ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 12 การกลับมาของสมเด็จท่านใต้เท้าสังฆราช

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

สำนักฝึกหลวงเป็นหนึ่งในหกสำนักไม้เลื้อย ประวัติศาสตร์ยาวนาน เคยรุ่นโรจน์ในเมืองหลวงอยู่ช่วงหนึ่ง

ยี่สิบกว่าปีก่อน สำนักฝึกหลวงเกิดฉากนองเลือดขึ้น อาจารย์และนักเรียนนับไม่ถ้วนเสียชีวิต หลังจากตอนนั้น สำนักฝึกหลวงก็กลายเป็นสวนสุสาน ค่อยๆ ถูกผู้คนลืมเลือน ประชาชนในเมืองหลวงที่ยังคงจดจำได้เหล่านั้นก็ไม่กล้าเอ่ยถึง

หลังจากที่เฉินฉางเซิงจากเมืองซีหนิงมายังเมืองหลวง สำนักฝึกหลวงจึงได้ปรากฏออกมาตรงหน้าผู้คนอีกครั้ง

หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสุสานเทียนซู

ตอนนี้ฐสนะของสำนักฝึกหลวงพิเศษยิ่งนัก

ไม่ว่าจะเป็นราชสำนักหรือว่าพระราชวังหลี ล้วนให้ความสำคัญกับสำนักฝึกหลวงเป็นอย่างยิ่ง

ทรัพยากรทุกอย่างล้วนหลั่งไหลเข้าสู่ส่วนลึกของตรอกไป๋ฮวาอย่างไม่หยุดหย่อน

ภายในระยะเวลาสั้นๆ สามปี สำนักฝึกหลวงได้ฟื้นฟูจนกลับมารุ่งเรืองดังเช่นในอดีตสถานะมันคงยิ่งกว่าสำนักไม้เลื้อยอื่นๆ จนใกล้จะเทียบเคียงได้กับสำนักเทียนเต้า ไม่อย่างนั้นเหล่าอาจารย์และนักเรียนที่หลบหนีไป เหตุใดจึงต้องทุ่มเทกำลังกายมากมายเพื่อที่จะได้กลับมา

ประวัติศาสตร์เดิมทีก็ถูกเขียนโดยผู้ที่ได้รับชัยชนะความรุ่งโรจน์เป็นของคนผู้นั้นที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสุสานเทียนชูเท่านั้น

สำนักฝึกหลวงกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง กลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง เนื่องจากการปรากฏตัวของเฉินฉางเซิง เจ้าสำนักแห่งสำนักฝึกหลวงในตอนนี้ ยังคงถูกจัดการโดยเขา แต่ในสายตาของหลายคน สำนักฝึกหลวงยังคงเป็นสำนักฝึกหลวงของซางสิงโจว

ความรุ่งโรจน์ของสำนักฝึกหลวงในราชสำนักและในสุสานเทียนซู ล้วนถูกผู้คนมอบไว้ให้แก่ซางสิงโจว

เนื่องจากซางสิงโจวคือเจ้าสำนักที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักหลวงและมีอิทธิพลมากที่สุด

และเฉินฉางเซิงก็คือลูกศิษย์ของเขา

เขามาจากเมืองซีหนิงมาถึงยังเมืองหลวง ทั้งยังเข้าศึกษาในสำนักฝึกหลวง เรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นการจัดการของซางสิงโจว

นี่คือการสืบทอดที่ชัดเจนนัก

นักวิชาการในราชสำนักไม่รู้ว่าเขียนไปกี่บทความแล้ว

สำนักการศึกษากลางเคยเตรียมตั้งศิลาหน้าสำนักฝึกหลวงเพื่อบอกเล่าหน้าประวัติศาสตร์นี้

