ราชันเร้นลับ 1356 : เร่งด่วน

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

หลังจากรักษาสมดุลอันเปราะบางระหว่างหลักยึดเหนี่ยว ราชันสวรรค์ฟ้าดิน และจิตใต้สำนึกของตัวเองจนมีเสถียรภาพ ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้พลางตรวจสอบพลังพิเศษใหม่ซึ่งเพิ่มขึ้นหลังจากกลายเป็นบริวารเร้นลับ

จากบรรดาทั้งหมด มีพลังสามชนิดที่โดดเด่นที่สุด เป็นสิ่งที่ไคลน์เชี่ยวชาญการใช้งานผ่านปราสาทต้นกำเนิดและ ‘ม่าน’ มาก่อนแล้ว เพียงแต่ไม่เคยทราบชื่อที่ถูกต้อง:

ชนิดแรกคือพลัง ‘กำเนิดใหม่’  หากส่วนประกอบของวัตถุเป้าหมายเคยมีด้ายวิญญาณ บริวารเร้นลับสามารถใช้พลัง ‘กำเนิดใหม่’ เพื่อเรียกด้ายวิญญาณกลับมาอีกครั้ง และเปลี่ยนให้วัตถุดังกล่าวกลายเป็นหุ่นเชิดพร้อมกับสร้างสายสัมพันธ์อันลึกซึ้ง

สรุปโดยสั้น บริวารเร้นลับมิอาจสร้างด้ายวิญญาณจากสิ่งที่ไม่เคยมีได้ แต่สามารถให้กำเนิดใหม่จากสสารที่เคยมีด้ายวิญญาณแต่หายไป ซึ่งวัตถุจำพวกโลหะอย่างเหรียญทอง ทองแท่ง หรืออื่นๆ อยู่ในหมวดแรก โดยที่ผลิตภัณฑ์จากสัตว์อย่างเนื้อวัว ปลา และอาหารจะอยู่ในหมวดหลัง – เมื่อมนุษย์กินอาหารที่กลายเป็นหุ่นเชิดเข้าไป เหยื่อก็จะถูกเปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิดเช่นกัน ลักษณะเดียวกับการถูกกัดกร่อนอย่างรุนแรง

ชนิดที่สองคือพลัง ‘ผนวกใหม่’ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘แผลง’ : สามารถนำวัตถุทางกายภาพ หรือแนวคิดเชิงนามธรรมหลายชนิดมา ‘ผนวกใหม่’ จนกลายเป็นผลลัพธ์อันน่าเหลือเชื่อ ประหนึ่งเป็นการ ‘แผลง’ นิยาม ตรรกะ ทิศทาง หรือกฎเกณฑ์ของสิ่งนั้นๆ

ชนิดที่สามคือพลัง ‘ดินแดนเร้นลับ’ : เป็นพลังในการสร้างอาณาจักรเทพเทียม มาพร้อมกับคุณสมบัติ ‘อำพราง’ ในระดับหนึ่ง

‘ผนวกใหม่’ มีอำนาจในขอบเขต ‘การเปลี่ยนแปลง’ ขณะที่ ‘ดินแดนเร้นลับ’ มีอำนาจในขอบเขต ‘ความลับ’ ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับสัญลักษณ์สองชนิดของเดอะฟูล… แต่คำว่า ‘ผนวกใหม่’ และ ‘แผลง’ ฟังดูไม่ตรงประเด็นสักเท่าไร ความหมายยังไม่ชัดเจน ไม่เหมือนกับ ‘ปลูกถ่าย’ ที่เห็นภาพได้ในทันที… ไคลน์พึมพำก่อนจะกวาดสายตาไปรอบตัว

ปัจจุบัน มันได้รับสิทธิ์ให้ควบคุมปราสาทต้นกำเนิดในเชิงลึก จึงสามารถยืมพลังเพื่อให้ตัวเองมีระดับเข้าใกล้ลำดับ 0 ของเส้นทางนักทำนาย นอกจากนั้นยังสามารถใช้พลังของลำดับ 0 จากเส้นทางนักจารกรรมและผู้ฝึกหัดได้เกือบทุกชนิด เรียกได้ว่าทัดเทียมเทวทูตมืดซาสเรียในอดีต

