ในเวลานี้ สุนัขผลึกน้ำแข็งกำลังนอนเกาะอยู่บนไหล่ของฉินอวี้โม่ด้วยท่าทางที่เป็นมิตร
มารยาและซิวได้กลับเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวแล้วในขณะที่ฉินอวี้โม่และเสวียนปิงเริ่มเดินเท้าออกจากทุ่งน้ำแข็งทางเหนือด้วยกัน
ในเมื่อครอบครองหล่อฮั้งก้วยที่ต้องการมาได้สำเร็จ การอยู่ที่ทุ่งน้ำแข็งทางเหนือต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด
เสวียนปิงลอบมองแหวนสีทองในมือของฉินอวี้โม่อย่างสงสัยใคร่รู้หลายคราและต้องการทราบว่าสิ่งใดถูกบรรจุอยู่ภายใน
ในเมื่อเป็นสิ่งที่สุนัขผลึกน้ำแข็งคาบออกมาให้ มันจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อฉินอวี้โม่ไม่กล่าวสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตัวเขาก็มิอาจล่วงเกินและทำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้กับตัวเอง
ฉินอวี้โม่มองแหวนมิติในมือของตนเช่นกันและพยายามตรวจสอบว่าสิ่งใดอยู่ภายใน ทว่าน่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าแหวนดังกล่าวจะถูกปิดผนึกไว้โดยพลังบางอย่าง ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่เองก็ยังไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ในนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่งด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการนำมันออกมา
“พลังที่ปิดผนึกแหวนมิติแกร่งกล้ายิ่งนัก นายหญิง…ตอนนี้ท่านยังทำลายมันไม่ได้ เมื่อพลังของท่านพัฒนาไปมากกว่านี้ ข้าเชื่อว่าท่านจะมีวิธีในการเปิดแหวนดังกล่าวได้”
ซิวใช้พลังวิญญาณเพื่อตรวจสอบมันและกล่าวออกไป ผู้ที่ปิดผนึกแหวนวงนี้ไว้จะต้องทรงพลังมากอย่างแน่นอน แม้พลังของฉินอวี้โม่ในปัจจุบันจะพัฒนาขึ้นมากแล้ว แต่นางก็ยังต่อกรกับพลังของผนึกนี้ไม่ได้ เว้นเสียว่าจะใช้พลังลึกลับที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย
เพียงแต่พลังลึกลับนั้นจะไม่มีทางปรากฏออกมาง่าย ๆ ส่งผลให้นางไม่สามารถทำลายผนึกของแหวนมิติได้เป็นการชั่วคราว
ฉินอวี้โม่ไม่รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม นางรู้สึกได้ว่าของที่บรรจุอยู่ในแหวนมิติจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่และตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะได้เปิดแหวนมิติวงนี้
จากนั้นฉินอวี้โม่และเสวียนปิงก็เดินทางออกจากทุ่งน้ำแข็งทางเหนือและกลับไปถึงเมืองปิงหลางโดยที่ไม่เผชิญภยันตรายใด ๆ
หลังจากพูดคุยกับเสวียนปิงเล็กน้อย ฉินอวี้โม่ก็บอกลาเขาและเดินทางกลับไปยังทิศทางของเมืองราชวงศ์
ในขณะที่กำลังเดินทาง นางก็เปิดอุปกรณ์สื่อสารเพื่อติดต่อกับพี่ใหญ่และศิษย์พี่ของตนอย่างรวดเร็ว
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแปลกประหลาดยิ่งนัก อุปกรณ์สื่อสารของนางเชื่อมต่อไปหลายครา ทว่าไม่มีการตอบกลับจากอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าพี่ใหญ่และศิษย์พี่ของนางจะเผชิญกับปัญหาบางอย่าง เพราะเหตุนั้น อุปกรณ์สื่อสารที่ถูกนำไปที่ภูเขามหาเทพจึงถูกปิดกั้นไว้และนางไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้เลย
หลังจากสอบถามจากฟู่ชางและได้ทราบว่ากลุ่มของฉินอี้เฟยยังไม่กลับมาและยังไม่มีข่าวสารใด ๆ จากฝั่งนั้น นางก็เป็นกังวลขึ้นมา
“ไปที่ภูเขามหาเทพกันเถอะ”
หลังจากลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจเดินทางไปที่ภูเขามหาเทพเพื่อตรวจดูสถานการณ์ของที่นั่นด้วยตัวเอง
