ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 13 เวลาของผู้มีคุณธรรม

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เดินผ่านเสาศิลา ก็จะเป็นถนนเสินที่มุ่งหน้าเข้าลู่ส่วนลึกของพระราชวังหลี

บรรดาอาจารย์และนักเรียนของสำนักจวนราชวังหลี หอจงซื่อ และ กระทรวงสิบสามชิงเหย้าล้วนยืนอยู่สองข้างทาง ก่อนจะค้อมตัวทำความเคารพ

ถนนเสินเส้นนี้เคยเกิดเรื่องเรื่องหนึ่ง เฉินฉางเซิงไม่ได้ย้อนนึกกลับไป เขาเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ

เขาปีนขึ้นบันไดยาวเดินผ่านตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ และในที่สุดก็มาถึงพระราชวังที่เงียบสงบ

ท้องฟ้ายามค่ำคืนถูกแบ่งออกเป็นเหลี่ยมมุมเพราะชายคาบ้าน ก็เหมือนกับในอดีต เมื่อสระน้ำไม่ได้มีช้อนไม้อีกต่อไป เพราะใบไม้สีเขียวครามกระถางนั้นไม่มีอีกแล้ว

อันหวาคุกเข่าและโค้งคำนับ เสื้อผ้าสีขาวของนางเมื่อต้องลมหนาวในยามค่ำคืนก็โบกปลิว เหมือนกับที่อารมณ์ของนางที่รู้สึกตื่นเต้นในเวลานี้

เฉินฉางเซิงพยักหน้าทักทาย และให้นางลุกขึ้น

อันฮัวเดินตามหลังเขาเพื่อช่วยเขาใส่เสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ และจัดการมันอย่างละเอียดลออเป็นเวลานาน

เฉินฉางเซิงมองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ค่อนข้างแคบ มองดูดวงดาวเหล่านั้นที่อยู่ด้านล่างของบ่อน้ำ และนึกถึงความรู้สึกเหล่านั้นได้เมื่อเขามองไปที่ทะเลดวงดาวในเขตพระราชฐาน

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด เขาถอนสายตากลับมา ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ไปเถอะ”

เขาเดินไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของห้องโถงด้านข้างที่เงียบสงบหน้ากำแพงหินพร้อมกับเสียงน้ำแผ่วเบาที่ดังขึ้น

กำแพงศิลาค่อยๆ เปิดออก แสงสว่างจ้านับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามา ในขณะเดียวกันก็เปิดเสียงคลื่นสาดซัดไม่หยุดหย่อน

เสียงเหล่านั้นคือเสียงของอาภรณ์เสียดสีและคำนับลง และคือภาษาบทสวดศักดิ์สิทธิ์ของผู้คนที่บ้างก็ตื่นเต้น บ้างก็ศรัทธา

“คารวะท่านใต้เท้าสังฆราช”

นักบวชนับไม่ถ้วนคุกเข่าลงกับพื้นราวกับกระแสน้ำ

เฉินฉางเซิงสวมมงกุฎและถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ เขามองไปที่ภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าสงบ

เริ่มต้นจากเมืองเล็ก ๆ ของหานซานในปีนั้น ก็ปรากฏมีภาพเช่นนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

เช่นเดียวกับคำอธิบายที่พบบ่อยที่สุด ราวกับกระแสน้ำ

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเขา

เขาคุ้นเคยกับการเห็นผู้คนหลั่งไหลมาดั่งสายน้ำ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามายืนที่นี่

เขายืนอยู่บนโถงตำหนักแสงสว่าง

นี่มิใช่จุดสูงสุดของพระราชวังหลี แต่เป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดไม่อาจเทียมได้ในดินแดน

ห่างจากพื้นดินเพียงบันไดสิบกว่าขั้นเท่านั้น แต่ราวกับห่างไกลกว่าหมื่นลี้ ได้มาถึงยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์หนึ่งในทะเลดวงดาว

พร้อมกับการสวดมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ การท่องพระคัมภีร์ทางศาสนากลับมาอีกครั้ง บรรยากาศที่ศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องโถงตำหนักแสงสว่าง

แสงศักดิ์สิทธิ์ที่อบอุ่นสาดส่องทุกอย่างในที่นั้นจนสว่างไสวอย่างหาใดเทียบได้ ต่อให้เป็นความมืดมิดที่เล็กละเอียดที่สุดเมื่ออยู่ที่นี่ก็ไม่มีทางมีอยู่

โถงตำหนักแสงสว่างมีบันไดศิลาที่สูงมากอยู่

บนบันไดศิลานั้นแกะสลักรูปเหมือนของผู้มีคุณธรรม วีรบุรุษ ทหารม้าอารักขา และยังมีรูปปั้นของบุคคลศักดิ์สิทธิ์ เมื่อถูกแสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่อง จึงราวกับพวกเขาจะมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งก็มีปาน

