ราชันเร้นลับ 1357 : พบปะ

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ณ ส่วนลึกของดินแดนเทพทอดทิ้ง บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ไม้กางเขนยักษ์ซึ่งดูกึ่งจริงกึ่งลวงตากำลังตั้งเด่นตระหง่าน

บนไม้กางเขนยักษ์มีร่างคลุมเครือถูกตรึงไว้ในสภาพห้อยหัว หมุดไม้โบราณจำนวนมากปักทะลุร่างกายและตอกยึดเข้ากับแผ่นกางเขนแนบแน่น เปียกโชกไปด้วยเลือดสดที่ยังคงไหลแต่ไม่หยด

ด้านล่างไม้กางเขนมีเทวทูตโชคชะตาโอโรเลอุส แต่งกายในชุดผ้าลินินเรียบง่าย ผมสีเงินยาวถึงเอว กำลังนั่งหลับตาพลางสวดวิงวอน

อาดัมซึ่งครึ่งหนึ่งของใบหน้าถูกปกคลุมด้วยเคราสีทองอ่อน ย่างกรายทีละก้าวจนกระทั่งหยุดลงหน้ากางเขนใหญ่ จากนั้นก็เงยศีรษะขึ้น จ้องมองร่างซึ่งถูกตรึงอย่างเงียบงัน

มือข้างหนึ่งถืออาโรเดส อีกข้างถือศิลาเย้ยเทพแผนที่สอง ดวงตากระจ่างใส กิริยาท่าทางสุขุม

ผ่านไปสักพัก ร่างมายาซึ่งถูกตรึงบนไม้กางเขนยักษ์เลือนหายไป แทนที่ด้วยม่านเงาซึ่งเชื่อมต่อกับท้องฟ้าเบื้องบนและโลกเบื้องล่าง ด้านหลังม่านผืนดังกล่าว คล้ายกับมีดวงตาอันเย็นชาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองโลกทั้งใบ

วินาทีถัดมา เกิดรอยแยกบนม่านเงา ด้านในยังคงมืดมิด มีเสียงมายาของกระแสน้ำดังขึ้นแผ่วเบา

อาดัมยกแขนซ้ายขึ้น กระจกวิเศษโบราณส่องแสงจาง

ท่ามกลางแสงสลัว ของเหลวมายาสีดำหนืดพลันพรั่งพรู กลายเป็นทะเลอันไร้ขอบเขตซึ่งประกอบกันจากทุกสีสันที่เป็นไปได้ ฉากดังกล่าวดูคล้ายกับอยู่แค่เอื้อม แต่ก็ไม่ได้อยู่บนโลกความจริง

ทันทีหลังจากนั้น อาดัมวางศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองลงในฉากมายาดังกล่าว

ฉากของทะเลมายาไร้ขอบเขตรอบๆ แผ่นศิลาเย้ยเทพ เกิดสั่นกระเพื่อมเล็กน้อยพร้อมกับสร้างการเชื่อมต่อบางอย่าง

ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง แต่เดิมคือส่วนหนึ่งของศพเทพสุริยันบรรพกาล ตัวตนซึ่งเข้าใกล้การเป็นวันวานมากที่สุด มีสถานะเทียบเท่าการเป็นเจ้าของทะเลแห่งความโกลาหล

ได้เห็นฉากตรงหน้า อาดัมขยับมือซ้ายเล็กน้อย ส่งผลให้กระจกวิเศษอาโรเดสลอยขึ้นไป และตกลงบนเทวทูตโชคชะตาโอโรเลอุสซึ่งกำลังนั่งอยู่ด้านล่างไม้กางเขนยักษ์

สำหรับอาดัม มันดึงศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงกลับมา และถือเดินเข้าไปในรอยแยกหลังม่านเงา

ม่านเงาปิดสนิทและเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงไม้กางเขนยักษ์ที่ว่างเปล่า

ตลอดกระบวนการทั้งหมด ไม่มีใครกล่าวคำใด ทุกสิ่งเงียบสงัด เทวทูตโชคชะตาโอโรเลอุสก็ไม่แม้แต่จะลืมตา

ในเวลาเดียวกัน อามุนด์ได้กลายเป็นเทพ และใช้ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่งเพื่อสกัดกั้นเส้นทางการรุกรานของมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม ส่วนเทพวายุสลาตันประสบความสำเร็จในการป่นวิหารกระดูกซึ่งเป็นสิ่งที่อาดัมจินตนาการขึ้น และยังเป็นหนึ่งในตัวตนของอาดัม