สำหรับสำนักฝึกหลวงขั้วเก่าแล้ว นี่เป็นเพียงการกำจัดรากเหง้า

แต่สำหรับสำนักฝึกหลวงแล้วนี่คือการรุกเข้าทำลายอย่างไม่ต้องสงสัย

หากมิใช่ซูม่ออวี๋ยืนหยัดที่จะปกป้อง หากมิใช่ฝั่งพระราชวังหลียังคงเฝ้าระวัง หากมิใช่เพราะก่อนหน้าที่เหมาชิวหยวนได้ทำการกดดันสำนักการศึกษากลาง บางทีร่องรอยที่เฉินฉางเซิงทิ้งไว้ในสำนักฝึกหลวงอาจจะถูกลบไปนานแล้วก็เป็นได้

ในตอนนี้ เฉินฉางเซิงได้กลับมาถึงยังเมืองหลวงแล้ว

มือข้างที่สำนักการศึกษากลางยื่นเข้าในสำนักนั้นได้ถูกสวีโหย่วหรงสะบั้นขาดเสียแล้ว

ถังซานสือลิ่วได้ป่าวประกาศออกไปยังทั่วทั้งเมืองหลวงร่วมถึงทั้งดินแดนนี้

คำป่าวประกาศนี้มีพลังราวกับเสียงฟ้าคำราม ดังขึ้นท่ามกลางเสียงพายุหิมะ ไม่นานก็เผยแพร่ไปทั่วทุกมุมของเมืองหลวง

สำนักฝึกหลวงในปัจจุบันและสำนักฝึกหลวงในอดีตได้ทำการตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ลัทธิโอบอ้อมอารีเหล่านั้นที่เคยหวังให้ซางสิงโจวและเฉินฉางเซิงสามารถผ่อนปรนได้ ต่างก็รู้สึกผิดหวัง คนเหล่าที่หวังจะให้พวกเขาต่อกรกันต่อไป หรือแม้กระทั่งหวังผลประโยชน์จากการขัดแย้งต่างก็รู้สึกตกตะลึง

เนื่องจากทัศนคติที่สำนักฝึกลงแสดงออกมานั้นช่างเด็ดขาดยิ่งนัก

นี่สามารถถูกตำหนิได้ว่าเป็นการไม่เคารพอาจารย์และผู้มีพระคุณ ที่มันหนักหนายิ่งกว่าเสียอีก หรือแม้แต่อาจจะถูกตำหนิได้ว่าทำร้ายอาจารย์ทำลายบรรพบุรุษ

แต่ถังซานสือลิ่วหรือคนแบบไหนกัน

วันคืนในศาลบรรพบุรุษ เขาตั้งใจวางแผนเลือดเย็นอาบยาพิษ นั่นก็คือล้มคว่ำตระกูลถัง

เขาแทบจะไม่สนใจในเรื่องนี้

ในส่วนที่เขาจะตัดสินใจแทนสำนักฝึกหลวงได้หรือไม่ ตัดสินใจแทนเฉินฉางเซิงได้หรือไม่ กลับเป็นปัญหาอีกอย่าง

คนส่วนใหญ่กลับคิดว่า เดิมทีนี่อาจจะเป็นเจตนาของเฉินฉางเซิงก็เป็นได้

……

……

เฉินฉางเซิงไม่ทราบว่าหลังจากที่ตนนั้นออกจากสำนักฝึกหลวงแล้ว ถังซานสือลิ่วจะเอ่ยคำพูดเหล่านี้ เขาเองก็ไม่ได้มีเจตนาทางด้านนี้ เนื่องจากเขาไม่ได้คิดว่าสำนักฝึกหลวงนั้นเป็นของตนหรือเป็นของอาจารย์ตน และในสถานการณ์ตอนนี้จะมีผลกระทบอย่างไร

แต่หลังจากทราบเรื่องนี้แล้ว เขาก็ไม่ได้ตกตะลึง และยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้คัดค้าน

เขาและถังซานสือลิ่วเคยแลกเปลี่ยนกันมาก่อนแต่หลายปีที่ผ่านมานี้พวกเขาเคยแลกเปลี่ยนกันริมทะเลสาบบนต้นไม้เคยพูดคุยกันมากมายถึงเรื่องอนาคต ในภาพของอนาคตเหล่านั้นล้วนมีสำนักฝึกหลวงอยู่ทั้งสิ้น

