บทที่ 1943 คำสั่งลับ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้เองก็สนใจปฏิกิริยาของกลุ่มคนเช่นกัน เมื่อเห็นคนส่วนใหญ่ดีใจเหนือความคาดหมาย ในใจก็รู้สึกสงบเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นถ้าไม่ระวังก็จะทำให้เกิดทหารก่อกบฏได้เลย

คนเราบางครั้งก็แปลกอย่างนี้ คนกลุ่มใหญ่ถูกลงโทษแท้ๆ ยังดีใจได้อีก คนเรามักทนการเปรียบเทียบไม่ได้

สำหรับเหวินเจ๋อที่มาเพื่อถ่ายทอดคำสั่ง เขาไม่ได้แย่แสเลยว่าคนกลุ่มนี้จะดีใจหรือไม่ดีใจ เขามองเหมียวอี้ที่อยู่ข้างกัน “ผู้ตรวจการใหญ่ ให้กำลังพลเบื้องล่างส่งเครื่องแบบและอาวุธออกมาเถอะ!”

เหมียวอี้พยักหน้าแล้วมองลิ่งหูโต้วจ้ง “ขุนพลลิ่งหู ท่านว่า…”

ลิ่งหูโต้วจ้งที่หน้าตึงพยักหน้าเงียบๆ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ยอมให้เขาทำตามใจตัวเอง คำบัญชาเดียวทำลายการควบคุมทัพใหญ่ของเขาแล้ว ทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม ในภายหลังค่อยวางแผนอีกครั้ง

ท่ามกลางสายตาฝูงชน ลิ่งหูโต้วจ้งถอดเกราะรบจอมพลบนตัวออก แล้วส่งออกไปพร้อมกับอาวุธและแผ่นหยกตำแหน่งขุนนางประจำตำแหน่ง

ภายใต้สถานการณ์การลดตำแหน่งและเลื่อนตำแหน่งของตำหนักสวรรค์ ของประจำตำแหน่งก่อนหน้านี้ล้วนต้องส่งออกมา

เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าด้วยตัวเอง รับของของเขาด้วยมือตัวเอง หลังจากตรวจนับเองแล้วก็ลงนามจบงาน แล้วส่งต่อให้หยางเจาชิงที่ตามอยู่ข้างกาย จากนั้นกุมหมัดคารวะลิ่งหูโต้วจ้ง “ลำบากขุนพลแล้ว” คำเรียกจอมพลเปลี่ยนเป็นขุนพลแล้ว

ลิ่งหูโต้วจ้งอยากจะแสดงความใจกว้างสง่าผ่าเผยและพูดจาตามมารยาทสักหน่อย แต่ก็พูดไม่ออก หลับตาลงอย่างปลงอนิจจัง หลับตาโดยไม่พูดอะไร เม้มริมฝีปากแน่น ยืนตรงอยู่อย่างนั้น ปอยผมสีขาวหลายช่อที่ถูกเกี่ยวลงมาตอนถอดเกราะหัวปลิวพลิ้วอยู่ท่ามกลางสายลม ให้ความรู้สึกว่าเป็นวีรบุรุษถึงคราวไม้ใกล้ฝั่งอยู่หลายส่วน

เส้าเซียงหัวที่อยู่ในป่ากำลังมองฉากนี้ นางยกมือปิดปากอีกครั้ง น้ำตาไหลพรากจนตาพร่ามัว ไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องไห้ออกมา มีเพียงหยดน้ำตาอุ่นร้อนที่ไหลอาบแก้มเท่านั้น นั่งอยู่กับผู้ชายของตัวเองมาตลอดทางจนถึงวันนี้ ย่อมรู้ว่าการที่ผู้ชายของตัวเองไต่เต้าถึงตำแหน่งนี้ได้ต้องใช้เลือดเนื้อหยาดเหงื่อและความพยายามไปขนาดไหน อดทนมาหลายปี ได้รับความลำบากมากมายกว่าจะแลกเกียรติยศความร่ำรวยมาได้ แต่ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปแล้ว

บ่าวไพร่ของตระกูลลิ่งหูที่อยู่ข้างกายก็สีหน้าหดหู่กันเป็นแถบ

อวิ๋นจือชิวมองเส้าเซียงหัวที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ นางแอบถอนใจ รู้ว่าเวลานี้เกลี้ยกล่อมอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ถึงไม่ได้ปลอบใจอีก ถ้าปลอบใจอีกจะดูปลอม นั่งมองไปทางลิ่งหูโต้วจ้งยืนโดดเดี่ยวอยู่หน้ากระบวนทัพอีกครั้ง ในใจแอบกล่าวว่า ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร!

