WSSTH ตอนที่ 2,507 : การแสดงอันดี!
“ผู้พิทักษ์ซ้าย…น้องหลิงเทียนสหายข้าคนนี้ กระทั่งเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์อันดับ 1 ของระนาบโหมหลัวที่ถือครองยอดสมบัติสวรรค์จนมีพลังเทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ก็ยังสังหารมาแล้ว”
เสียงกล่าวของจางยี่ยิ่งมายิ่งหนักเข้ม “เช่นนั้นนับประสาอะไรกับผู้พิทักษ์ขวา…กระทั่งใต้เท้าเสวียนอวิ๋นเจินเหรินมาเองก็มิอาจทำอะไรน้องหลิงเทียนสหายข้าได้…”
จางยี่ไม่อาจรู้ถึงพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว
และเหตุผลเดียวที่มันกล่าวบอกออกมา เพราะคิดเตือนให้จางฉู่เหออย่าได้คิดลากผู้พิทักษ์ขวาให้ลงน้ำไปด้วย!
แบบนี้มีแต่จะพาให้สำนักเทียนซือล่มจมเท่านั้น!
ในระนาบเหยียนหวง สำนักเทียนซือเป็นสำนักใหญ่มีคนมากมาย แต่ต้วนหลิงเทียนนั้นไม่ต่างอะไรจากหมาป่าเดียวดาย!
หากทั้ง 2 ฝ่ายเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้ขึ้นมา น่ากลัวว่าสำนักเทียนซือได้ถึงกาลฉิบหายแล้ว!
ในฐานะที่มันก็เป็นศิษย์สำนักเทียนซือคนหนึ่ง ไหนเลยอยากจะเห็นสำนักตัวเองกับสหายอันดีอย่างต้วนหลิงเทียนต้องเข่นฆ่าให้ตายกันไปข้าง…
ดังนั้นพอได้รู้ว่าจางฉู่เหอสมควรลอบส่งข้อความออกไปแล้ว แถมไม่พ้นคนผู้นั้นต้องเป็นผู้พิทักษ์ขวาแน่ มันจึงกล่าวเตือนจางฉู่เหอออกมาด้วยความลำบากใจ
“ต้วนหลิงเทียน?”
“ที่แท้มันก็คือต้วนหลิงเทียนที่เข่นฆ่าเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์ได้คนนั้น!”
ในตอนที่ท่องไปทั่วแดนลับต่างสวรรค์ จางฉู่เหอเคยได้ยินเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์มาแล้ว กระทั่งในบรรดาเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์ที่ว่ายังมีคนที่ถือครองยอดสมบัติสวรรค์อีกด้วย!
อย่างไรก็ตามสาเหตุที่เซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์คนนั้นถูกฆ่าตาย เพราะต้วนหลิงเทียนใช้วิธีประหลาดที่สามารถยึดครองยอดสมบัติสวรรค์ผู้อื่นได้…
กล่าวได้ว่าเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์ที่ว่าจะมียอดสมบัติสวรรค์หรือไม่มี ก็ไม่แตกต่างกัน…
เป็นธรรมดาว่าเรื่องที่จางฉู่เหอได้รู้มา มันจำกัดอยู่เพียงเท่านี้
มันไม่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรที่เกิดขึ้นด้านนอกมรดกสถานต้าหลัวจินเซียน มันจึงไม่คิดจะเชื่อคำพูดของจางยี่
เพียงคิดว่าจางยี่กำลังปั้นแต่งเรื่องราวแสร้งทำให้ต้วนหลิงเทียนเป็นดั่งยอดฝีมือลึกลับ หมายให้มันบังเกิดความคิดล่าถอย!
และหากทั้งหมดที่จางยี่กล่าวมาเป็นเรื่องจริง ในเมื่อต้วนหลิงเทียนร้ายกาจถึงขนาดนั้น…ไฉนอีกฝ่ายถึงมาเสียเวลาคุยไร้สาระกับมัน?
แค่ฆ่ามันทิ้งให้จบๆไปไม่ดีกว่าเหรอ?
อย่างไรก็ตามจางฉู่เหอไม่อาจคิดคาดได้ออกเลย…
เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนไม่คิดลงมือจัดการให้จบๆ เพราะเขาคิดทำอะไรเพื่อจางยี่!
