส่วต่อยมาโดนข้า ก็เท่ากับว่าแบ่งแพ้ชนะแล้ว ข้ากำลังคิดหาวิธีคลี่คลายสถานการณ์ แต่ดูเหมือนว่าจะยากมาก ตอนนี้ทั้งการออกหมัดและเรือนกายของข้าต่างก็ยังเคลื่อนไหวได้ไม่รวดเร็วมากพอ”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

อวี้เจวี้ยนฟูกล่าวว่า “คำพูดที่คนผู้นั้นเอ่ย ผู้อาวุโสได้ยินแล้วกระมัง?”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยพยักหน้ารับ นี่เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่เพียงแต่ไม่ใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือไปมองสนามรบอยู่ไกลๆ แต่กลับไปเยือนที่นครด้วยตัวเองมารอบหนึ่ง ก็แค่ไม่ได้เปิดเผยตัวก็เท่านั้น

อวี้เจวี้ยนฟูกล่าว “อันที่จริงการประลองครั้งที่สองข้าก็แพ้แล้ว”

ขู่เซี่ยกล่าวอย่างสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”

อวี้เจวี้ยนฟูทอดสายตามองไกลไปยังนคร “ต่อให้เขาเฉินผิงอันที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่จะมีศิษย์พี่จั่วโย่วที่อยู่ห่างไปไม่ไกล แต่เขาก็ยังรับผิดชอบกับคำพูดของตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องถามจั่วโย่วว่าจะตกลงหรือไม่ ข้ากล้าแน่ใจเลยว่าจั่วโย่วไม่ได้ดูศึกด้วยซ้ำ แต่ข้ากลับทำไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสเป็นห่วงข้าจึงแอบออกจากหัวกำแพง หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันกับข้า หากเกิดเรื่องกับข้าจริงๆ บรรพบุรุษตระกูลข้าและยังมีเซียนกระบี่ผู้เฒ่าโจวคงไม่สนใจคำสัญญาของข้าอวี้เจวี้ยนฟู ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องมีความเคลื่อนไหวบางอย่างเพื่อแก้แค้นอีกฝ่าย อย่างน้อยที่สุดในใจก็จะต้องรู้สึกยอกแสลง ต่อให้จะยังไม่ลงมือตอนนี้ แต่มหามรรคายาวไกล เส้นทางชีวิตคนยืนยาว ในอนาคตหากมีโอกาสก็จะยังคอยซ้ำเติม หรือไม่ก็ลงมือโดยตรง เพราะในสายตาของพวกเขา ข้าในเวลานี้ยังคงเป็นเด็กรุ่นหลัง แต่เฉินผิงอันผู้นั้น ต่อให้จะเป็นในใจของเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่ว รวมไปถึงคนอื่นๆ ทุกคนที่อยู่ข้างกายเขา กลับมีน้ำหนักมากพอที่จะ ‘พูดแรง’ ได้แล้ว”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม “แม้ว่าเหตุผลจะเป็นเช่นนี้จริง แต่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก็ไม่ควรใช้แค่วิชาหมัดมาแบ่งสูงต่ำหรอกหรือ?”

อวี้เจวี้ยนฟูส่ายหน้า “ไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่นั้น เฉาสือเคยบอกว่า ขอแค่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบได้ ถ้าอย่างนั้นรากฐานของปราณโชติช่วงซึ่งเป็นขั้นแรกก็มักจะสามารถตัดสินได้ว่า ชีวิตนี้ของผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งจะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตสิบเอ็ดในตำนานได้หรือไม่ หากเหยียบเข้าสู่ขอบเขตของคืนความจริงแต่เนิ่นๆ กลับไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป ตลอดหลายปีมานี้เฉาสือจึงใคร่ครวญมาตลอดว่าควรจะสร้างรากฐานให้กับขอบเขตปราณโชติช่วงนี้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงเลือกวิธีการหนึ่งที่น่าสนใจมากที่สุด”

ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่ค่อยสนใจการแก่งแย่งชิงดีของวิถีทางโลกอย่างเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ยังอดใคร่รู้ไม่ได้ “การเลือกของเฉาสือผู้นั้นน่าสนใจอย่างไร?”

อวี้เจวี้ยนฟูวางสองหมัดไว้บนหัวเข่า “สามลัทธิและเมธีร้อยสำนัก ทุกวันนี้เฉาสือล้วนศึกษาทั้งหมด ดังนั้นตอนนั้นเขาถึงได้ไปที่ซากปรักสนามรบโบราณแห่งนั้น เพื่อศึกษาปณิธานแท้จริงของเทวรูปแต่ละองค์ จากนั้นก็นำมาหลอมรวมเข้ากับวิชาหมัดของตัวเอง”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยส่ายหน้า “คนบ้า”

อวี้เจวี้ยนฟูยกมือขึ้นชี้ไปยังนครแห่งนั้น “เฉินผิงอันผู้นั้นก็ประหลาดมากเหมือนกัน อาจเป็นข้าที่รู้สึกไปเอง แม้ว่าวันนี้เขาที่อยู่บนถนนใหญ่จะไม่ได้ออกหมัดเลยสักครั้ง แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่า เขากับเฉาสือ มองดูเหมือนอยู่บนเส้นทางสายเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วทิศทางของทั้งสองกลับตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ต่างคนต่างเดินไปยังจุดห่างไกลที่อยู่ปลายสุด”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยยิ้มกล่าว “จะเป็นเจ้าที่คิดมากไปเองหรือเปล่า?”

อวี้เจวี้ยนฟูมีสีหน้าซับซ้อน “ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น! แต่ก็ไม่หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นอีกเหมือนกัน!”

ทางฝั่งของนคร

เฉินผิงอันเดินมาถึงร้านเหล้า ผลกลับพบว่าฉีจิ่งหลงกับป๋ายโส่วกำลังนั่งร่วมโต๊ะอยู่กับสตรีสองคน มีเพียงฉีจิ่งหลงที่กำลังกินบะหมี่หยางชุน ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีไม่น้อย

ฉีจิ่งหลงเงยหน้าขึ้น “อุตส่าห์ช่วยสร้างชื่อเสียงให้ข้า ลำบากเถ้าแก่รองแล้ว”

เฉินผิงอันหัวเราะร่า หันหน้ามองไปยังเทพธิดาหลูแห่งภูเขาสุ่ยจิงผู้นั้น

ฉีจิ่งหลงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ล้วนเป็นเรื่องเล็ก”