กลุ่มคนที่ดำทะมึนอยู่บนที่ราบต่างก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด แต่ละคนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองเงาหลังของลิ่งหูโต้วจ้ง

“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอียงหน้าบอกใบ้อีกครั้ง หยางเจาชิงจึงรีบถ่ายทอดคำสั่งลงไป

ใช้เวลาไม่นาน คนนับหมื่นก็เหาะเข้ามา มาอุดตรงหน้าทัพใหญ่ราวกับเป็นกำแพง

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่อยู่ตรงหน้า บางคนก็ถอดเกราะรบออก บางคนก็แค่เอาแถบออกเพื่อแสดงออกว่าถูกลดยศ หลังจากคนทยอยกันเดินมาตรงหน้ากำแพงคนเพื่อรับส่งของกันแล้ว ก็เหาะไปที่อีกฝั่งของแม่น้ำตามคำบัญชาการ

กลุ่มคนไหลทะลักไปตรงหน้าอย่างช้าๆ ของที่ส่งออกมาก็ทยอยลอยไปที่อีกฝั่งของแม่น้ำ

ฉากที่อลังการเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่พวกฝูชิงก็ต้องมองหน้ากันเลิกลั่ก

คาดว่ากว่าทั้งทัพใหญ่จะส่งมอบของกันเสร็จก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย หลังจากเหวินเจ๋อจ้องและกวาดสายตามองทัพใหญ่พักหนึ่ง สายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวลิ่งหูโต้วจ้ง จากนั้นเดินลงจากเนินเขาสองสามก้าวไปตรงหน้าลิ่งหูโต้วจ้ง ยื่นมือบอกว่า “ขุนพลลิ่งหู ไปคุยกันเป็นการส่วนตัวได้ไหม”

เหมียวอี้และคนอื่นมองมา ไม่รู้ว่าทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร โดยเฉพาะเหมียวอี้ที่เลิกคิ้วเล็กน้อย ตัวเองเป็นขุนนางตำแหน่งสูงสุดของแดนรัตติกาล ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรถึงคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาของตนโดยต้องปิดบังตน

ลิ่งหูโต้วจ้งมองมาแล้วรู้สึกผิดคาดเล็กน้อย จากนั้นพยักหน้าเงียบๆ แล้วเหาะตามหลังเหวินเจ๋อไปยังจุดที่ไร้ผู้คน

เหมียวอี้ส่งสายตาให้หยางเจาชิงทันที บอกใบ้ให้จับตาดูไว้ เป็นคนถ่ายทอดบัญชาของวังสวรรค์แล้วอย่างไร มาทำซี้ซั้วบ่นอาณาเขตของตนไม่ได้อยู่ดี

หยางเจาชิงพยักหน้าเบาๆ สื่อว่าทราบแล้ว จากนั้นเขย่าระฆังดาราที่อยู่ในแขนเสื้อ

จากนั้นเหมียวอี้ก็หันกลับมาเรียก “ปี้เยว่!”

ปี้เยว่งงไปชั่วขณะ ก่อนจะเดินมากุมหมัดคารวะข้างกายเขา “ผู้ตรวจการใหญ่”

ตอนนี้นางยังไม่ค่อยคุ้นชินกับคำเรียกเปลี่ยนฐานะของทั้งสอง ทุกครั้งที่ตะโกนเรียกเลยรู้สึกแปลก ถึงในปีนั้นที่เจ้าหนุ่มนี่ถูกตนเรียกใช้

บางทีอาจเป็นเพราะเห็นที่ตรงนี้แล้วเกิดความรู้สึกบางอย่าง เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงคำว่า “หลายวันมานี้งานยุ่ง ไม่ได้มีเวลามาถามเจ้า ได้ข่าวจะฝั่งเทียนหยวนมาบ้างหรือยัง?”

ปี้เยว่สีหน้าสงบลงเยอะมาก ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “มีข่าวมาแล้ว เขาติดตามสงฉีสังหารฝ่าวงล้อมออกไปแล้ว หนีเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนาม เขาถามถึงสถานการณ์ของข้า ให้ข้าขอบคุณเจ้าแทนเขาด้วย บอกว่าถ้ามีโอกาสจะตอบแทนผู้ตรวจการใหญ่อีกที!”