“ผู้พิทักษ์ฉู่เหอเจ้าเรียกหาข้ามาแบบนี้ มีเรื่องอันใดหรือ?”
หลังจากรอไม่ทันครบหนึ่งเค่อ ในที่สุดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาแต่ไกล
จากนั้นไม่นานร่างชายชราตัวเตี้ยแต่กำยำล่ำสันก็ปรากฏตัวในสายตาต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ และพริบตามันก็วูบไปหยุดลอยข้างๆกายจางฉู่เหอ หันมากวาดตามองพวกต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ
“จางยี่?”
เมื่อได้เห็นร่างจางยี่ที่ลอยข้างๆต้วนหลิงเทียน ชายชราตัวเตี้ยแต่กำยำล่ำสันก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปวูบหนึ่ง
“น้องหลิงเทียนนี่คือผู้พิทักษ์ขวาของสำนักเทียนซือข้า ผู้พิทักษ์ฉีจง…ท่านผู้พิทักษ์ขวามีไมตรีกับท่านอาจารย์ของข้าไม่น้อย หากทำได้ขอเจ้ายั้งมือไว้ไมตรีด้วย…”
เมื่อเห็นชายชราร่างเตี้ยบึกบึนที่พึ่งปรากฏตัว จางยี่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ค่อยหันไปส่งเสียงผ่านพลังกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน ให้ยั้งมือไว้ไมตรีผู้พิทักษ์ฉีจงของสำนักเทียนซือมันคนนี้
“ไม่ต้องห่วง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบคลายกังวลให้จางยี่ค่อยพูดต่อว่า “นอกจากจางฉู่เหอแล้วข้าไม่คิดฆ่าคนอื่นอีก เพราะอย่างไรข้ารู้ดีว่าเจ้าเองก็ยังต้องกลับไปสำนักเทียนซือ”
“ทำอย่างไรได้…ที่นั่นก็เหมือนรากของข้า…”
จางยี่ถอนหายใจ
“ผู้พิทักษ์ฉีจง ศิษย์จางยี่ผู้นี้หาญกล้าร่วมมือกับคนนอกเข่นฆ่าศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันอย่างหลานชายข้า จางอวิ๋นเฟย โทษมันหนักหนายากอภัย! จำต้องประหารทิ้งสถานเดียว!!”
จางฉู่เหอกล่าวออกเสียงเข้ม
วูบ
แทบจะพอดีกับที่จางฉู่เหอกล่าวจบคำ สีหน้าของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาสำนักเทียนซือ ฉีจง ก็แปรเปลี่ยนไปทันที มันยังหันไปมองจางยี่ด้วยสายตารุนแรง กล่าวถามออกมาเสียงหนักว่า…
“จางยี่ ที่ผู้พิทักษ์ฉู่เหอกล่าวใช่เป็นความจริงหรือไม่…เจ้าถึงขั้นร่วมมือกับคนนอกเข่นฆ่าสังหารศิษย์ร่วมสำนักเราเชียวหรือ?”
ถึงแม้จางยี่จะเป็นศิษย์ในสำนักที่มันเอ็นดูไม่น้อย
อย่างไรก็ตามจางอวิ๋นเฟยนั้น เป็นอันจริยะที่โดดเด่นของสำนักเทียนซือ จะเป็นรองก็แต่จางอวิ๋นเถิงพี่ชายฝาแฝดเท่านั้น นับว่ามีความสำคัญกับสำนักเทียนซือไม่น้อย!
เช่นนั้นหลังได้ยินเรื่องที่จางยี่ร่วมมือกับคนนอกเข่นฆ่าสังหารจางอวิ๋นเฟย ไหนเลยมันจะไม่มีโทสะได้!?
“ผู้พิทักษ์ฉี ข้า…”
ได้ยินคำถามด้วยน้ำเสียงจริงจังของฉีจง จางยี่แน่นอนว่าต้องคิดอธิบายเรื่องราวออกไปอย่างละเอียด แต่มันพึ่งจะเปิดปากพูดไปได้ไม่กี่คำ เสียงเยียบเย็นของจางฉู่เหอก็ดังขึ้นขัดคำเสียก่อน “จางยี่เจ้ายังคิดจะกล่าวแก้ตัวอันใดอีก! เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้าได้เห็นมันกับตาตัวเองผ่านม่านแสงสะท้อน เจ้าไม่เพียงไม่สำนึกแต่ยังมีหน้ามาแก้ตัวน้ำขุ่นๆอีกรึ!?”