หลังจากคำนวณเวลา นางก็พบว่ายังมีเวลาเหลืออีกพอสมควร แม้ฉินอี้เฟยและคนอื่น ๆ จะแข็งแกร่งมาก ในบางสถานการณ์นางก็มีส่วนช่วยได้มาก การเดินทางไปช่วยเหลือพวกเขาย่อมดีกว่าการกลับไปรอเวลาที่เมืองราชวงศ์
แน่นอนว่าซิวและบรรดาอสูรไม่คัดค้านการตัดสินใจของผู้เป็นนาย หลังจากระบุทิศทางที่ชัดเจน ฉินอวี้โม่ก็มุ่งหน้าไปยังทิศทางของภูเขามหาเทพทันที
บนภูเขามหาเทพ ณ เวลานี้ ฉินอี้เฟยและคนอื่น ๆ กำลังติดอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง
หลังจากแยกทางกับฉินอวี้โม่ พวกเขาก็มุ่งหน้าตรงมาที่ภูเขาลูกนี้
ภูเขามหาเทพเลื่องชื่อในด้านภยันตรายที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง แม้ผู้ที่เดินทางมาที่นี่ล้วนเป็นยอดฝีมือที่แกร่งกล้าเป็นอันดับต้น ๆ ของดินแดน แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากเมื่อพบกับภัยร้ายเหล่านั้น เพียงการเดินเท้าจากเชิงเขาขึ้นไปถึงยอดเขาก็ถือว่าเป็นเส้นทางที่ยากเย็นสำหรับทุกคนแล้ว
หากไม่เตรียมความพร้อมมาอย่างรอบด้าน จอมยุทธ์ที่เดินทางมาที่นี่ก็อาจขึ้นไปไม่ถึงยอดเขาด้วยซ้ำ
และก็เป็นจริงอย่างที่ได้ข่าวมา หญ้าเทียนหมาเติบโตอยู่บนยอดเขาของภูเขามหาเทพและอยู่ภายใต้การคุ้มกันของอสูรพิทักษ์ที่ทรงพลัง หลังจากข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ตลอดทาง คณะของฉินอี้เฟยก็ได้พบกับหญ้าเทียนหมาที่ตามหาและถูกโจมตีโดยอสูรพิทักษ์ของมัน
อสูรพิทักษ์นั้นก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้ฉินอี้เฟยและคนอื่น ๆ จะร่วมมือกัน พวกเขาก็ยังเอาชนะมันไม่ได้
อสูรที่ทรงพลังตัวนั้นก็บีบไล่ต้อนพวกเขาอย่างต่อเนื่องจนสุดท้ายพวกเขาต้องหลบหนีเข้ามาในถ้ำที่อยู่ในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น อสูรพิทักษ์ก็ยังคงจับตาดูพวกเขาอย่างไม่ละสายตาจากข้างนอกในขณะที่เยี่ยเฟิงและคนอื่น ๆ คุ้มกันปากถ้ำเพื่อขัดขวางมิให้มันบุกเข้ามา
“อสูรนั่นน่ากลัวจริง ๆ”
ภายในถ้ำ ฉินอี้เฟยและคนอื่น ๆ กำลังฟื้นฟูพลังอย่างรวดเร็ว
การต่อสู้กับอสูรดังกล่าวทำให้พวกเขาสูญเสียพลังไปมาก โชคดีที่ตอนนี้พวกเขาแข็งแกร่งกว่าในอดีตมากนัก มิเช่นนั้น เกรงว่าพวกเขาคงเพลี่ยงพล้ำและถูกอสูรพิทักษ์ฆ่าตายไปนานแล้ว
“อี้เฟย มีแผนการใดสำหรับสถานการณ์นี้บ้างหรือไม่ ?”
เหลยเจี้ยนเชิงเอ่ยถามและมองฉินอี้เฟยด้วยแววตาคาดหวัง
ในบรรดาทุกคนที่เดินทางมาที่ภูเขามหาเทพในครานี้ เหลยเจี้ยนเชิงมีความแข็งแกร่งที่มากที่สุด อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรพิทักษ์ของหญ้าเทียนหมา เขาเองก็ต้องตกอยู่ในสภาวะที่อับจนปัญญาไม่น้อย
สำหรับฉินอี้เฟย แม้มีระดับความแข็งแกร่งที่ด้อยกว่าเหลยเจี้ยนเชิง เขาก็เป็นถึงผู้หลอมโอสถระดับเทวะและอาจมีวิธีรับมือกับสถานการณ์นี้อยู่
“เดิมทีข้าก็ไม่อยากใช้วิธีการนั้นเลย…”
ฉินอี้เฟยลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และดวงตาฉายประกายสลัว เดิมทีเขาไม่คิดที่จะใช้ ‘วิธีการนั้น’ เนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจะรุนแรงเกินไป หากตัดสินใจใช้มัน ทั่วทั้งภูเขามหาเทพจะได้รับผลกระทบไปด้วย
อย่างไรก็ตาม หากไม่ใช้วิธีการนั้น พวกเขาก็ไม่มีทางอื่นในการเอาชนะอสูรพิทักษ์และนั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่มีทางครอบครองหญ้าเทียนหมามาได้
เพื่อความอยู่รอดของดินแดนมหาเทพ การที่ต้องยอมเสียสละภูเขามหาเทพไปก็ถือว่าคุ้มค่า
“วิธีการใดรึ ?”