ผู้มีคุณธรรม วีรบุรุษ ทหารม้าอารักขา และยังมีรูปปั้นของบุคคลศักดิ์สิทธิ์ ต่างก็มองมายังมนุษย์โลก

สายตาของพวกเขาไม่ได้เฉยเมย จะกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกเสมือนจริง

เฉินฉางเซิงยืนอยู่เบื้องหน้าบันไดศิลา ยืนอยู่ด้านในสิ่งศักดิ์สิทธิ์

เขาแบกรับเอาสายตาเหล่านั้นเอาไว้

เขากำลังมองดูมนุษย์โลก

ภาพๆ นี้ศักดิ์สิทธิ์อย่างหาใดเทียบได้

……

……

เขายกไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ในมือขึ้น

เสียงสวดมนต์ค่อยๆหยุดลง เหล่านักพรตทั้งหลายค่อยๆ ยืนขึ้น ยังคงเหมือนกับคลื่นน้ำก็ไม่ปาน

โถงตำหนักแสงสว่างจู่ๆก็เงียบลง เรากลับเสียงที่โชคดีที่ได้ทะลุผ่านสายลมอ่อนๆ การก่อตัวบนผนัง ล้วนสามารถเข้าสู่โสตประสาทของผู้คนได้อย่างชัดเจน

หรืออาจจะเป็นเพราะว่าก่อนหน้าที่ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์จะจุติลงมา คลื่นคนในที่นั้นล้วนได้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย

ราชันย์แห่งหลิงไห่ มุขนายกอันหลิน นักพรตซือหยวน หู้ซานสือเอ้อร์ ผู้นำทั้งสี่ท่านแห่งสำนักฝึกหลวงล้วนประทับยืนอยู่ด้านขวามือ

มุขนายกพระราชวังหลีกว่าร้อยท่านรวมไปถึงมุขนายกที่เร่งรุดกลับมาจากตำหนักอื่นๆล้วนอยู่ด้านหลังของพวกเขา

มุขนายกที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งมีจำนวนน้อยกว่ามากนัก ไม่มีมหามุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์แม้แต่ท่านเดียว แต่มุขนายกอาภรณ์สีแดงมีจำนวนมาก

มุขนายกเหล่านี้ล้วนมีลักษณะเด่นหนึ่งข้อก็คือสีหน้าของพวกเขาล้วนมีความอาวุโส

ไม่ว่าจะอยู่ในที่แห่งใดความอาวุโสเหล่านี้ล้วนแสดงถึงอายุและประสบการณ์ และนั่นก็หมายถึงพลังรูปแบบหนึ่งเช่นกัน

บรรดามุขนายกแห่งสำนักการศึกษากลางก็ล้วนอยู่ในนั้นเช่นกัน ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ สำนักเทียนเต้า กระทรวงสิบสามชิงเหย้า หอจงซื่อก็ล้วนอยู่ด้านนี้

มีเพียงสำนักจวนพระราชวังหลีที่ได้รับอิทธิพลจากราชันย์แห่งหลิงไห่เท่านั้นที่ไม่อยู่ เจ้าสำนักท่านนั้นและซูม่ออวี๋ยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น ตั้งใจทำตนเจียมตัวเป็นพิเศษ

จวงจือห้วนและมุขนายกสามท่านแห่งสำนักการศึกษากลางอยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มคน ไม่ได้ปิดบังต้องรอคอยการมาถึงรวมไปถึงความคิดที่อยู่ในจิตใจเลย

เฉินฉางเซิงเหลือบมองไปยังจวงจือห้วน หลังจากนั้นจึงมองไปยังบางมุมที่อยู่นอกตำหนัก

แสงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมไปทั่วทั้งโถงและยังสาดแสงออกไปด้านนอกโถงด้วย

สีสันแห่งรัตติกาลที่มืดครึ้มภายนอกโถงศักดิ์สิทธิ์ถูกฉีกออกเป็นทางสาดส่องไปทั่วทุกมุม

อาจารย์เหมยชวนยืนอยู่ที่นั่น

แสงศักดิ์สิทธิ์ต่อให้อบอุ่นเพียงใด แต่ก็ไม่มีทางขับไล่ความหนาวเหน็บบนร่างกายเขาได้

เนื่องจากเขาตายแล้ว

……

……

ในตอนแรกที่เฉินฉางเซิงได้รับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชนั้นก็ถูกซางสิงโจวของตนขับไล่ออกจากเมืองหลวง

เขาคือใต้เท้าสังฆราชที่ถูกขับไล่

สามปีต่อมาเขากลับมายังพระราชวังหลี เป็นครั้งแรกที่จัดงานพิธีศักดิ์สิทธิ์ในฐานะสมเด็จพระสังฆราช ทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ยากจะแก้ไข

ในสายตาของเหล่ามุขนายกแห่งสำนักการศึกษากลางสามารถเห็นอารมณ์ความรู้สึกที่คับแค้นได้อย่างชัดเจน