“วันนี้ข้าจักฆ่าคนที่มันสังหารหลานชายของข้าก่อน แล้วค่อยหันไปคิดบัญชีกับเจ้า!!”
หลังพูดประโยคดังกล่าวจบคำ ร่างจางฉู่เหอก็ท่องทะยานออกไปทันที มองไปดั่งสายรุ้งเส้นยาวพาดผ่านความว่างเปล่า บึ่งตรงไปทางต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด!
มันเลือกที่จะจู่โจมอัศจรรย์หมายให้ต้วนหลิงเทียนไม่ทันตั้งตัว!
และคราวนี้มันก็ไม่คิดออมรั้งยั้งมือแม้แต่น้อย!
เพราะมันรู้แล้วว่าความแข็งแกร่งของศัตรูไม่ได้ด้อยไปกว่ามัน
“ไม่เจียมตัว!”
เผชิญหน้ากับจางฉู่เหอที่พุ่งทะยานเข่นฆ่าสังหารเข้ามาฉับไว สองตาต้วนหลิงเทียนหดหยีเผยประกายเยียบเย็น มือหนึ่งยืนออกไปเบื้องหน้าราวกับสั่งการอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นเอง
ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!
…
ค่ายกลกระบี่ที่กลับมาลอยล่องเหนือศีรษะต้วนหลิงเทียนตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ ยามเมื่อมือของต้วนหลิงเทียนยื่นไปเบื้องหน้า พวกมันก็ดั่งจะมีดวงตางอกกเงยขึ้นมา ยิงพุ่งรังสีกระบี่สวนออกไปเป็นสาย…เรียงตัวราวสายธารโถมถันเข้าใส่จางฉู่เหอ!!
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
…
เมื่อต้องเผชิญกับรังสีกระบี่ทีซัดพุ่งมาจากค่ายกลกระบี่เหนือศีรษะต้วนหลิงเทียน อันทรงพลังทัดเทียมกับการลงมือเต็มกำลังของเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์ จางฉู่เหอที่ชิงลงมือออกมาก่อน ก็เร่งออกกระบวนท่าดุร้ายด้วยพลังทั้งหมดที่มีอย่างไร้ซึ่งการออมรั้งใดๆ ปะทะหักหาญกับรังสีกระบี่ต้วนหลิงเทียนตรงๆ!
เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!
…
เสียงราวกับมีบางสิ่งฉีกขาดดังขึ้นถี่ยิบ!
เป็นเสียงความว่างเปล่ารอบกายจางฉู่เหอ!
และมองไปตอนนี้ ความว่างเปล่าเบื้องหน้าของจางฉู่เหอที่ออกกระบวนท่าดุร้ายปะทะทำลายกับรังสีกระบี่ของต้วนหลิงเทียนนั้น คล้ายจะแตกสลายทลายลง! บังเกิดเป็นรอยแยกท่ามกลางความว่างเปล่าเส้นหนานับไม่ถ้วน มองไปยังคล้ายใยแมงมุมมากมายพันซ้อนกันอยู่บ้าง!!
“ทรงพลังจริงๆ!”
ถังเซี่ยวเซี่ยวที่ลอยอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน อดไม่ได้ที่จะมองเรื่องราวด้วยสองตาลุกวาว
ถึงแม้ก่อนหน้านางจะเคยได้ยินเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนมาแล้ว แต่ได้ยินกับเห็นด้วยตามันต่างกันคนละเรื่อง!
นางรู้ว่าจางฉู่เหอนั่นเป็นเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์ที่แท้จริง!
“อั๊ค–!”
ถึงแม้จางฉู่เหอจะปะทุพลังชั่วชีวิตออกกระบวนท่าทำลายรังสีกระบี่ต้วนหลิงเทียนไปได้ไม่น้อย แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่อาจต้านทานได้หมด!