ต้องไม่ลืมว่า การใช้พลังจาก ‘ทะเลแห่งความโกลาหล’ ของซาสเรียเกิดขึ้นทางอ้อมผ่านศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่ง แต่ไคลน์ได้สิทธิ์ควบคุมปราสาทต้นกำเนิดในเชิงลึกโดยตรง แม้จะยังไม่ใช่การควบคุมโดยสมบูรณ์ แต่ก็มากพอที่จะทำให้ชายหนุ่มแข็งแกร่งกว่าซาสเรียในเชิงระดับตัวตน

ในแง่ความแข็งแกร่ง ไคลน์ควรจะแข็งแกร่งกว่าในทางทฤษฎี แต่ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มต้องพึ่งพาปัจจัยอื่นมากเกินไป และไคลน์ซึ่งเป็นผู้วิเศษได้เพียงไม่กี่ปี ย่อมไม่มั่นใจว่าจะตนจะเอาชนะอดีตรองประมุขสวรรค์และหัตถ์ซ้ายแห่งเทพรายนี้ได้

สรุปโดยสั้น ไคลน์ในปัจจุบันมีระดับทัดเทียมราชาในหมู่ราชาเทวทูต ใกล้เคียงกับเทพแท้จริงเต็มที

หลังจากได้สิทธิ์ควบคุมปราสาทต้นกำเนิดในเชิงลึก ดูเหมือนว่าช่องว่างระหว่างตัวเราบนนี้ กับตัวเราบนโลกภายนอกแทบไม่หลงเหลือ… ไม่ใช่การมีพลังทัดเทียมเทพแท้จริงบนปราสาทต้นกำเนิด แต่มีระดับเพียงราชาเทวทูตบนโลกความจริง… ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของปราสาทต้นกำเนิดในเวลานี้คือ ที่นี่มีบาเรียซึ่งแม้แต่เทพแท้จริงก็ยังมิอาจทำลาย… อา แต่เทพภายนอกจะทำได้ไหม เรื่องนั้นยังมิอาจประเมิน… ไคลน์หายใจออกเชื่องช้า หันเหความสนใจมายังสถานการณ์ปัจจุบัน

ตอนนี้มีสองสิ่งที่มันควรกังวลมากที่สุด

ประการแรก ดวงจันทร์บรรพกาล หรืออีกชื่อหนึ่งคือมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม แม้ว่าพระองค์จะบุกรุกโลกความจริงผ่านมิสเตอร์ประตูล้มเหลว แต่พลังบางส่วนก็ยังเล็ดลอดเข้ามาสำเร็จ แถมยังคงอยู่ได้นานหลายวินาที ทั้งที่ถูกรุมกำราบจากห้าเทพแท้จริงอย่างรัตติกาลและจักรกลไอน้ำ สิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบมากแค่ไหน หรือส่งอิทธิพลต่อเส้นทางที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ปัจจุบันยังมิอาจทราบได้

ประการที่สอง เทวทูตกาลเวลาอามุนด์ทำการขโมยพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เทพของมิสเตอร์ประตูและกลายเป็น ‘ข้อผิดพลาด’ ลำดับ 0 แห่งเส้นทางนักจารกรรม ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชายคนนี้คือศัตรูโดยตรงที่ทรงพลังอันดับหนึ่งสำหรับไคลน์

เรายังมิอาจทราบได้ว่า อามุนด์สามารถปรองดองกับเอกลักษณ์และตะกอนพลังลำดับ 1 ของ ‘กุญแจดารา’ ได้หรือยัง เพราะหากประสบความสำเร็จแล้ว เกรงว่าอามุนด์คงเป็นเทพแท้จริงที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลก ณ ปัจจุบัน… อา แต่เราเองก็ไม่มั่นใจว่าเทพธิดารัตติกาลแข็งแกร่งในระดับใด ไม่มีใครทราบว่าพระองค์ปรองดองกับเอกลักษณ์ของเส้นทางมรณาและเทพสงครามไปถึงไหน…