แล้วเขาทราบดีว่า ถังซานสือลิ่วนั้น กำลังช่วยเขาตัดสินใจอยู่

อาจารย์เหมยชวนที่สวีโหย่วหรงสังหารในสำนักฝึกหลวงไปนั้น ที่จริงแล้ว ก็คือกำลังช่วยเขาตัดสินใจอยู่

การตัดสินใจเลือกเป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่สุดในโลกบางครั้งก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดเช่นกัน

สวีโหย่วหรงและถังซานสือลิ่วคือบุคคลที่ใกล้ชิดที่สุดภายใต้ดวงดาวผืนนี้ของเขา

พวกเขาทราบดีถึงความคิดของเขาทั้งยังอยากจะแบ่งเบาความเจ็บปวดนี้ของเขาไปอีกด้วย

เพลงแต่เมื่อนึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่ม่ออวี่ได้พูดไปเมื่อคืน เฉินฉางเซิง นอกจากความซาบซึ้งแล้วยังมีความกลัดกลุ้มอยู่บ้าง

ความรู้สึกกลัดกลุ้มมักจะมีผลต่อความอยากอาหาร

อาหารที่อยู่ในจานกลิ่นและสีสันครบแต่ราวกับไร้ซึ่งรสชาติ

เขาวางตะเกียบลง

“เห็ดจุมพิตนี้รสชาติไม่ดีหรือ”

หญิงงดงามนางหนึ่งเอ่ยถามด้วยความรู้สึกตระหนก “ในครัวยังมีซุปหยกเขียวอยู่อีกถ้วน ท่านอยากลองหรือไม่”

สีหน้าเซวียเยี่ยจิ่นก็ตื่นเต้นเช่นกัน

หญิงผู้นั้นเป็นบุตรสาวคนโตของเซวียสิ่งชวนและก็คือพี่สาวของเซวียเยี่ยจิ่น

หลังจากเซวียสิ่งชวนเสียชีวิต นางถูกสามีผู้ร่ำรวยเว่ยซื่อหลังหย่าขาดทั้งยังไล่กลับมายังจวนเซวีย

จากนั้นในวันที่หิมะถล่มถนนสายยาว ศีรษะของเว่ยซื่อหลังถูกตัดขาดลงโดยหวังผ้อและเฉินฉางเซิง

นางอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เซวียในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา และความอ่อนแอในตอนแรกของนางได้หายไปนานแล้ว..จากอาภรณ์บนกายและรอยแผลบนนิ้วของนางล้วนมองออกทั้งสิ้น

การเปลี่ยนแปลงนี้หากตกอยู่ในสายตาของคนอื่น และมันอาจจะทำให้เกิดหดหู่และความเศร้ามากมาย แต่มันกลับทำให้เฉินฉางเซิงมีความสุขเล็กน้อย

เขาชอบคนที่จริงจังกับชีวิต และเขาชอบคนที่ไม่รู้สึกหดหู่ ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด

“อร่อยมาก” เขาเอ่ยตอบอย่างจริงจัง “รสชาติของน้ำซุปก็ดีมากเพียงแต่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ค่อนข้างมาก ข้าจึงจิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”

เมื่อได้ฟังคำนี้ คุณหนูเซวียและเซวียเยี่ยจิ่นก็ล้วนยิ้มออกมา

เซวียฮูหยิน ไม่ได้ยิ้มออกมา นางทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสำนักฝึกหลวง แล้วก็ทราบว่าหลังจากที่เขากลับมายังเมืองหลวงจะต้องเผชิญกับเรื่องยุ่งยากมากมาย จึงเอ่ยอย่างไม่สบายใจว่า “ท่านมีเรื่องราวไม่รู้มากมายเท่าไหร่ที่ต้องจัดการไม่ต้องมาเยี่ยมเยียนพวกเราจริงๆ นี่ทำให้พวกเรารู้สึกไม่สบายใจจริงๆ”

“เรื่องเยอะจริงๆ อย่างที่ว่า”