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้กลืนหางโอโรเลอุส ลืมตาขึ้นและหันเหความสนใจมายังกระจกวิเศษอาโรเดสซึ่งตกลงมาบนตัก

บนผิวกระจกวิเศษ ตัวหนังสือสีเงินส่องสว่างท่ามกลางคลื่นน้ำมายากระเพื่อม

“เจ้าคงเข้าใจหัวอกของผู้ศรัทธาในตัวตนอันยิ่งใหญ่อย่างแรงกล้าใช่ไหม”

โอโรเลอุสพยักหน้าเย็นชา

“เช่นนั้นแล้ว เจ้าช่วยส่งข้ากลับไปหาพระองค์ได้ไหม?” บนผิวกระจก อักษรสีเงินเรียบเรียงประโยคใหม่ “เมื่อเจ้าตอบ เจ้าสามารถถามคำถามใดก็ได้กับข้าสองข้อ”

โอโรเลอุสจ้องมองกระจกโบราณอย่างเงียบงัน ไม่กล่าวคำใดเป็นเวลานาน

ในท้ายที่สุด อาโรเดสเป็นฝ่ายทนไม่ไหว เริ่มถามกลับไป

“เหตุใดเจ้าถึงไม่ตอบ”

โอโรเลอุสจ้องภาพสะท้อนตัวเองบนกระจก มอบคำตอบอย่างฉะฉาน

“ข้ายังคิดไม่ออก”

“สามคำถาม…” บนผิวกระจกวิเศษ แสงสีเงินบรรจงวาดเป็นคำสั้น

กรุงเบ็คลันด์ บนสนามหญ้าของบ้านสวน

วิล·อัสตินซึ่งมีอายุสองขวบ กำลังใช้ขาสั้นๆ วิ่งไล่แมวสีทองตัวใหญ่อย่างมีความสุข ตามหลังมาด้วยพี่เลี้ยงและสาวใช้

นับตั้งแต่อสรพิษแห่งชะตาคลอดออกมา หน้าที่การงานของอลัน·คริสต์ก็โตวันโตคืน ปัจจุบันเปิดโรงพยาบาลเอกชนสำหรับรักษาชนชั้นสูง

ขณะกำลังวิ่ง วิล·อัสตินย่ำลงบนพื้นลื่น ร่างกายเสียหลักเซไปด้านหลังทันที

มันก้าวถอยหลังด้วยความทุลักทุเลจนกระทั่งเหยียบลงบนก้อนหินที่มั่นคง

หินก้อนดังกล่าวช่วยยับยั้งการล้ม ทำให้วิล·อัสตินรักษาสมดุลไว้ได้ราวกับปาฏิหาริย์

จากสิ่งที่เกิดขึ้น เด็กแก้มยุ้ยทวีความหวาดระแวงภายในใจ เป็นเพราะด้วยความโชคดีส่วนตัว เป็นเรื่องยากมาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ตนจะเผลอย่ำลงบนพื้นลื่น

เพียงไม่นาน ร่างอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นในการมองเห็น

ไม่ใช่ใครนอกจากเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ แต่งกายในหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูงและโคตกระดุมสองแถวสีดำ

วิล·อัสตินรีบหันไปมองพี่เลี้ยงและสาวใช้ พบว่าอีกฝ่ายมิได้ตระหนักถึงชายแปลกหน้าบนสนามหญ้า

“ข้ามีลางสังหรณ์ คล้ายกับเจ้ากำลังจะพูดว่า: เชิญตะโกนขอความช่วยเหลือได้เท่าที่ต้องการ แต่จะไม่มีใครได้ยิน” เด็กวัยสองขวบซึ่งแต่งกายหรูหรา หมุนตัวพลางบ่นอุบอิบ

โดยไม่รอให้ไคลน์ตอบ มันโบกไม้โบกมือ

“ช่างมันเถอะ ก่อนอื่น ข้าขอแสดงความยินดีที่เจ้าได้เป็นราชาเทวทูต… แต่การรังแกเด็กเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับสถานะปัจจุบันของเจ้าเลยสักนิด”