แต่ในกรณีปรกติ อามุนด์คงยังไม่มีเวลาพอที่จะปรองดองกับเอกลักษณ์ของเส้นทางผู้ฝึกหัด แม้การกลับมาของมิสเตอร์ประตูจะเทียบเท่ากับพิธีกรรม แต่สิ่งที่อามุนด์ต้องให้ความสนใจมากที่สุดขณะแทนที่มิสเตอร์ประตู ยังคงเป็นการเพ่งสมาธิอยู่กับการหลอมรวมระหว่างเอกลักษณ์และตะกอนพลังสามก้อนของเส้นทางนักจารกรรม สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ คงไม่มีเวลาหันไปสนใจเอกลักษณ์ของเส้นทางผู้ฝึกหัด และการทำแบบนั้นก็ยังมีโอกาสสูงที่จะปลุกให้ ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดิน’ ลืมตาตื่น อามุนด์ไม่มีทางยอมเสี่ยง…

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เป้าหมายถัดไปของอามุนด์ก็คือการปรองดองกับเอกลักษณ์ของเส้นทางผู้ฝึกหัด กลายเป็นเทพแท้จริงของทั้งสองเส้นทาง ไม่อย่างนั้น ภายใต้สายตาของเหล่าเทพแท้จริงตนอื่น อามุนด์คงยากที่จะจัดการกับราชาแห่งราชาเทวทูตอย่างเรา…

นอกจากนั้น ต่อให้อามุนด์ยอมเสี่ยงและประสบความสำเร็จ จนปัจจุบันสามารถปรองดองกับเอกลักษณ์ของเส้นทางผู้ฝึกหัดได้สมบูรณ์ แต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการปรับตัวสักระยะเพื่อให้เข้ากับสภาพปัจจุบัน จึงไม่สามารถลงมือกับเราได้อีกสักพัก…

เราต้องฉวยโอกาสดังกล่าวในการก้าวขึ้นไปเป็นเดอะฟูล มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น เราจึงจะพึ่งพาพลังของปราสาทต้นกำเนิดและพลังส่วนตัวเพื่อรับมือกับอามุนด์ไหว

เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว… ไคลน์จิกกัดตัวเองเงียบงัน เอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ

มันพยายามวิเคราะห์ความเป็นไปได้ที่จะก้าวไปเป็นเดอะฟูลภายในระยะเวลาอันสั้น:

การย่อยโอสถบริวารเร้นลับไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อไคลน์สามารถสยบเจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชคด้วยหลักยึดเหนี่ยวและจิตใต้สำนึกของตัวเอง ป้องกันไม่ให้ตัวเองเสียสติหรือกลายเป็นคนอื่นสำเร็จ ชายหนุ่มสามารถใช้พลังของปราสาทต้นกำเนิด ยืมพลังของเส้นทางนักจารกรรมเพื่อสร้างร่างโคลนของตัวเองขึ้น เหมือนกับที่อามุนด์เคยทำ จากนั้นก็ให้ร่างโคลนดังกล่าว ระดมพลังของปราสาทต้นกำเนิดเพื่อขโมยตะกอนพลังบริวารเร้นลับของซาราธซึ่งยังไม่ย่อย ไปจากร่างหลัก

ถึงตรงนี้ ไคลน์จะรีบเปลี่ยนร่างโคลนดังกล่าวให้กลายเป็นหุ่นเชิดทันที ป้องกันการกลายพันธุ์คือเหตุไม่คาดฝัน

ด้วยวิธีดังกล่าว ชายหนุ่มจะถูกลดระดับเป็นบริวารเร้นลับ ‘เจ้าของตะกอนพลังหนึ่งก้อน’ ซึ่งย่อยโอสถเสร็จสมบูรณ์แล้ว และเป็นผู้ครอบครองหุ่นเชิดบริวารเร้นลับ – หนึ่งในส่วนผสมหลักของโอสถลำดับ 0

