ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 14 ความคิดของราชามาร

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ทุกคนล้วนคาดหวังที่จะให้เฉินฉางเซิงมีแผนการแก้ไขที่สมบูรณ์แบบออกมา รวมไปถึงมุขนายกขั้วอำนาจเดิมที่ดื้อดึงเหล่านั้นด้วย

สายตาที่มุขนายกอาวุโสเหล่านั้นมองมายังเฉินฉางเซิงมีความซับซ้อนยิ่ง

เขาคือลูกศิษย์ของซางสิงโจว คือเด็กหนุ่มที่เหมยหลี่ซาให้การอบรมมาด้วยตัวเอง คือเชื้อสายทางซีหนิงอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นผู้สืบทอดตั้งเดิมของสำนักฝึกหลวง หากว่ากันตามหลักการ แล้วควรจะยืนอยู่ฝั่งพวกเขาด้านนี้ แต่เขากลับไม่ทำอย่างนั้น

เขาให้ความสำคัญกับ ราชันย์แห่งหลิงไห่ นักพรตซือหยวน หลังจากสังหารนักพรตไป๋สือในเมืองเวิ่นสุ่ยแล้ว ก็ไม่ได้คิดจะปลอบประโลมทางฝั่งขั้วอำนาจเดิมทางนี้ แต่กลับให้หู้ซานสือเอ้อร์ที่เป็นมุขนายกขั้วอำนาจใหม่ที่มีชื่อเสียงย่ำแย่มาแทนตำแหน่งของนักพรตไป๋สือ

เนื่องด้วยเรื่องนี้ ทำให้ ขั้วอำนาจเดิมของสำนักสักหลวงเกิดความรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่งยวด จึงทำให้เกิดสถานการณ์เยี่ยงในวันนี้ขึ้น

แต่ตราบจนกระทั่งตอนนี้ยังคงไม่มีผู้ใดคาดคิด หรือกล้าที่จะคิดไล่เขาลงมาจากตำแหน่งใต้เท้าสังฆราช

พวกเขายังคงรู้สึกมีความหวังในตัวเฉินฉางเซิง

เพียงแต่พวกเขาล้วนไม่ทราบว่าต้นนั้นหวังให้เฉินฉางเซิงทำอย่างไร

ศพของอาจารย์เหมยชวนยังคงอยู่ในความมืดด้านนอกโถง

นี่คือการเลือกของสวีโหย่วหรง

เฉินฉางเซิงจะไหลไปตามสถานการณ์ก็ได้ แต่เขาไม่ทำอย่างนั้น

เนื่องจากเขาบำเพ็ญพรตเต๋ามาตั้งแต่ยังเยาว์ ทำให้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ล้วนจะไม่ทำเรื่องที่เป็นการรังแกผู้คนอย่างนี้

ถึงแม้ว่านี่อาจจะเป็นคุณสมบัติที่ผู้คิดทำการใหญ่จะต้องมีก็ตาม

จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำพูดที่เปี๋ยยั่งหงเคยกล่าวไว้ในเขตพระราชฐาน

ความแตกต่างระหว่างทั้งสองคนนั้นแน่นอนว่ามีความแตกต่างกันยิ่งนัก แต่สามารถเปรียบเทียบกันได้

เขานึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่มหามุขนายกเคยเอ่ยกับตนไว้ก่อนที่จะสิ้น

“เมื่อครู่ข้าเดินผ่านถนนเสิน นึกถึงเรื่องราวในปีนั้นก่อนที่จะมีการสอบใหญ่”

สีหน้าของเฉินฉางเซิงปรากฏรอยยิ้มออกมา

ผู้คนล้วนทราบดีว่าเขาหมายถึงเรื่องที่มหามุขนายกเหมยหลี่ซาได้ป่าวประกาศให้ทั้งดินแดนทราบว่าเขาคือผู้ทีได้คะแนนอันดับหนึ่งในการสอบใหญ่

การย้อนรำลึกไม่ได้ถูกคิดต่อไปเดิมทีบรรยากาศที่ควรจะดำเนินไปสู่ความอบอุ่นจู่ๆ ก็เคียดขึ้งขึ้นมา

เนื่องจากเกิดเสียงที่เยือกเย็นและเหี้ยมเกรียมขึ้นมา

“สุดท้ายท่านถึงสังหารหลานชายคนเดียวของเขาไปสินะ”