ไม่น่าเชื่อว่าจะหนีไปแล้ว? เหมียวอี้รู้สึกเซ็งในใจ ไห่ยวนเค่อขอให้เขาช่วยเหลือแล้ว ต่อให้ไห่ยวนเค่อไม่บอก แต่ตอนนี้เขาย้ายปี้เยว่มาไว้ข้างกาย เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้ปี้เยว่มีความสัมพันธ์คลุมเครือกับเทียนหยวนต่อไป ตอนนี้เทียนหยวนเป็นโจรกบฏ ถ้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็จะนำพาปัญหามาสู่ตัวเอง

ปากก็ขานรับไปอย่างนั้น แล้วก็ถามอย่างแนบเนียนอีกว่า “ตอนนี้ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน สถานที่ซ่อนตัวปลอดภัยหรือเปล่า?”

ปี้เยว่ตอบว่า “หนีพ้นการไล่ตามของทหารตำหนักสวรรค์แล้ว อาณาเขตดาวนิรนามกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ถ้าอยากจะหาเขาให้เจออีกคงเป็นไปไม่ได้ คงจะปลอดภัยแล้ว เข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน บอกว่ารอให้หาที่พักได้แล้วจะติดต่อมาอีกที”

เหมียวอี้เพียงขานรับ แล้วบอกว่า “ปลอดภัยก็ดีแล้ว! เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องเตือนเจ้า คาดว่าในการชำระสะสางความแค้นครั้งนี้ ยังจะมีคนนำความสัมพันธ์ของเจ้ากับเทียนหยวนมาพูดหาเรื่องอีก ข้าย่อมช่วยรับประกันให้เจ้าอีกแรง แต่เจ้าก็จะให้ข้าแบกรับความเสี่ยงมากเกินไปไม่ได้หรอก เพื่อตัวเจ้า แล้วก็เพื่อตัวข้าเองด้วย ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งไปเจอกับเขาอีก รอให้สถานการณ์ในภายหลังนิ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าฝั่งเทียนหยวนมีความจำเป็นอะไรจริงๆ เจ้าก็บอกฮูหยินสักหน่อย ให้ฮูหยินช่วยจัดหาคนไปจัดการให้เจ้า ตอนนี้เจ้าอย่าไปติดต่อกับเทียนหยวนด้วยตัวเอง”

“เข้าใจแล้ว” ปี้เยว่รับปาก

ที่ตีนเขาอีกแห่งหนึ่ง เหวินเจ๋อกับลิ่งหูโต้วจ้งเหาะลงมาด้วยกัน ลิ่งหูโต้วจ้งถามว่า “ขุนพลเหวินมีอะไรจะกำชับ?”

เหวินเจ๋อมองไปรอบๆ เสร็จแล้วถึงได้ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ฝ่าบาทมีคำสั่งลับให้เจ้า!”

ลิ่งหูโต้วจ้งตะลึงงัน จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงตอบ “ข้าน้อยรับบัญชา”

“แม้ตอนนี้ขุนพลจะถูกลดยศตำแหน่ง แต่การที่ฝ่าบาทเก็บเจ้าไว้ที่นี่ ก็เพราะจะใช้เจ้าทำงานสำคัญอีกอย่าง ก่อนมาฝ่าบาทสั่งข้าเป็นพิเศษ ให้ข้ามาบอกขุนพลว่าให้รีบไปที่ปราสาทดำเนินจันทร์สักเที่ยว ไปพบกับลี่หัว ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์สักครั้ง” เหวินเจ๋อกล่าว

“ไปพบลี่หัว?” ลิ่งหูโต้วจ้งประหลาดใจ แล้วถามอย่างสงสัยว่า “ไปพบนางทำไม?”

เหวินเจ๋อส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ว่าไปพบลี่หัวทำไม ฝ่าบาทไม่ได้บอกข้าเช่นกัน เพียงให้ข้ามากำชับเจ้า ว่าให้เจ้าพาคนที่เจ้าเชื่อใจและแบกรับหน้าที่สำคัญได้ไปด้วย ที่สำคัญคือเรื่องนี้ห้ามให้หนิวโหย่วเต๋อรู้!”

ไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ด้วยเหรอ? ลิ่งหูโต้วจ้งขมวดคิ้ว “ข้าก็ต้องรู้สิว่าข้าจะต้องทำอะไร?”

ชั่วพริบตาที่ร่างของเหวินเจ๋อสลับเข้ามาบังไว้ แผ่นหยกแผ่นหนึ่งก็ยัดเข้ามาในมือของเขาแล้ว “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะให้เจ้าทำอะไร เพียงแต่ฝ่าบาทบอกแล้ว ว่าเมื่อลี่หัวเห็นสิ่งนี้ ก็ย่อมบอกเจ้าเอง แต่ถ้าไม่เห็นสิ่งนี้ ลี่หัวก็จะไม่บอกอะไรเจ้าทั้งนั้น!”