และบริวารเร้นลับผู้ย่อยโอสถเสร็จสมบูรณ์ ย่อมมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะดื่มโอสถลำดับ 0 เดอะฟูล เพื่อกลายเป็นเทพแท้จริงลำดับ 0

ขั้นตอนต่างๆ ไม่ซับซ้อนจนเกินไป แต่ก็อาจเกิดปัญหากลางคันได้ นอกจากนั้น ผู้วิเศษเส้นทางนักทำนายทั่วไปจะไม่สามารถใช้เทคนิคการสร้าง ‘ราชาเทวทูตคู่’ ได้เหมือนไคลน์ เว้นเสียแต่จะมีพวกพ้องเป็น ‘ม้าไม้ชะตากรรม’ ลำดับ 2 ของเส้นทางนักจารกรรมที่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือ แน่นอนว่าลำดับ 1 ‘หนอนกาลเวลา’ ก็สามารถทำได้เช่นกัน

ดังนั้นสำหรับไคลน์ สิ่งที่ยากที่สุดจึงเป็นอีกสองปัจจัยที่เหลือ หนึ่งคือวิธีจัดการกับ ‘ฮาล์ฟฟูล’ แห่งตระกูลอันทีโกนัส และอีกหนึ่งคือการประกอบพิธีกรรม ‘ปั่นหัวประวัติศาสตร์ กระแสแห่งเวลา หรือชะตากรรม’ ให้เสร็จสมบูรณ์

ด้วยระดับตัวตนและพลังในปัจจุบันของเรา การจัดการกับบรรพชนตระกูลอันทีโกนัสไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า เราสามารถใช้พลังใหม่ของตัวเองและปราสาทต้นกำเนิดได้อย่างชำนาญ… เฮ้อ ว่ากันตามตรง ตอนนี้ยังไม่มีไอเดียในการบรรลุพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เทพของเดอะฟูลแม้แต่น้อย… ไคลน์ยกมือขึ้นลูบขมับ ก้มมองสายหมอกสีเทาอ่อนใต้ปราสาทต้นกำเนิด

แน่นอนว่าในบรรดาประวัติศาสตร์ กระแสแห่งเวลา และชะตากรรม สิ่งที่ชายหนุ่มคุ้นเคยมากที่สุดคือประวัติศาสตร์

ปัจจุบัน มันสามารถใช้ปราสาทต้นกำเนิดเพื่อสร้างอิทธิพลกับสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์โดยตรง ส่งผลให้พลังพิเศษของเส้นทางนักทำนาย เป็นได้ทั้งแข็งแกร่งขึ้นและอ่อนแอลง

นี่คือการสำแดงอำนาจ

ปั่นหัวประวัติศาสตร์… ปั่นหัวประวัติศาสตร์… ไคลน์เคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกครั้ง กระแสความคิดมากมายแล่นผ่านสมอง แต่ชายหนุ่มยังคงปัดตกทั้งหมดทิ้ง

ตามความเห็นของไคลน์ วิธีการที่ตนคิดออกทั้งหมด ล้วนมิอาจบรรลุข้อกำหนดของการ ‘ปั่นหัวประวัติศาสตร์’ เนื่องจากประวัติศาสตร์คือสิ่งที่บันทึกเหตุการณ์จริงอย่างเป็นกลาง เกิดจากความเป็นเหตุเป็นผล นอกจากนั้น พฤติกรรมซึ่งสามารถตอบสนองพิธีกรรมได้แน่นอน เช่นการย้อนอดีตไปดื่มโอสถ กลายเป็นเดอะฟูลจากประวัติศาสตร์ ก็มิอาจทำได้ในทางทฤษฎี – หรืออย่างน้อย ไคลน์ก็ไม่พบพลังสำหรับการย้อนเวลา

ขณะสายตาจดจ้องส่วนลึกของสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ ไคลน์ผุดความคิดหนึ่งที่พอจะเข้าเค้า