ในโถงใหญ่พลันเงียบงันอย่างผิดปกติ

เฉินฉางเซิงเงียบขรึมไม่พูดจา

ใช่ มีคนให้อาจารย์เหมยชวนไปสอนที่สำนักฝึกหลวง ก็เพื่อต้องการให้เขาลำบากใจ

ไม่ว่าจะสังหารหรือไม่ ก็ล้วนมีแต่คำว่า ยาก

ดังนั้นถังซานสือลิ่วจึงเตรียมจะไปตึกเล็กเพื่อที่จะสังหารเขาเสีย

ดังนั้นสวีโหย่วหรงจึงสังหารเขาเสีย

ล้วนเป็นคนข้างกายเขาทั้งสิ้น เป็นคนที่แจ้งใจในเจตนาและความรู้สึกเขาที่สุด ดังนั้นไม่อาจให้เขาเลือกได้ ไม่สามารถให้เขาเสียชื่อได้

แต่ในตอนนั้นเขาไม่ได้ห้ามปรามถังซานสือลิ่ว ดังนั้น นี่ก็คือการเลือกของเขา

เหนือดวงดาวเป็นของอาณาจักรของศักดิ์สิทธิ์

ภายใต้สิ่งสกปรกเป็นเพียงฝุ่นผง

“ข้าจะแบกรับความผิดทั้งหมดที่ควรแบกรับเท่านั้น”

เฉินฉางเซิงเอ่ยกับผู้คนด้วยอาการสงบ

เขาไม่ได้ใช้ความทรงจำอันอบอุ่นเพื่อเชื่อมรอยแยกระหว่างเก่าและใหม่ และไม่ได้ให้เหตุผลใดที่น่าเชื่อถือ

ไม่มีคำอธิบาย แน่นอนว่าก็จะไม่มีทางแก้ไข

เขาเลือกที่จะแบกรับมันอย่างสงบ

เกิดความโกลาหลขึ้นในห้องโถงแสงสว่าง และเสียงอุทานก็ดังขึ้น

การแสดงออกของเหล่าอาจารย์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันซับซ้อนยิ่ง

บางคนผิดหวัง บางคนยินดีมาก บางคนสับสนมาก และบางคนก็ผิดหวังมาก

เฉินฉางเซิงยินดีที่จะแบกรับทุกข้อกล่าวหาเอาไว้

คำถามก็คือ ภายใต้ดวงดาวแห่งนี้ผู้ใดเล่าจะตัดสินลงโทษ สมเด็จใต้เท้าสังฆราชได้

นี่ไม่ใช่ การพิจารณาตัวเองของผู้ศักดิ์สิทธิ์แต่เป็นการป่าวประกาศอย่างเยือกเย็น

เสียงถอนหายใจผิดหวังดังขึ้นหลายครั้งจากฝูงชน ทั้งยังมีเสียงซักถามอย่าติเตียนด้วย

เฉินฉางเซิงถือไม้เท้าวิเศษ และยืนอยู่ตรงจุดนั้นอย่างเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยคำใด

ราชันย์แห่งหลิงไห่เดินไปด้านหน้าปะรำพิธี เขาหยิบกระดาษที่เตรียมไว้นานแล้วออกมา กางออกด้วยมือทั้งสองข้างและเริ่มอ่าน

สิ่งที่ติดตามมาหลังจากเสียงที่เฉยเมยของเขาดังขึ้นคือรายนามชื่อคนนับไม่ถ้วน เกิดเสียงดังขึ้นในห้องโถง

เสียงค่อยๆ เงียบลง มันเงียบขึ้น

เหลือเพียงลมหายใจที่หนักแน่นและเสียงฝีเท้าที่หนาแน่นขึ้น

เหล่ามัคนายกดำแห่งตำหนักเทียนไห่ที่สีหน้าซีดขาว และดูแล้วน่ารังเกียจ ค่อยๆ นำตัวอาจารย์สิบกว่าท่านออกมาจากในฝูงชน

หนึ่งในมุขนายกอาภรณ์แดงทั้งสามที่ทำงานในสำนักการศึกษากลางถูกปลดจากตำแหน่งในที่นั่น

เสียงราชันย์แห่งหลิงไห่ยังคงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ชัดเจนราวกับมีดที่แหลมคมอย่างนั้น

เขาประกาศถึงโทษความผิดของมุขนายกอาภรณ์แดงผู้นี้

โทษเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อคืนนี้ แต่ชัดเจน หลักฐานพร้อมพรัก