และเมื่อพลังของมันขาดห้วง…สุดท้ายจึงถูกรังสีกระบี่จากค่ายกลกระบี่เหนือหัวต้วนหลิงเทียนที่เหลืออีกไม่กี่เล่มปะทุพลังซัดเข้าร่างอย่างจัง! ร่างมันปลิดปลิวละลิ่วดั่งว่าวสายป่านขาด…โลหิตกระอักออกปากเป็นสายแดงกลางหาว!!
เห็นฉากเรื่องราวการปะทะกันของสองขุมพลังร้ายกาจกลางหาว ผู้พิทักษ์ขวาฉีจงอดไม่ได้ที่จะหดหยีลูกตา หันไปมองชายหนุ่มชุดม่วงอีกครั้งในแววตายังฉายชัดออกมาถึงความระแวดระวังทั้งกริ่งเกรง!
เพราะตอนที่มันพึ่งมาถึง มันก็ได้ลองแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบแต่แรก จนได้รู้ว่า…
ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า พลังฝึกปรือก็เพียงแค่ครึ่งก้าวเซียนอมตะเท่านั้น!
ทว่าตอนนี้ตัวตนขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะ แม้จะปะทะกับจางฉู่เหอผู้พิทักษ์ซ้ายของสำนักเทียนซือมันตรงๆ กลับมีชัยเหนือกว่า!
ถึงแม้มองแล้วจะเป็นชัยชนะแบบเฉียดฉิว แต่เหนือกว่าจะอย่างไรก็คือเหนือกว่า!!
‘มิน่าแปลกใจเลยไฉนจางฉู่เหอถึงได้เรียกข้ามาที่นี่อย่างเร่งด่วน…ที่แท้เจ้าหนุ่มนั่นกลับร้ายกาจถึงเพียงนี้!’
เมื่อเห็นพลังฝีมือของชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้ากับตา ฉีจงอดที่จะบังเกิดความกริ่งเกรงขึ้นมาในใจไม่ได้ หากแต่มันก็ยังไม่ได้หวาดกลัว!
เพราะจากพลังฝีมือที่อีกฝ่ายเผยออกให้เห็นตรงหน้า ขอเพียงมันกับจางฉู่เหอร่วมมือกัน ย่อมเอาชนะได้ไม่ยาก!
“ท่านผู้นี้ ใช่ท่านได้รับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียนของแดนลับต่างสวรรค์ครานี้มาหรือไม่?”
ฉีจงมองต้วนหลิงเทียนพลางถามออกมาตรงๆด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ข้ามิรู้…ว่าท่านผู้นี้มาจากขุมพลังใด?”
“ผู้พิทักษ์ฉีจง เจ้านั่นมันมิได้เป็นคนของระนาบเหยียนหวงเรา…”
ตอนนี้เองจางฉู่เหอที่เริ่มฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บเมื่อครู่ พลันกล่าวออกเสียงหนักว่า “มันเป็นคนของระนาบขนาดย่อมอย่างระนาบเซียน…อีกทั้งในค่ายกลกระบี่ของมันมียอดสมบัติสวรรค์ประเภทกระบี่แฝงอยู่!”
“กระบี่เซียนอมตะ?”
ได้ยินคำของจางฉู่เหอ ฉีจงพลันมองไปยังความว่างเปล่าเหนือศีรษะต้วนหลิงเทียนทันที ตอนนี้ค่ายกลกระบี่ของต้วนหลิงเทียนก็ได้เปล่งรังสีกระบี่ออกมาเติมเต็มจนสมบูรณ์เหมือนก่อนเรียบร้อย และใจกลางค่ายกลก็ปรากฏกระบี่เซียนอมตะลอยล่องอยู่!
ทันใดนั้นสองตาของมันก็ลุกวาวขึ้นมาทันที!
“คนของสำนักเทียนซือลีลาขนาดนี้เลยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองจางฉู่เหอกับฉีจงด้วยสายตาเบื่อหน่าย สุดท้ายก็กล่าวออกด้วยน้ำเสียงที่คล้ายหมดความอดทน
ตอนแรกที่เขารอให้ฉีจงมาถึง เพราะคิดจะปูทางให้จางยี่
ในเมื่อตอนนี้ฉีจงก็มาแล้ว เขาก็คร้านจะเสียเวลาอีกต่อไป
“หยิ่งยโสนัก!”