ประวัติศาสตร์ของยุคปัจจุบันเป็นเช่นนี้: สมาชิกชุมนุมทาโรต์ล้วนเชื่อว่า พวกตนกำลังติดตามเดอะฟูลจากต่างยุคสมัย – เทพบรรพกาลซึ่งกำลังฟื้นคืนพลัง หรือไม่ก็ตัวตนที่เหนือกว่าเทพบรรพกาลไปอีก แต่ในความเป็นจริง เดิมทีมิสเตอร์ฟูลเป็นเพียงคนธรรมดาที่ถูกแขวนไว้เหนือสายหมอกสีเทา แต่อาศัยทรัพยากรต่างๆ เพื่อบ่มเพาะพลังและพัฒนาตัวเองอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

ไอเดียของไคลน์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอามุนด์:

นั่นคือการใช้ปราสาทต้นกำเนิดเพื่อสร้างร่างโคลน และบังคับให้ร่างโคลนใช้พลังจากปราสาทต้นกำเนิดเพื่อ ‘ขโมย’ ชะตากรรม จิตใต้สำนึก และหลักยึดเหนี่ยวไปจากร่างต้น รวมถึงตะกอนพลังบริวารเร้นลับของซาราธ

ส่งผลให้ตะกอนพลังของร่างต้น จะเหลือเพียงก้อนบริสุทธิ์ที่มาจาก ‘ม่าน’ จนทำให้ ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค’ ค่อยๆ ลืมตาตื่น

ด้วยเหตุนี้ การรับรู้และความเข้าใจของสมาชิกชุมนุมทาโรต์จะกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง: เดอะฟูลคือตัวตนอันยิ่งใหญ่จากอดีตที่กำลังฟื้นตัว

ข้อเท็จจริงดังกล่าวขัดแย้งกับประวัติศาสตร์ที่แท้จริง แต่สอดคล้องกับความเข้าใจของผู้คนส่วนใหญ่ ซึ่งนั่นถือว่าเป็นไปตามข้อกำหนดของพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เทพ

แต่แน่นอน ทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า การ ‘ขโมย’ ของร่างโคลนเกิดขึ้นบนปราสาทต้นกำเนิด หรือไม่ก็ดินแดนอำพรางแห่งอื่น ไม่อย่างนั้น การกระทำดังกล่าวจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ จนไม่สามารถบรรลุผลลัพธ์ ‘การปั่นหัว’

สำหรับคำถามที่ว่า จะจัดการกับราชันสวรรค์ฟ้าดินที่ลืมตาตื่นขึ้นอย่างไร รวมถึงวิธีเปลี่ยนร่างต้นให้กลายเป็นโอสถ ไคลน์ยังคิดไม่ออก

การทำแบบนี้ไม่อะไรกับความพยายามในการฆ่าตัวตาย… อา แต่ก่อนจะลงมือฆ่าราชันสวรรค์ฟ้าดิน ร่างโคลนของเราต้องย่อยโอสถบริวารเร้นลับให้เรียบร้อยเสียก่อน… เพราะในท้ายที่สุด ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชคจะถูกคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง… ไคลน์ส่ายหน้า พับเก็บแผนการเบื้องต้นไว้ในส่วนลึกจิตใจ

ในเมื่อคิดหาวิธีเองไม่ได้ ก็ต้องถามเอาจากคนที่น่าจะคิดออก

ปัจจุบันมีสองเป้าหมาย: หนึ่งคืออสรพิษแห่งชะตา วิล·อัสติน และอีกหนึ่งคือเทพธิดารัตติกาล

รายแรกอาจมีแนวคิดในการ ‘ปั่นหัวชะตากรรม’ ส่วนรายหลังน่าจะทราบถึงวิธีที่บรรพชนตระกูลอันทีโกนัสใช้ปรองดองกับเอกลักษณ์ของเส้นทางเดอะฟูล

หลังจากรักษาสภาพจิตใจให้มั่นคง ไคลน์ออกจากปราสาทต้นกำเนิดและเทเลพอร์ตไปยังเบ็คลันด์ทันที

………………………………