เฉินฉางเซิงหันไปมองฟ้าด้านนอก จึงลุกขึ้นกล่าวลา

ตระกูลเซวียทั้งสามคน รีบลุกขึ้นส่ง

ผู้ดูแลบ้านอาวุโสท่านนั้นและหญิงรับใช้ท่านหนึ่งยืนรอทำความเคารพอย่างนอบน้อมอยู่ที่ประตูจวน

นี่คือคนรับใช้ทั้งหมดในตระกูลเซวียแล้ว รวมกับทั้งสามคนในตระกูลเซวีย ยามนี้อาศัยอยู่ในลานนั้นที่เล็กที่สุดด้านตะวันออกของจวนเซวีย

ราชสำนักยังคงไม่ได้พูดให้ชัดเจนว่าจะยึดคืนบ้านของตระกูลเซวียนี้ แต่ท่านอ๋องหลายคนล้วนกำลังจับตามองทางด้านนี้อยู่

เฉินฉางเซิงมองไปยังจวนอ๋องสิบกว่าหลังที่อยู่สองด้านของถนน นึกถึงเรื่องนี้

สีของรัตติกาลใกล้จะมาถึง จวนอ๋องเหล่านั้นไม่รู้ว่าเหตุใดต้องเปิดประตูเอาไว้

มีแสงไฟลอดมาจากด้านใน แสงนั้นทอดตกลงบนเกร็ดหิมะที่กำลังเริงระบำ ราวกับกำลังม้วนเอาประกายไฟสีทองนั้นไว้ งดงามยิ่งนัก

เฉินฉางเซิงดำเนินไปทางที่มีพายุหิมะ

เขาเคยได้ยินเจ๋อซิ่วและม่ออวี่เอ่ยว่า โจวทงในตอนนั้นก็ปีนไปจากที่นี่

ในคืนนั้น ว่าโจวทงจะกรีดร้องร่ำไห้ขอร้องอย่างไร ในจวนอ๋องเหล่านั้นล้วนไม่มีผู้ใดออกมาช่วยเขา

ต่อให้ใน ตอนนั้นเขาไม่ได้เป็นสุนัขของจักรพรรดินีเทียนไห่ เขาเป็นสุนัขรับใช้ของซางสิงโจว

ยามนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงโดนทราบดีว่าเขาได้เข้าไปในจวนเซวีย ท่านอ๋องผู้นั้นแน่นอนว่าก็ทราบ

ท่านอองผู้นั้นจะทำอะไรหรือไม่

ไม่มีผู้ใดออกมาแล้วก็ไม่มีเสียงเช่นกัน

ถนนท่ามกลางพายุหิมะล้วนเงียบอย่างใดเทียบได้ สงบนิ่งยิ่งนัก

เมื่อเดินผ่านจวนอ๋องที่แสงไฟส่องสว่าง ก็มาถึงยังถนนปกติ

ถนนสองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คน เป็นคลื่นมวลชน

ทุกคนในเมืองหลวงล้วนเป็นศิษยานุศิษย์ของสำนักฝึกหลวง หลังจากที่เห็นร่างของเขาปรากฏขึ้นก็รีบคุกเข่าลงราวกับเคลิ้มไปน้ำก็มิปาน

ไม่มีอาจารย์ท่านอื่นอยู่ข้างกาย ไม่มีทหารม้าคอยอารักขา ไม่มีผู้รับใช้ และไม่มีราชรถ

เขาดำเนินมาผู้เดียว

ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด ผู้คนจะคุกเข่าลงอธิษฐานขอพร

กระแสมวลชนยังคงหลั่งไหลเข้ามาทางด้านหน้าของถนน จนบดบังเสาศิลาขึ้นชื่อนั้น

เฉินฉางเซิงยืนอยู่เบื้องหน้าเสาศิลา มองไปที่พระราชวังอันโอ่อ่าศักดิ์สิทธิ์ และเคร่งขรึมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

ทันใดนั้นเสียงระฆังก็ดังขึ้นในพระราชวัง

เนื่องจากสมเด็จใต้เท้าสังฆราชได้เสด็จกลับมาแล้ว