ไคลน์ขำในลำคอ

“พอจะรู้วิธีปั่นหัวชะตากรรมบ้างไหม”

วิล·อัสตินเงยหน้าจ้องไคลน์

“แต่ที่แน่ๆ การให้ไอศกรีมปลอม ไม่ใช่การปั่นหัวชะตากรรม”

กล่าวจบ มันบ่นกระปอดกระแปด

“นั่งยองๆ คุยกับข้าได้ไหม? ด้วยอายุของข้า การเงยหน้าพูดนานๆ ไม่ดีต่อพัฒนาการของกระดูกสันหลังส่วนคอ”

บรรยากาศรอบตัวไคลน์ดูไม่เหมือนราชาเทวทูตหน้าใหม่เลยสักนิด มันยิ้มพลางนั่งยองลง ช่วยให้มีระดับสายตาเท่ากับวิล·อัสติน

วิล·อัสตินจับมือพี่เลี้ยงพลางกล่าว

“เว้นเสียแต่ข้าจะกลายเป็นลำดับ 0 กงล้อโชคชะตา… การปั่นหัวข้าในตอนนี้ยังไม่ถือเป็นการปั่นหัวชะตากรรม”

ไคลน์ถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“ยังไม่พบโอกาสปรองดองกับลูกเต๋าความน่าจะเป็นอีกหรือ”

“ยัง” วิลส่ายหน้าก่อนจะเสริมต่อทันที “แต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า”

ไคลน์จ้องหน้าเด็กแก้มยุ้ยวัยสองขวบสักพัก ก่อนจะยิ้ม:

“ถ้าข้านำตัวเจ้าและลูกเต๋าความน่าจะเป็นไปมอบให้โอโรเลอุส เจ้านั่นจะกลายเป็นลำดับ 0 ได้เลยหรือไม่?”

วิล·อัสตินจ้องตาไคลน์

“ก็ยังต้องรอโอกาสเพื่อปรองดองอยู่ดี นอกจากนั้น โอกาสในการเป็น ‘กงล้อโชคชะตา’ ก็ยังแยกต่างหากจากโอกาสปรองดองลูกเต๋าความน่าจะเป็น”

ขณะกล่าว วิล·อัสตินยกมุมปาก

“หากเจ้าต้องการเพียงปรองดองกับเอกลักษณ์ของเดอะฟูล สามารถใช้พิธีกรรมที่ง่ายขึ้นได้… ในกรณีดังกล่าว เจ้าสามารถปั่นหัวชะตากรรมได้ด้วยพลังของม้าไม้แห่งชะตากรรม แต่ต้องมีการเสียสละเล็กน้อย… อย่างไรก็ดี หากเจ้าต้องการก้าวไปเป็นลำดับ 0 ต่อให้ดูดซับเอกลักษณ์ของเส้นทางและตะกอนพลังลำดับ 1 ทั้งสามก้อนเสร็จสมบูรณ์ ก็ยังจำเป็นต้องประกอบพิธีกรรมเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ”

แบบนี้นี่เอง… กล่าวคือ มีทางลัดในการปรองดองกับเอกลักษณ์ แต่หากต้องการเลื่อนลำดับ ก็หนีไม่พ้นข้อบังคับที่ต้องปั่นหัวประวัติศาสตร์ กระแสเวลา หรือไม่ก็ชะตากรรม… ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา

“เริ่มเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว”

มันยิ้ม ตามด้วยเสริม

“ขอให้สนุกกับวัยเด็ก… ที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน”

กล่าวจบ ร่างของไคลน์เริ่มโปร่งใสและเลือนหายไปจากสนามหญ้า

วิล·อัสตินใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้จับกับพี่เลี้ยง คว้าอากาศด้านหน้าตามสัญชาตญาณ ก่อนจะชักกลับอย่างไร้เรี่ยวแรง

“ทิ้งกันแบบนี้เลยหรือ… หยาบคายมาก ไม่แม้แต่จะเตรียมของขวัญมาเยี่ยม…” มันอดไม่ได้ที่จะรำพัน

กรุงเบ็คลันด์ เขตเหนือ ภายในวิหารนักบุญแซมมวล

ไคลน์ซึ่งกลายร่างเป็นดอน·ดันเตส เดินเข้าไปในโถงสวดมนต์และนั่งลงตรงมุมหนึ่ง

มันชำเลืองไปยังตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดเหนือแท่นบูชา ก้มศีรษะลง ประสานมือและเริ่มสวดวิงวอน