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ฉินอี้เฟยเป็นตาเดียวและต้องการทราบว่า ‘วิธีการ’ ที่เขากล่าวถึงคือสิ่งใด
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าหลอมโอสถชนิดหนึ่งขึ้นมาได้ ตราบใดที่หลอมละลายมันเข้ากับน้ำยาพิเศษ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจะส่งอิทธิพลต่ออสูรมายาทั้งหมดในระยะรัศมีพันลี้และทำให้พลังการต่อสู้ของพวกมันลดน้อยลงไปมาก”
ฉินอี้เฟยหยิบโอสถสีม่วงเข้มเม็ดหนึ่งออกมาขณะกล่าวด้วยสีหน้าที่ตึงเครียดมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
โอสถเม็ดนี้คือ ‘โอสถทำลายล้าง’ ซึ่งเป็นผลงานที่เขาหลอมขึ้นมาได้โดยบังเอิญเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาและมันแอบแฝงไปด้วยพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
หากใช้น้ำอมฤตจุติผสมผสานเข้ากับโอสถทำลายล้าง มันจะส่งกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกไป กลิ่นอายดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ ทว่ามีสรรพคุณที่ร้ายแรงต่ออสูรมายาทุกชีวิต ตราบที่สูดกลิ่นของมันเข้าไป แม้แต่อสูรมายาที่ทรงพลังที่สุดก็จะได้รับผลกระทบอย่างหนักและความแข็งแกร่งในการต่อสู้จะลดลงไปมาก
อสูรพิทักษ์ของหญ้าเทียนหมาที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าในตอนนี้คือวานรขนาดใหญ่ที่บ่มเพาะฝึกฝนมานานนับหมื่นปี แม้มันสามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้และมีระดับสติปัญญาที่สูงส่ง แต่มันก็ยังเป็นอสูรมายาและจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
เมื่อถึงตอนนั้น ฉินอี้เฟยและทุกคนก็จะชิงหญ้าเทียนหมามาได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม การผสมผสานของส่วนประกอบที่ทรงพลังทั้งสองชนิดจะส่งผลกระทบต่อภูเขามหาเทพไปอย่างน้อยหนึ่งปี หากมีใครบางคนเดินทางมาที่ภูเขามหาเทพหลังจากนี้ พวกเขาอาจจะรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของภูเขามหาเทพ
เป็นเพราะสาเหตุนี้ ฉินอี้เฟยจึงไม่เคยคิดที่จะใช้มันหากยังไม่ถึงคราวจำเป็นจริง ๆ
ทว่าด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ไม่มีสิ่งใดที่จะสำคัญไปกว่าความอยู่รอดของดินแดนมหาเทพอีกแล้ว
“ไม่ต้องห่วง อย่าคิดมากไปเลย หลังจากนี้เราจะส่งคนมาคุ้มกันรอบ ๆ ภูเขามหาเทพเพื่อมิให้ผู้ใดขึ้นมา”
เมื่อเหลยเจี้ยนเชิงและฟู่อวิ๋นซิวได้ฟังรายละเอียดจากฉินอี้เฟย พวกเขาก็ไม่ได้สนใจผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
หากกังวลว่าพื้นที่ในบริเวณของภูเขามหาเทพจะเปลี่ยนแปลงไปในทางไม่ดี พวกเขาก็เพียงแค่ต้องส่งคนมาคุ้มกันทั่วบริเวณเพื่อมิให้ใครขึ้นไป หลังจากผ่านเวลาไปหนึ่งปีและทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ พวกเขาก็สามารถถอนกำลังคนเหล่านั้นออกไปได้
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับดินแดนมหาเทพในปัจจุบัน นอกจากหลุมดำมิติที่เป็นภัยร้ายก็ไม่มีวิกฤตอื่นใดเกิดขึ้นอีกแล้ว พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินไป
ฉินอี้เฟยไตร่ตรองครู่ใหญ่และมีความคิดเห็นในทำนองเดียวกัน จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลอีกและใส่โอสถทำลายล้างลงไปในน้ำอมฤตจุติอย่างรวดเร็ว หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป กลิ่นอายที่ทรงพลังก็ค่อย ๆ แผ่ออกไป