ได้ยินวาจาน้ำเสียงรำคาญของต้วนหลิงเทียน หน้าจางฉู่เหอเปลี่ยนไปทันใด กระทั่งสีหน้าฉีจงยังมืดมนลงทันที
เพราะมันเองก็รู้สึกว่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าช่างหยิ่งยโสเกินไป!
“ฮึ่ม!!”
หลังจางฉู่เหอสบถคำออกมาอีกครั้ง มันก็ปะทุพลังพุ่งจู่โจมเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอีกรอบ! ทำราวกับแมลงสาบไม่ยอมตาย!!
“ผู้พิทักษ์ขวาของสำนักเทียนซือ ฉีจง ใช่หรือไม่?”
“ที่ข้ารอให้เจ้ามาถึงก่อน ทั้งหมดเพื่อให้เจ้าได้ดูการแสดงอันดีประการหนึ่ง…ตอนนี้ในเมื่อเจ้าเองก็มาแล้ว เช่นนั้นข้าเปิดม่านการแสดงให้ดูเลยแล้วกัน”
เผชิญหน้ากับจางฉู่เหอที่เข่นฆ่าสังหารเข้ามาด้วยพลังทั้งหมดอีกรอบ ต้วนหลิงเทียนไม่แม้จะชายตาแลมอง เพียงหันไปกล่าวคำกับฉีจงด้วยน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน
“การแสดงอันดี?”
ในขณะที่ฉีจงเตรียมลงมือสอดประสานการโจมตีกับจางฉู่เหอ มันก็ต้องสะอึกไปทันใดเพราะวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน
และพริบตาต่อมา มันก็ได้เห็นฉากอันยากจะลืมเลือน!
มันได้เห็นว่า ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ค่ายกลกระบี่เหนือศีรษะพลันเปล่งแสงออกมาอีกครั้ง!
ทว่าคราวนี้ที่พุ่งเข่นฆ่าสังหารออกไปหาได้มีแต่รังสีกระบี่ไม่! ยังมีประกายกระบี่มากกว่า 5 ถึง 6 กระบี่พุ่งออกมาตามติด!!
และในชั่วพริบตาประกายกระบี่ชุดหลังก็พุ่งไปผสานรวมเข้ากับรังสีกระบี่ชุดแรกด้วยความเร็วสูง! กลิ่นอายพลังทำลายล้างอันน่าพรั่นพรึงพลันปะทุระเบิดออกมาทันใด!!
เป็นต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วย 13 กระบี่บงกชฟ้า! ยังเป็นการลงมือเต็มกำลัง!!
“กลิ่นอายพลังนี่มัน!”
กลิ่นอายพลังอันน่ากลัวดังกล่าว ไม่ใช่อะไรที่ฉีจงไม่คุ้นเคย!
“ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้! ไม่—!!”
เสียงตื่นตระหนกของจางฉู่เหอลั่นดังขึ้น
มันที่ได้ลงมือด้วยพลังทั้งหมดจู่โจมออกไปเหมือนก่อนหน้า…ทว่าคราวนี้เพียงเสี้ยวพริบตาก็ถูกรังสีกระบี่ทำลายกระบวนท่าได้อย่างง่ายดาย!
และมันยังกล่าวไม่ทันได้จบคำ ร่างก็ถูกรังสีกระบี่ดังกล่าวกลืนกิน!!
‘ซะ…เซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์! มัน…พลังของมัน…เทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์!!’
ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าทำให้ใจฉีจงสะท้านสะเทือนนัก และมันยังตระหนักได้ว่า…
ที่แท้ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าคนนี้ กลับมีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์!
‘แม้จะเป็นครั้งที่แล้วที่แดนลับต่างสวรรค์เปิดออก แต่ฟงชิงหยางจากระนาบเซียนที่ได้รับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียนไป…ก็มิใช่ว่ามีพลังดุร้ายเท่านี้ก่อนขึ้นสวรรค์หรือไร?!’
ฉีจงลอบกล่าวในใจอย่างหวั่นหวาด