ลิ่งหูโต้วจ้งรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอ่าน เห็นเพียงข้างในมีภาพวาดจิ้งจอกตัวหนึ่ง บนตัวจิ้งจอกมีตราอิทธิฤทธิ์ พอลองแยกแยะเล็กน้อยก็จะมองออกว่าเป็นตราอิทธิฤทธิ์ของประมุขชิง

เขาประหลาดใจสงสัยไม่หยุดทันที ประมุขชิงทำตัวลึกลับเพราะคิดจะทำอะไรกันแน่? ไปพบลี่หัวประมุขปราสาทดำเนินจันทร์เหรอ? ให้พากลุ่มลูกน้องที่รับตำแหน่งสำคัญได้ไปด้วย? ทั้งยังให้หลบเลี่ยงหนิวโหย่วเต๋อ? พอลองนึกเชื่อมโยง เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ปกติ

ตอนที่เขาคิดจะถามอะไรอีก เหวินเจ๋อก็พูดทิ้งท้ายแล้วเหาะออกไปแล้ว “ข้ารู้แค่เท่านี้”

ลิ่งหูโต้วจ้งงุนงง หลังจากลังเลซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ตัดสินใจจะติดต่อไปยืนยันกับประมุขชิงสักหน่อย ทว่าแม้เขาจะเป็นจอมพลที่อิ๋งจิ่วกวงเลื่อนตำแหน่งให้ แต่กลับไม่มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับประมุขชิงโดยตรง แต่มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับซ่างกวนชิงได้ จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับซ่างกวนชิง แล้วถามโดยตรงว่า : พ่อบ้านใหญ่ ขุนนางมีความผิดผู้นี้มีเรื่องจะรายงานฝ่าบาท!

ซ่างกวนชิง : ฝ่าบาทกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าถ้านายท่านลิ่งหูส่งข่าวมา ก็ให้บอกไปว่า พยายามปฏิบัติการให้เร็วที่สุด! ถ้านายท่านลิ่งหูรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ก็ให้ส่งของนี้คืนให้คนที่มอบให้เจ้า อย่างอื่นไม่ต้องถามมากแล้ว

ลิ่งหูโต้วจ้งเก็บระฆังดาราแล้วเงียบไป เพียงแต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ เป็นภารกิจลับที่ประมุขชิงมอบให้ตนจริงๆ

“พี่เหวิน ยุ่งมากเชียวนะ!”

เหวินเจ๋อกลับมาบนเนินเขา พอเจอกันเหมียวอี้ก็กล่าวประโยคที่มีความหมายล้ำลึกทันที

“น้องชายอย่าคิดมากเลย เห็นว่านายท่านลิ่งหูเงียบเหงาโดดเดี่ยว เลยปลอบใจไปสองสามประโยคก็เท่านั้นเอง” เหวินเจ๋อกล่าวกลั้วหัวเราะ

เหมียวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มแข็งทื่อ “ควรจะปลอบใจสักหน่อย” ในใจกลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง

ทั้งสองพูดกันไม่กี่ประโยค แล้วก็เห็นลิ่งหูโต้วจ้งกลับมาอีก แต่ไม่ได้กลับมาทางนี้ เขากลับไปหาครอบครัวตัวเองด้วยสีหน้าหดหู่ จากนั้นครู่เดียวก็เห็นอวิ๋นจือชิวบอกลาจากฝั่งนั้นมา

ส่วนลิ่งหูโต้วจ้งที่กลับเข้ามาหาคนในครอบครัวตัวเองก็หายไปในป่าอย่างรวดเร็ว ไปหลบอยู่ใต้หน้าผาแห่งหนึ่งแล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา สภาพภูเขาสูงชันอันตราย

ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนทยอยกันมาถึง ล้วนเป็นแม่ทัพใหญ่คนสนิทที่เขาเคยเชื่อใจทั้งนั้น

พวกแม่ทัพใหญ่ถามว่าเรื่องอะไร แต่เขาไม่บอก หลังจากทั้งแปดคนมากันครบแล้ว ลิ่งหูโต้วจ้งถึงได้บอกว่า “ข้ามีเรื่องต้องวางแผนร่วมกับทุกคน ทุกคนยินดีจะติดตามข้าหรือไม่?”

ทั้งแปดคนมองหน้ากันเลิกลั่ก พวกเขารู้สึกลำบากใจ ต่างก็คิดว่าตัวเองเดาออกแล้วว่าลิ่งหูโต้วจ้งคิดจะทำอะไร แม่ทัพคนหนึ่งยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “พวกเราเข้าใจความรู้สึกของท่านจอมพล แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นวิธีการโหดเหี้ยมของของประมุขชิงหรือหนิวโหย่วเต๋อ เกรงว่าใจคนคงไม่เป็นไปตามใจเรา เกรงว่าคงไม่ทำงานใหญ่ร่วมกับพวกเราอีก อาศัยแค่พวกเรายากจะทำงานให้สำเร็จได้ หวังว่าท่านจอมพลจะไตร่ตรองและไม่บุ่มบ่าม!”