“เทพธิดารัตติกาลผู้สูงสง่ายิ่งกว่าดวงดารา ผู้ยั่งยืนยิ่งกว่านิรันดร์ มารดาแห่งความลับ จักรพรรดินีแห่งเคราะห์กรรม…”

ขณะสวดวิงวอน ไคลน์บรรจงหลับตาลง เข้าสู่สถานะคล้ายกับกึ่งฝันกึ่งตื่น

ผ่านไปไม่นาน ความมืดอันไร้ก้นบึ้งปรากฏขึ้น ‘ตรงหน้า’ ชายหนุ่ม ข้างปลายเท้ารายล้อมไปด้วยกอวานิลลารัตติกาลและบุปผาหลับใหล

ที่นี่เงียบสงบเสียจน แม้กระทั่งการหายใจก็ดูจะรบกวนผู้หลับใหล

ก่อนที่ไคลน์จะได้มีโอกาสสำรวจโดยรอบ ร่างหนึ่งร่อนลงมาจากส่วนลึกของความมืด

เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่มีท้องฟ้าและผืนดิน คล้ายกับอีกฝ่ายร่อนลงมาจากพระจันทร์แดงหรือไม่ก็ดวงดาวที่แขวนอยู่ด้านบน

อีกฝ่ายสวมเดรสยาวสีดำหลายชั้นแต่ไม่ซับซ้อน ประดับประดาด้วยประกายแสง ราวกับกำลังห่มท้องฟ้ายามราตรีซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว

ส่วนศีรษะคลุมเครือจนยากจะเห็นรายละเอียดชัดเจน ยืนยันได้เพียงว่าเป็นสตรี

“ไม่ได้พบกันเสียนาน” ร่างดังกล่าวเปล่งเสียงแผ่วเพื่อเปิดบทสนทนากับไคลน์

เสียงของเธอมอบความรู้สึกผ่อนคลายให้ผู้ฟัง

ไคลน์โค้งศีรษะคำนับตามแบบฉบับสุภาพบุรุษ ก่อนจะกล่าว

“กำลังสื่อถึงอดีตราชันเร้นลับ หรือว่าตัวผมที่ถูกแขวนไว้บนปราสาทต้นกำเนิด?”

ไคลน์ค่อนข้างมั่นใจว่านี่คือความฝัน แต่ความฝันมิได้แปลว่าสิ่งที่เห็นเป็นความเท็จ

ภาพฉายเทพธิดารัตติกาลยิ้มให้

“ฉันไม่แน่ใจว่าคุณถูกแขวนไว้เหนือบานประตูแห่งแสงด้วยหรือไม่ หลังจากออกมา ฉันก็ไม่เคยกลับไปอีก”

อย่างที่คิด… ไคลน์ถอนหายใจยาวหลังจากยืนยันต้นกำเนิดของเทพธิดารัตติกาลอมานีซิส

“รังไหมว่างเปล่าทั้งสามอยู่ติดกัน” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ

ภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลบนดินแดนแห่งความฝืน กำลังล่องลอยท่ามกลางความมืดอันเงียบสงบ มอบความรู้สึกเกินจริงอย่างมาก

เธอกล่าวเสียงแผ่ว

“ผู้คนที่นั่นล้วนถูกเลือกเพื่อให้มาเป็นร่างคืนชีพของราชันเร้นลับ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เขาสูญเสียอำนาจในมือไปหลายส่วน… หากไม่เป็นเช่นนั้น ฉันคงตายไปนานแล้วและกำลังดำรงชีวิตอยู่ในฐานะราชันเร้นลับ ส่วนคุณกับโรซายล์ก็คงไม่ได้ลงมาเกิดบนโลกความจริง”

หมายความว่า ราชันสวรรค์ฟ้าดินร่วงหล่นแทบจะสมบูรณ์ สามารถคืนชีพได้โดยเจตจำนงที่ยังหลงเหลือในตะกอนพลัง และกลไกการจัดเตรียมของปราสาทต้นกำเนิดเท่านั้น? ไคลน์ถอนหายใจยาว ยิ้มและกล่าว

“ผมมาถึงจุดที่ได้ยินเสียงของเขากระซิบข้างหูแล้ว”

………………………………