แน่นอนว่า พวกเขายังคงรักษาไว้ซึ่งความเคารพต่อเฉินฉางเซิงอย่างพอดี ยังคงควบคุมสีหน้าอรมณ์ของตนไว้ได้เป็นอย่างดี

ไม่อย่างนั้นร่างของอาจารย์เหมยชวนในยามนี้ก็คงไม่ถูกวางอยู่ในมุมนั่นนอกโถงหรอก แต่อาจจะปรากฏออกมาในโถงตำหนักแสงสว่างเป็นแน่ และก็คงวางอยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างแน่แท้

สีหน้าไร้อารมณ์ของราชันย์แห่งหลิงไห่ยังคงมองไปทางด้านนั้น แววตาเยือกเย็นยิ่งนัก สีหน้าแทบจะดูไม่ได้

หลังจากที่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นสำนักฝึกหลวงแล้ว เขาก็เฝ้ามองสำนักการศึกษา รวมไปถึงเหล่าอาจารย์ที่อาวุโสเหล่านั้นมาตลอด

ที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ อีกฝ่ายอาจหาญนำร่างของอาจารย์เหมยชวนเข้ามาในพระราชวังหลี ทั้งยังวางเอาไว้นอกโถงตำหนักแสงสว่าง

เขาคิดว่านี่คือการท้าทายต่อตนที่โจ่งแจ้งยิ่งนัก แน่นอน ว่านี่คือการเตือนสติตน

นี่แสดงให้เห็นว่าพระราชวังหลีมิใช่เป็นเอกภาพเสียทีเดียว

พลังที่แท้จริงของขั้วอำนาจเดิมแห่งสำนักฝึกหลวง สายตานั้นมองกลับไปมาระหว่างหู้ซานสือเอ้อร์และมุขนายกอันหลิน ในใจลอบคิดว่าคนผู้นั้นคือผู้ใดกันแน่

คืนนี้คือการเปิดประชุมจรัสแสงเป็นคราแรกโดยท่านใต้เท้าสังฆราช เกิดเรื่องเยี่ยงนี้ขึ้น เป็นเรื่องอัปยศที่เขามิอาจทนได้

แต่เขาทราบดีว่าในยามนี้ตนนั้นไม่สามารถทำอะไรไม่สะดวกนัก ยิ่งสามารถให้ผู้ใดหามศพของอาจารย์เหมยชวนไปได้

คนที่เห็นภาพฉากนี้มามากนัก เพียงนี้วิธีการแก้ไขปัญหาที่รุนแรงมีแต่จะทำให้อารมณ์ของอาจารย์บางส่วนควบคุมไม่ได้

แน่นอนว่า เขาเชื่อว่าอาศัยชื่อเสียงของท่านใต้เท้าสังฆราชและฐานะสถานะของคนและคนอื่นๆ สามารถกดความรุนแรงของสถานการณ์ตรงหน้าได้แน่นอน

ปัญหาก็คือ ร่องรอยแตกร้าวนั้นไม่หายไป แต่กลับยิ่งลึกขึ้นไปทุกที

เห็นได้ชัดว่า นี่มิใช่สิ่งที่ท่านใต้เท้าสังฆราชประสงค์จะเห็น

ราชันย์แห่งหลิงไห่มองไปยังเฉินฉางเซิง จู่ๆ ก็บังเกิดความคาดหวัง

ในโถงนั้นหลายครั้งที่เห็นมุขนายกของเฉินฉางเซิง ไม่ออกความคิดใดเกี่ยวกับการต่อสู้ทั้งใหม่และเก่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือความสงสัย หรืออาจจะพูดได้ว่าคาดหวัง

ท่านสังฆราชจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร

ใช่แล้ว เพราะผู้ที่สังหารอาจารย์เหมยชวนคือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดทั้งสิ้นได้รับการยืนยันโดยเฉินหลิวอ๋อง

ผู้ใดล้วนทราบดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และท่านใต้เท้าสังฆราช นางเลือกที่จะช่วยท่านตัดสินใจ แน่นอนว่าก็ต้องเตรียมเหตุผลไว้เป็นอย่างดีแล้ว

หากว่ากันตามหลักการแล้ว ในยามนี้ขอเพียงเอ่ยเหตุผลนั้นออกมา ก็จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ไปได้

แต่มาไม่ทราบด้วยเหตุใด อาจารย์ทุกท่านรวมถึงราชันย์แห่งหลิงไห่ หรือแม้แต่เหล่าอาจารย์ที่เป็นขั้วอำนาจเดิมต่างก็ไม่คิดว่าเขาจะทำเยี่ยงนั้น

ไม่มีเหตุผล ไม่มีที่มา อาจจะเพียงเพราะว่าเรื่องราวเหล่านั้นในหลายปีมานี้ ต่างก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเขาจะไม่ทำเยี่ยงนั้น