“พวกเจ้าคิดมากไปแล้ว!” ลิ่งหูโต้วจ้งโยนแผ่นหยกออกมา “เหวินเจ๋อเพิ่งให้สิ่งนี้กับข้ามา พวกเจ้าดูกันเอาเถอะ”

ทั้งแปดทยอยกันอ่าน มีคนอุทานถามอย่างตกใจว่า “ตราอิทธิฤทธิ์ของประมุขชิง?” ทุกคนมองเขาอย่างตะลึงงัน

ลิ่งหูโต้วจ้งแอบประชุมลับกับพวกเขาพักหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็พยักหน้าเบาๆ แล้วบอกว่า “เรื่องนี้ต้องจัดการให้เร็วที่สุด พวกเจ้าแอบติดต่อกับสมาชิกรักษาความปลอดภัยของพวกเราที่อยู่ทั้งในและนอกดาวจันทร์อี่เดี๋ยวนี้ สืบให้กระจ่างว่าจุดสังเกตการณ์ที่อ่อนแออยู่ตรงไหน ฉวยโอกาสตอนที่ทางนั้นส่งต่องานกัน ยังมีเวลาเหลือให้รอดพ้นจากสายตาพวกเขาจะได้สะดวกให้พวกเรารีบไปปราสาทดำเนินจันทร์สักเที่ยว”

ทั้งแปดพยักหน้า หยิบระฆังดาราออกมาแบ่งกันติดต่อกันที

หลังจากนั้นพักหนึ่ง แผนที่ดาวแผ่นหนึ่งก็ถูกกางออกมา หลังจากพวกเขายืนยันเส้นทางแล้ว ก็รีบเก็บของ แล้วหายไปเงียบๆ โดยอาศัยลักษณะภูเขาบดบังร่างกาย

ปราสาทดำเนินจันทร์ ในตำหนักใหญ่ ลี่หัวใบหน้างามล้ำทว่าสีหน้าเรียบเฉย ลักษณะท่าทางเย็นชา มีสง่าราศีเหนือคนธรรมดา เดินเนิบนาบลากกระโปรงผ้ามุ้งสีเทาลงจากบันไดหยก

ตรงกลางตำหนัก เว่ยซูยืนเอามือไขว้หลัง มองนางพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ลี่หัว ไม่เจอกันหลายปี เจ้ายังสง่างามไม่น้อยลงกว่าในปีนั้น!”

ลี่หัวเดินมาหยุดตรงหน้าเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คำพูดตามมารยาทน่ะไม่ต้องแล้ว พ่อบ้านใหญ่เว่ยมาเยือนถึงที่ คงไม่ได้ตั้งใจมาเยินยอข้าโดยเฉพาะกระมัง?”

เว่ยซูกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ข้าก็ชอบนิสัยของประมุขปราสาทลี่นี่แหละ ได้ งั้นข้าก็จะพูดตรงๆ แล้วกัน ทางฝั่งข้ามีคนอยากจะสร้างสำนักสักแห่ง ข้าอยากจะเลือกสถานที่สักแห่งในอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์เพื่อบุกเบิกภูเขาสร้างสำนัก หวังว่าลี่หัวจะไว้หน้าสักครั้ง แบ่งที่ให้ข้าสักแห่ง”

“คิดจะบุกเบิกภูเขาสร้างสำนักในอาณาเขตสำนักข้า เว่ยซู น้ำเข้าสมองเจ้าแล้วรึไง?” ลี่หัวถามอย่างเย็นชา

“อยากได้อะไรเจ้าก็เสนอมาตรงๆ ตราบใดที่ข้าทำได้ก็จะทำให้” เว่ยซูกล่าว

“จะให้ข้าหักหน้าเจ้า ไล่เจ้าออกไปให้ได้เลยใช่มั้ย?” ลี่หัวถาม

เว่ยซูจึงบอกว่า “เช่นนั้นข้าก็ไม่เข้าใจแล้ว ขนาดหนิวโหย่วเต๋อยังดึงสำนักลมปราณมาลงหลักปักฐานที่ถิ่นเจ้าได้เลย ทำไมข้าจะทำบ้างไม่ได้? หน้าข้าเทียบเขาไม่ได้หรือไง?”

……………