มุขนายกอาภรณ์แดงผู้นั้นไม่ได้โต้แย้ง เขาเดินตามมัคนายกดำออกไปนอกโถงตำหนัก

มองไปยังเบื้องหลังที่อ้างว้างของเขา สีหน้าของจวงจือห้วนและคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

บรรยากาศในห้องโถงตึงเครียดและหดหู่มากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดก็ถูกทำลายลงในช่วงเวลาหนึ่ง

อาจารย์ท่านหนึ่งที่ถูกลากไปที่ประตูโถงตำหนักพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้น และหันกลับมามองไปที่ปะรำพิธี แล้วตะโกนว่า “ท่านประสงค์จะเป็นผู้ปกครองที่เหี้ยมโหดหรือ”

ผู้คนต่างก็ฟังออก คนนี้เป็นคนที่ตั้งคำถามกับเฉินฉางเซิงเป็นคนแรก

เฉินฉางเซิงไม่ตอบคำใด เขาถือไม้เท้าวิเศษ และยืนเงียบ ๆ อยู่บนปะรำ

ในที่สุดจวงจือห้วนก็ยืนขึ้น และกล่าวหลังจากทำความเคารพอย่างใจเย็นว่า “เราควรรอให้มหามุขนายกบรรลุเสียก่อน จึงค่อยตัดสินใจขั้นสุดท้ายดีหรือไม่”

สายตานับไม่ถ้วนทอดตกลงบนกายเขา

ทุกคนในที่นั้นล้วนฟังออกถึงเจตนาของเขา

สำนักการศึกษากลางยามนี้ถูกควบคุมโดยตรงโดยเหมาชิวอวี่

เหมาชิวอวี่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงผู้เดียวของสำนักฝึกหลวงในเวลานี้

คำพูดนี้ของจวงจือห้วนคือการเตือนสติ หรืออาจจะเข้าใจว่าเป็นการข่มขวัญก็ได้

ราชันย์แห่งหลิงไห่มองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์. ไม่ได้เอ่ยคำใด ในแววตาปรากฏเจตนาสังหารที่ยากจะปกปิดออกมา

จวงจือห้วนสีหน้าไม่เปลี่ยนไป เขาเพียงแต่มองเฉินฉางเซิงอยู่อย่านั้น

ในตอนนี้เอง คนที่ไม่คาดคิดได้ปรากฏตัวขึ้น

สีหน้ามุขนายกอันหลินเงียบขรึมก่อนเอ่ย “นักปราชญ์ดำเนินท่ามกลางทะเลดวงดาว เฉกเช่นเยือนย่ำอเวจี…”

“มาจากบนสรุปของบทกวีวิถีลัทธิเต๋า”

เฉินฉางเซิงมิได้ให้นางเอ่ยจนจบ

เขาหันไปเอ่ยกับนางว่า “บทกวีวิถีลัทธิเต๋าเอ่ยถึงความเคารพยำเกรง”

มหามุขนายกอันหลินแสดงความเคารพก่อนเอ่ย “ใช่แล้วขอรับ”

เฉินฉางเซิงเอ่ยกับนางว่า “ในด้านนี้ ข้าทำได้ดีกว่าท่าน”

อันหลินมีสีหน้าตกตะลึง หลังจากนั้นจึงหันไปมองร่างสองสามคนที่อยู่ด้านนอกในความมืด

คืนนี้ศพของอาจารย์เหมยชวนสามารถยกเข้ามาในพระราชวังหลีได้ ก็เนื่องจากความช่วยเหลือของคนเหล่านั้น

ความเคารพยำเกรงคือสิ่งใดกัน ทะเลดวงดาวหรือ มหามรรคหรือ หรือว่าคนใกล้ชิด หรือว่าชะตาชีวิตของผู้รับใช้

นางเงียบอยู่นาน หลังจากนั้นจึงถอนใจก่อนเอ่ย “ท่านทราบได้อย่างไรกัน”

เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบคำถามนี้

ก่อนหน้าเมื่ออยู่ด้านหนังกำแพงศิลา อันหลินได้จัดการเครื่องแต่งกายเขา เอ่ยคำพูดมากมายด้วยเสียงสั่นเทา

มหามุขนายกอันหลินลดละการซักถาม เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงฉงนว่า “ท่านตัดสินใจจะลงโทษข้าอย่างไร”

