หลังจากเงียบไปเกือบสิบวินาที วีลอสและคนที่เหลือในตระกูลอับราฮัมต่างหันหน้ามาจ้องฟอร์ส
เมื่อสัมผัสถึงความหวาดระแวง ระมัดระวัง และความกลัวที่ผสมปนเป ฟอร์สก้าวออกมาด้านข้างและกล่าว
“ระวังผลข้างเคียงด้านลบ”
แม้ตะกอนพลังของผู้วิเศษจะยังไม่ผสานกับสิ่งรอบข้างเพื่อกลายเป็นสมบัติปิดผนึก แต่ก็ยังหลงเหลือผลข้างเคียงด้านลบอยู่พอสมควร ถึงแม้ตามปรกติแล้วจะต้องสัมผัสโดยตรงจึงจะเกิดปัญหา ทว่า ตะกอนพลังส่วนใหญ่ที่นี่อยู่ในลำดับสูง ไม่มีใครยืนยันได้ว่าพวกมันจะไม่ส่งอิทธิพลด้านลบเป็นวงกว้างรอบตัว
เมื่อเห็นฟอร์สมิได้เผยความโลภออกนอกหน้า โดเรียนพยักหน้า
“หลังจากคุณย่อยโอสถจอมเวทลึกลับเสร็จ สามารถเลื่อนเป็นลำดับ 3 ‘นักพเนจร’ ต่อได้ทันที ผมจะมอบสูตรโอสถและช่วยเตรียมวัตถุดิบที่จำเป็นไว้ให้ แต่แน่นอน ยิ่งลำดับสูงเท่าไรก็ยิ่งอันตราย เป็นสถานการณ์บังคับซึ่งจะไม่คำนึงถึงพลังใจและการเตรียมตัวของคุณ เมื่อเวลานั้นมาถึง ให้คุณตัดสินใจเอาเองว่าจะเลื่อนตำแหน่งหรือไม่”
ในแง่หนึ่ง มันกล่าวเช่นนี้เพราะห่วงใยศิษย์ของตน และในอีกแง่หนึ่ง มันพูดเพื่อให้เธอสบายใจ บอกเป็นนัยว่าสิ่งที่ตระกูลอับราฮัมครอบครอง เทียบเท่ากับสิ่งที่เธอครอบครอง จะไม่มีใครปฏิบัติกับเธอเหมือนคนนอก หรือพยายามขัดขวางการเลื่อนลำดับ
โดเรียนทำไปเพื่อขจัดความโลภซึ่งมีโอกาสลุกโชนภายในใจหญิงสาว
หลังจากรวบรวมตะกอนพลังลำดับสูงได้มากมาย วีลอสและสมาชิกตระกูลที่เหลือย่อมไม่รังเกียจที่จะสละตะกอนพลังนักพเนจรสักก้อน พวกมันยังมองว่า คงเป็นการดีกว่าหากจะใช้ตะกอนพลังเพื่อแลกกับ ‘สันติภาพ’ อันยั่งยืน เพราะต้องไม่ลืมว่า ในปัจจุบัน ที่นี่มีครึ่งเทพเพียงคนเดียว และคนคนนั้นคือฟอร์ส
สมาชิกตระกูลอับราฮัมไม่มีเวลาเพียงพอที่จะนำสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ออกมา และไม่กล้าพกพาสมบัติปิดผนึกระดับ 1 ติดตัวเนื่องจาก ‘ผนึก’ ทั้งหมดล้มเหลวจนกระทั่งเมื่อครู่ ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว ลำพังฟอร์สเพียงเดียวจึงสามารถจัดการพวกมันทุกคนได้ง่ายดาย
ได้ยินคำมั่นสัญญาจากปากอาจารย์ ฟอร์สอืมในลำคอ
“นี่คือผลพวงจากการที่ ‘ประตู’ ของมิติซ่อนเร้นถูกเปิดออก?”
หญิงสาวเข้าใจว่า ตะกอนพลังลำดับสูงตรงหน้าเธอคือวัตถุที่ถูกเก็บอยู่ในคลังสมบัติของตระกูลอับราฮัม แต่ถูกโยนออกมายังโลกความจริงเนื่องจากความผิดปรกติที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ภายในใจฟอร์สยังมองว่า จำนวนตะกอนพลังมีมากเกินไป
“ไม่ใช่” โดเรียนส่ายศีรษะเชื่องช้า สีหน้าเผยความสับสน
ตระกูลอับราฮัมที่เหลือเองก็นิ่งเงียบและมึนงงไม่ต่างกัน
หากไม่ใช่เพราะสมบัติเหล่านี้หล่นมาจากสวรรค์ต่อหน้าต่อตา ก็คงยากจะมีใครเชื่อลง!
“สวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลไหม?” ฟอร์สเสนอแนะ
โดเรียนซึ่งพอจะคาดเดาบางสิ่งได้ หันไปมองวีลอสและสมาชิกตระกูลคนอื่น พบว่าทุกคนที่หันมานับถือเดอะฟูลพยักหน้าเห็นด้วย แต่คนที่ยังไม่เปลี่ยนใจ แสดงออกถึงความลังเลและอยากคัดค้าน
ไตร่ตรองสักพัก โดเรียนรวบสมาธิก่อนจะกล่าว
“แยกตะกอนพลังที่มีผลข้างเคียงเป็นวงกว้างออกไปก่อน ไม่ให้พวกมันผสานเข้ากับสิ่งรอบข้าง… ผมจะสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล”
“ตกลง” สมาชิกตระกูลจำนวนหนึ่ง พยักหน้ารับหลังจากลังเลสักพัก
ถัดมา พวกมันอาศัยโอกาสนี้เพื่อแยกแยะชนิดของตะกอนพลัง จากนั้นก็พยายามรวบรวมออกมา
หลังจากสมาชิกกลุ่มดังกล่าวแยกตะกอนพลังที่เป็นอันตรายออกมาสำเร็จ โดเรียนถอยกลับไปหาศิษย์อย่างฟอร์ส ก้มศีรษะลงและสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล
เพียงไม่นาน ฉากสายหมอกสีเทาและวังโบราณได้ปรากฏขึ้นในการมองเห็น น้ำเสียงอันสูงส่งและน่าเกรงขามดังกังวาน:
“เหล่านี้คือมรดกของมิสเตอร์ประตู คำสาปของสายเลือดตระกูลอับราฮัมสลายไปแล้ว”
มรดกของมิสเตอร์ประตู… มรดก… โดเรียนเคี้ยวคำซ้ำ ลืมตาขึ้น จ้องไปทางกลุ่มตะกอนพลังลำดับสูง
มันจ้องมองอย่างเงียบงัน การมองเห็นค่อยๆ พร่ามัว
…
แคว้นเชสเตอร์ตะวันออก คฤหาสน์ตระกูลฮอลล์
อัลเฟรดและคนที่เหลือซึ่งเพิ่งค้นหาตัวการที่ตะโกนว่า ‘ศัตรูโจมตี’ และโยนระเบิดพบ เห็นประตูและหน้าต่างทุกบานเปิดออกพร้อมกันและกระแทกเข้ากับผนัง
ระหว่างนั้น กระจกหลายบานแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย
มีความผิดปรกติเกิดขึ้นจริงๆ … อัลเฟรดยกมือขึ้นด้วยท่าทางเคร่งขรึม กล่าวกับคนสนิท ทหาร และบอดี้การ์ดของบิดา
“ตอนนี้กลับไปที่อาคารหลักก่อน เตรียมตัวรับมือกับเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นอีก… ขณะเดียวกัน ส่งโทรเลขไปยังอาร์ชบิชอปประจำมุขมณฑลเชสเตอร์ตะวันออกเพื่อขอความช่วยเหลือ”
มันเชื่อว่า สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้มิใช่การสืบหาสาเหตุของความผิดปรกติ หากแต่เป็นการปกป้องพ่อแม่ และน้องสาว
หากจะสืบสวน ยังมีเวลาให้ทำอีกมากหลังจากรุ่งสาง แต่สำหรับครอบครัว คนกลุ่มนี้เผชิญเหตุไม่คาดฝัน คงยากจะรับมือได้ทันท่วงที
หลังจากกลับมายังอาคารหลักของคฤหาสน์และออกคำสั่งลาดตระเวนอย่างเข้มงวด อัลเฟรดเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นและพูดกับเอิร์ลฮอลล์
“มีความผิดปรกติเกิดขึ้นจริง แต่เวรยามไม่สามารถบรรยายสิ่งที่ตัวเองเห็นออกมาได้ มีเพียงความหวาดกลัวที่ท่วมท้นจิตใจในเวลานั้น”
เอิร์ลฮอลล์พยักหน้าเยือกเย็น
“ไว้ค่อยสืบสวนเพิ่มเติมหลังจากรุ่งสาง… เจ้านั่งลงแล้วพักผ่อนก่อน”
ออเดรย์ซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง กุมมือมารดาพลางตั้งใจฟังบทสนทนาระหว่างพ่อและพี่ชายทั้งสองอย่างเงียบงัน
แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงภายนอก ความจริงแล้วเธอแอบแยกบุคลิกเสมือนอย่างต่อเนื่องและส่งไปสืบหาสาเหตุที่ประตูและหน้าต่างเปิดเองอย่างแปลกประหลาด ผ่านความทรงจำของผู้เห็นเหตุการณ์รอบคฤหาสน์
ผ่านไปไม่กี่นาที หญิงสาวยุติการสืบสวนด้วยผลลัพธ์ที่น่าผิดหวัง ไม่มีทางเลือกนอกจากคาดเดาไปก่อนว่า สิ่งเหล่านี้เป็นอิทธิพลจากการต่อสู้ระหว่างอาริฮ็อกและมิสเตอร์โทสะ
ทันใดนั้นเอง ออเดรย์พบว่าดวงตาของซูซี่ โกลเดนรีทรีเวอ์ตัวใหญ่ดูแปลกไปเล็กน้อย จึงทำการแบ่งบุคลิกเสมือนและส่งเข้าไปในเกาะแห่งจิตของอีกฝ่ายเพื่อสนทนาอย่างลับๆ
“ค้นพบอะไรหรือ?” ออเดรย์ถามเข้าประเด็น
บนเกาะแห่งจิตของซูซี่ เสียงหนึ่งดังกังวาน
“ฉันได้กลิ่นเลือดแรงมากมาจากริมคฤหาสน์ เกิดขึ้นก่อนที่ประตูและหน้าต่างเปิดออกเล็กน้อย… อา ประมาณสิบวินาทีหลังจากเสียงระเบิด”
ได้ยินเช่นนั้น ออเดรย์เม้มปากและกล่าวเสียงแผ่ว
“ไปดูให้หน่อย”
ซูซี่เลิกหมอบทันที วิ่งออกจากห้องนั่งเล่น ออกจากอาคารหลักผ่านประตูด้านข้างบนทางเดินชั้นหนึ่ง
ระหว่างนั้น มีหลายคนหันมามองเธอเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจ ไม่มีใครพยายามหยุด เพราะเธอเป็นแค่สุนัข สุนัขที่ชำนาญการใช้พลังล่องหนทางใจ
หลังจากเดินไปตามทางจนกระทั่งถึงอาคารหลังที่ไกลจากตึกหลักมากที่สุด ซูซี่ฟุดฟิดจมูก เล็งหน้าต่างบานที่เปิดอยู่และกระโดดเข้าไป
ทันใดนั้น เธอเห็นศพอันน่าสยดสยองนอนอยู่บนเตียง ร่างกายโชกเลือด หนังถูกถลกออกจากร่าง
และสิ่งที่ซูซี่เห็น ย่อมเท่าสิ่งที่ออเดรย์เห็นผ่านบุคลิกเสมือนบนเกาะแห่งจิต
ภายในอาคารหลักของคฤหาสน์ ในห้องนั่งเล่น ออเดรย์ซึ่งกำลังกุมมือมารดา ก้มศีรษะลงต่ำ
ถัดมา หญิงสาวเงยหน้าขึ้น กวาดสายตาอย่างเชื่องช้า เพ่งพินิจใบหน้าของเอิร์ลฮอลล์ คุณหญิงเคทลิน ฮิบเบิร์ต และอัลเฟรด
ออเดรย์ยังคงเงียบ และยิ่งเงียบเมื่อเวลาผ่านไป
…
บายัม ภายในมหาวิหารคลื่นสมุทร
อัลเจอร์ซึ่งแต่งกายในชุดคลุมปักลวดลายพายุ ย่างกรายทีละก้าวจนกระทั่งถึงด้านบน พยักหน้าให้กับทูตพิพากษาและนักบวชที่กำลังยืนรอ
“ผนึกกลับสู่ภาวะปรกติทันเวลา… นำสมบัติกลับมาเก็บรักษาตามเดิมได้”
“ครับ ท่านเจ้าคุณวิลสัน!” ทูตพิพากษา นักบวช และบิชอปต่างถอนหายใจโล่งอก กำหมัดขวากระแทกอกซ้าย
อัลเจอร์มิได้กล่าวคำใด เพียงตอบรับด้วยท่าทางแบบเดียวกัน
เมื่อกลับถึงห้อง มันมองไปรอบตัว ถอนหายใจเชื่องช้าและหาที่นั่ง
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…” อัลเจอร์สวดวิงวอนถึงเดอะฟูลเสียงแผ่ว แสดงความประสงค์ที่จะออกจากศาสนาวายุสลาตัน
คำอธิบายที่ว่า ผนึกกลับมาทำงานได้ทันเวลา สามารถใช้ได้กับสมาชิกระดับล่างของโบสถ์เท่านั้น ไม่มีทางตบตาเบื้องบนอย่างพระคาร์ดินัลหรืออาวุโสของจิตแห่งจักรกล ยังไม่ต้องพูดถึงสังฆราชและเทพวายุสลาตัน
และหากไม่ได้รับการยินยอมและการคุ้มครองจากมิสเตอร์ฟูล อัลเจอร์ไม่กล้าบุ่มบ่ามหลบหนีจากโบสถ์วายุสลาตันตามอำเภอใจ ไม่อย่างนั้นคงได้เผชิญการลงทัณฑ์จากสวรรค์
ถัดมาไม่กี่วินาที มันมองเห็นหมอกสีเทาไร้ขอบเขตที่คุ้นเคย และเสียงตอบรับจากมิสเตอร์ฟูล
“ตกลง… จงไปยังวิหารเทพสมุทร”
ฟู่ว… อัลเจอร์ถอนหายใจ ลุกขึ้นยืน ถอดเสื้อคลุมวายุสลาตันออก
หลังจากเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตลินิน แจ็กเกตสีน้ำตาล และกางเกงขาบาน อัลเจอร์ก้มมองชุดคลุมของพระคาร์ดินัลบนโต๊ะด้วยความเงียบงันเป็นเวลานาน
จากนั้น มันเหยียดแขนออกไปพับชุดคลุมให้เรียบร้อย
จดจ้องอยู่สักพัก อัลเจอร์ถอนสายตากลับ ขี่พายุบินออกจากวิหารทางหน้าต่าง
มันบินขึ้นไปด้านบนสุดของหอระฆัง มองลงมายังถนนโดยรอบและเมืองบายัมทั้งหมด
ระหว่างนั้น อัลเจอร์เดินวนไปรอบๆ ขอบหลังอย่างเชื่องช้า
ในท้ายที่สุด มันหลับตาลง
พายุเฮอร์ริเคนก่อตัวขึ้น พัดพาอัลเจอร์ไปยังตำแหน่งของวิหารเทพสมุทร
…
เหนือสายหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ
ไคลน์กำลังนั่งนิ่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล
ในบางคราว ร่างกายของมันจะพร่ามัว ดูคล้ายกับกำลังสวมชุดคลุมสีดำทรงโบราณ ผ้าคลุมศีรษะปกปิดใบหน้าจนยากจะมองเห็น และบางคราวก็กลับมาเป็นปรกติ ถูกห่อหุ้มด้วยสายหมอกสีเทา
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นสลับกัน แต่ความถี่ยิ่งน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป
และทุกครั้งที่ไคลน์เปลี่ยนเป็นร่างสวมชุดคลุมหัวสีดำ หนวดรยางค์ผิวลื่นสลักลวดลายประหลาดจะยื่นออกจากใต้เสื้อผ้า
หนวดรยางค์ซึ่งเกือบจะโปร่งใสเหล่านี้กวัดแกว่งไปมาส่งเดช ปกคลุมทุกตารางนิ้วภายในวังอย่างทั่วถึง
ผ่านไปสักพัก ร่างของไคลน์ก็เกิดเสถียรภาพ
ชายหนุ่มยกมือขวาลูบหน้าผาก กล่าวกลับตัวเองเสียงเงียบ
เจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินฟื้นตัวเร็วกว่าที่เราคิดไว้มาก… หากไม่ใช่เพราะเราดูดซับตะกอนพลังของซาราธและอาศัยตราประทับทางจิตของมันเพื่อสร้างสมดุลสำหรับยื้อเวลา คงยากที่ยับยั้งการตื่นขึ้นของอีกฝ่ายได้ทัน…
อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์ทำให้จิตใจของไคลน์ยังไม่คงที่สักเท่าไร
สาเหตุสำคัญที่ชายหนุ่มมิได้คลุ้มคลั่งคาที่ เป็นเพราะโอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ถูกย่อยอย่างสมบูรณ์ และโอสถบริวารเร้นลับที่เพิ่งดื่มเข้าไปก็ย่อยเกือบสมบูรณ์ภายในพริบตา – ตัวตนของ ‘เดอะเวิร์ล’ ซึ่งเป็นข้ารับใช้ของปราสาทต้นกำเนิด มีคุณสมบัติเทียบเท่า ‘บริวารเร้นลับ’ ส่งผลให้ไคลน์ได้สวมบทบาทเป็นบริวารเร้นลับล่วงหน้ามานานแล้ว และประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น
แต่สำหรับตะกอนพลังบริวารเร้นลับก้อนที่สอง ชายหนุ่มต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะย่อยหมด
……………………………