เฉินฉางเซิงเอ่ย “ข้าเคยบอกแล้ว ข้ายินดีรับโทษทัณฑ์ทั้งหมด”

มหามุขนายกอันหลินเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เข้าใจแล้ว ข้าจะสละตำแหน่งมหามุขนายกโถงตำหนักศักดิ์สิทธิ์”

นางมิได้ทรยศต่อเจตนาของใต้เท้าสังฆราช

วันนี้เป็นนางที่ยอมรับคำโน้มน้าวของขั้วอำนาจเดิม ช่วยอีกฝ่ายทำเรื่องเหล่านี้

เนื่องจากนางอยากเห็นว่า ท่านใต้เท้าสังฆราชสุดท้ายแล้วจะจัดการกับเรื่องเหล่านี้อย่างไร

บัดนี้นางได้เห็นผลลัพธ์แล้ว นางรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก ทั้งยังรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก

มิใช่เพราะว่าตนนั้นถูกเปิดโปงแล้วสูญเสียไปซึ่งตำแหน่งใหญ่โตในสำนักฝึกหลวงแต่เป็นเพราะว่าเฉินฉางเซิงแข็งกร้าวยิ่งนัก เยือกเย็นยิ่งนัก

นางเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “นี่ก็คือนักปราชญ์ที่ไร้เยื่อใยหรือ”

“ไม่ มีคนอยากให้ข้ากลายเป็นคนทะเยอทะยาน บางคนอยากให้ข้ากลายเป็นวีรบุรุษ บางคนอยากให้ข้ากลายเป็นผู้มีคุณธรรม บางคนอยากให้ข้าเป็นนักปราชญ์”

เฉินฉางเซิงเงียบอยู่นานก่อนเอ่ย “แต่ที่จริงแล้วข้ายังคงเป็นนักพรตหนุ่มคนนั้นที่เข้าเมืองหลวงมาเพื่อเข้าร่วมการสอบใหญ่”

มหามุขนายกอันหลินเอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “ในเมื่อเป็นเยี่ยงนี้ แล้วจะลำบากไปไย”

หัวคิ้วของเฉินฉางเซิงขมวดแน่น ลมหายใจก็ยาวลึก

มีเพียงคนใกล้ชิดเท่านั้นที่จะมองออก อารมณ์ในยามนี้ของเขาไม่ใคร่ดีนัก

“พวกเจ้าไม่เคยคิดเลยหรือว่า แต่ไหนแต่ไรก็มิใช่ข้าที่ปรารถนาอยากจะเป็นสมเด็จใต้เท้าสังฆราช”

“ถ้าไม่รู้ว่านี่เป็นความคิดประหลาดของผู้ใด อาจจะเป็นท่านอาจารย์อาหรืออาจจะเป็นท่านอาจารย์ใหญ่เหมย หรืออาจจะเป็นอาจารย์”

“เป็นพวกเขาที่ต้องการให้ข้ามาเป็นใต้เท้าสังฆราช ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ไม่ได้ถามว่าข้ายินดีหรือไม่”

“ดังนั้นเรื่องเหล่านี้ที่ข้าทำล้วนเป็นพวกเขาที่อยู่ประสงค์ให้ข้าทำทั้งสิ้น”

เขาเงียบอยู่นานก่อนเอ่ยต่อว่า “แต่เรื่องราวเหล่านี้มิใช่ข้าปรารถนาจะทำ”

“หากสมเด็จใต้เท้าสังฆราชจะต้องเป็นคนเยี่ยงนี้อย่างนั้น ข้าอาจจะไม่เหมาะสมที่จะเป็นสมเด็จใต้เท้าสังฆราช”

เขามองไปยังเหล่าอาจารย์ของสำนักการศึกษากลางเหล่านั้นก่อนเอ่ย “หากพวกเจ้ายังมีข้อกังขาใด ก็หยุดไว้เพียงเท่านี้”

ในโถงตำนักแสงสว่างเงียบสนิท เงียบราวกับเป่าสาก

นักบวชบางคนไม่เข้าใจคำพูดเหล่านี้ของเฉินฉางเซิง

ราชันย์แห่งหลิงไห่ตกใจ นักพรตซือหยวนถลึงตาโต หู้ซานสือเอ้อร์ครุ่นคิด

มหามุขนายกอันหลินงงงวย ในใจลอบคิดว่าตนทำผิดอันใด