บทที่ 1187 แม่นางหมิง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,187 แม่นางหมิง

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมีสีหน้าเย็นชาปานน้ำแข็ง

บัดนี้ นางคือเทพเจ้าที่เฝ้ามองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเหยียดหยาม

แม้แต่ผมหางม้าสองแกละของนางก็ดูศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง

หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา

เขาไม่ได้ทำสิ่งใด

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเดินเข้ามาคล้องแขนหลินเป่ยเฉินอย่างนุ่มนวล

สำหรับเทพเจ้าที่มีสถานะสูงส่งเช่นนี้ การกระทำเท่านี้ก็ยืนยันทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้ว

ฮันลั่วเซวี่ยถอยหลังกลับไปด้วยความตกตะลึง

“ข้าน้อยขออภัย…”

บุตรสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมรีบพึมพำออกมาด้วยความลนลาน

นางทราบดีว่าพฤติกรรมก่อนหน้านี้ของตนเองดูไม่ดี นางไม่มีสิทธิ์กล่าวหาหลินเป่ยเฉินหรือผู้ใดทั้งสิ้น และเป็นนางเองที่ปรารถนาให้เรื่องนี้เป็นเพียงความฝันมาตั้งแต่ต้น

แต่แล้วฮันลั่วเซวี่ยก็ควบคุมตนเองไม่ได้

นางส่งเสียงร้องไห้โหยหวนด้วยความเสียใจ

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปลูบศีรษะเด็กสาวอย่างปลอบโยน

ไม่ต่างจากพี่ชายปลอบใจน้องสาว

หลังจากนั้น เขาก็เดินออกมาพร้อมกับเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงโดยไม่พูดคำใด

ฮันลั่วเซวี่ยนั่งมองแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินเดินพ้นประตูลานด้านหลังโรงเตี๊ยมออกไป จากนั้นเด็กสาวก็โถมตัวกอดมารดา ร้องไห้ออกมาราวกับเป็นเด็กน้อย “ท่านแม่ ข้าเสียใจเหลือเกิน…”

“ไม่ต้องร้องไห้นะ ไม่ต้องร้องไห้ เรื่องบางเรื่องเราก็กำหนดเองไม่ได้หรอก”

อู๋เหว่ยโอบกอดบุตรสาวผู้ที่กำลังสั่นเทาไปทั้งตัว นางลูบแผ่นหลังปลอบใจพลางกล่าวว่า “เจ้ายังมีแม่ เจ้ายังมีพ่อ และเจ้ายังมีจื่อชุน…”

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่อยากแต่งงานกับพี่จื่อชุน”

ฮันลั่วเซวี่ยลุกขึ้นยืนเช็ดน้ำตาและพูดด้วยเสียงหนักแน่น

“ไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่ง บิดาไม่บังคับเจ้า”

ฮันหลี่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกคมมีดกรีดแทง รีบปลอบโยนบุตรสาวอย่างรวดเร็วว่า “เจ้าจะได้แต่งงานกับคนที่ตนเองรักเท่านั้น เรื่องนี้จะไม่มีใครสามารถบังคับเจ้าได้”

สามพ่อแม่ลูกไม่เห็นเลยว่าบริเวณข้างประตูทางเข้าลานด้านหลังโรงเตี๊ยมนั้น ร่างของหรานจื่อชุนได้ปรากฏกายขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีผู้ใดทราบ

ชายฉกรรจ์ยืนอยู่ในความเงียบ ไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมา

ใบหน้าที่เคยเต็มเปี่ยมไปด้วยความใสซื่อจริงใจ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความดุร้ายอำมหิต

เมื่อเดินพ้นโรงเตี๊ยมออกมาแล้ว เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็รีบปล่อยมือออกจากแขนของหลินเป่ยเฉินทันที

“เฮอะ หน้าด้านไร้ยางอาย”

เทพธิดาสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “ทำไมเจ้าไม่บอกไปเลยล่ะว่าข้าเป็นยายของเจ้า”

“ท่านยังไม่เคยให้กำเนิดบุตร แล้วจะสามารถเป็นยายผู้อื่นได้อย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไป

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดอะไรไม่ออก

หลินเป่ยเฉินนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามว่า “ท่านพอทราบหรือไม่ว่าที่ทำการสำนักหนามทมิฬตั้งอยู่ที่ใด?”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบว่า “ข้าไม่รู้หรอก แต่สำนักอันธพาลในเขตพื้นที่ระดับ 3 เช่นนี้ ไม่ต่างอะไรกับแมลงชั่วร้ายที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อผู้คน พวกมันหาใช่ตัวดีอันใด สำนักที่เจ้าเอ่ยชื่อมาก็ไม่มีข้อยกเว้น”

นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินเคยเห็นเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวถึงผู้อื่นด้วยน้ำเสียงดุร้ายเช่นนี้

ดูเหมือนนางจะเกลียดชังสำนักอันธพาลเหล่านั้นจริงๆ

“ก่อนหน้านี้ สำนักหนามทมิฬเคยส่งคนมาลอบสังหารข้า”

หลินเป่ยเฉินบอกเล่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นออกไปอีกครั้ง

“ข้าไม่รู้จะช่วยเหลือเจ้าอย่างไร”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงผายมือออกกว้างและอธิบายว่า “สำนักอันธพาลเหล่านี้มีแต่คนเสียสติ พวกมันสามารถฆ่าคนได้เพียงเพราะมองหน้ากันเฉย ๆ บางครั้งพวกมันก็ฆ่าคนเพียงเพราะไม่สบอารมณ์ที่อากาศไม่ดี หรือบางครั้งพวกมันก็ฆ่าคนเพียงเพราะอีกฝ่ายสวมใส่เสื้อสีฟ้า… กล่าวโดยสรุปก็คือ หากมีสำนักอันธพาลอยากจะฆ่าเจ้าจริง ๆ พวกมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอันใดทั้งสิ้น”

หมายความว่าพวกมันอยากจะฆ่าเขาอย่างไม่มีเหตุผลอย่างนั้นหรือ?

มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

“ท่านอยากติดตามข้าไปสอบถามเหตุผลกับพวกมันที่สำนักหนามทมิฬหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมา

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหัวเราะในลำคอเล็กน้อย “ข้าไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น เจ้าตามข้าไปที่หอสุราอ๋าวป่าก่อนดีกว่า เมื่อได้พบกับแม่นางหมิงแล้ว ค่อยไปจัดการสำนักหนามทมิฬทีหลังก็ยังไม่สาย”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบตกลง “ถ้าอย่างนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ”

แล้วพวกเขาทั้งสองคนก็เดินทางออกจากเขตพื้นที่ระดับ 3

“ชีวิตความเป็นอยู่ในเขตพื้นที่ระดับ 2 ดีกว่าเขตพื้นที่ระดับ 3 หลายเท่าเลยนะเนี่ย”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมา

สภาพความเป็นอยู่ในเขตพื้นที่ระดับ 3 ตลอดทั้งวัน บรรยากาศจะปกคลุมอยู่ภายใต้ความขมุกขมัว มีเพียงเขตแดนของวิหารสาขา 98 เท่านั้นที่พอจะมีแสงอาทิตย์สาดส่องในยามบ่ายของทุก ๆ วัน

พลเมืองไม่ต่างจากอาศัยอยู่ในห้องใต้ดิน

บรรยากาศทึบทึมซึมเศร้า

ดังนั้น สภาพความเป็นอยู่ในเขตพื้นที่ระดับ 2 จึงดีมากกว่ากันหลายเท่า

ทุกวันจะมีแสงอาทิตย์สาดส่องโดยเฉลี่ยประมาณสามชั่วยาม แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้สภาพบ้านเมืองมีความสว่างไสว อาคารบ้านเรือนทุกแห่งหนได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยช่างฝีมือดีเยี่ยม ทำให้ที่อยู่อาศัยของชาวเมืองดูสวยงามและมีความสะดวกสบาย…

นอกจากนี้ ยังมีมือกระบี่สวมใส่ชุดเกราะสีดำคอยเดินลาดตระเวนอีกด้วย

พวกเขาเป็นนักบวชมือกระบี่จากวิหารเทพพงไพร

ดังนั้น มือกระบี่ที่ออกลาดตระเวนเหล่านี้จึงคาดเสื้อคลุมและสวมใส่ชุดเกราะสีดำทมิฬ

บนท้องถนนมีผู้คนเดินอยู่มากมาย

พลเมืองส่วนใหญ่ไม่ต่างไปจากมนุษย์ปกติ

เมื่อเทียบกับเขตพื้นที่ระดับ 3 สภาพความเป็นอยู่ของพลเมืองที่นี่ดีมากกว่ากันอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ กิริยาวาจาคำพูด ไปจนถึงลักษณะความมั่นใจในตนเอง

“ที่นี่แหละ”

หลังจากเดินผ่านถนนหลายสาย ในที่สุดเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็หยุดเท้าอย่างกะทันหัน “หอสุราอ๋าวป่าอยู่ตรงหน้าเราแล้ว”

หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามอง

มันคือตึกสูงสี่ชั้นที่ก่อสร้างด้วยหินขาวหลังหนึ่ง

ที่นี่หรือคือหอสุราอ๋าวป่า?

สมแล้วที่ตั้งอยู่ในเขตแดนคนรวยผู้มีอันจะกิน

ในเมื่อที่นี่เป็นหอสุรา มันจึงตั้งอยู่ใจกลางเขตพื้นที่ระดับ 2 ของแดนตะวันตกเฉียงเหนือ หลินเป่ยเฉินไม่ทราบเลยว่าการจะเปิดหอสุราที่นี่ได้นั้นต้องใช้เงินมากมายเพียงใด?

“ตามข้ามา”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเดินตรงไปที่ประตูทางเข้าหอสุรา และนำแผ่นป้ายประจำตัวออกมาแสดงให้แก่ผู้คุ้มกันหน้าประตูได้ตรวจสอบ

แล้วนางกับเด็กหนุ่มก็ได้รับอนุญาตให้เดินเข้าสู่ด้านใน

เด็กรับใช้สาวสวยผู้สวมใส่ชุดกระโปรงสีขาวประดับลวดลายดวงจันทราเหลืองนวลรับหน้าที่นำทั้งสองคนเดินตรงขึ้นไปบริเวณชั้นสามของหอสุรา

หลินเป่ยเฉินเฝ้ามองทุกอย่างระหว่างทางด้วยความอยากรู้อยากเห็น

การตกแต่งภายในหอสุราอ๋าวป่ามีความแตกต่างจากสิ่งที่เห็นภายนอก เพราะพื้นที่ด้านในหอสุรานั้นเต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือ หากไม่ทราบมาก่อนว่าที่นี่เป็นหอสุรา หลินเป่ยเฉินก็คงเข้าใจว่าตนเองหลงเดินเข้ามาในหอสมุดเป็นแน่แท้

เขาพบเห็นชายหนุ่มหญิงสาวหน้าตาดีจำนวนมาก

ทุกคนต่างสวมใส่ชุดเครื่องแบบเดียวกัน ทำหน้าที่ของตนเองด้วยความขยันขันแข็ง

“แม่นางหมิงเคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง สามีของนางได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในยอดอัจฉริยะประจำแดนตะวันตกเฉียงเหนือ เขาเคยได้รับการคาดหมายว่าจะถูกบรรจุเข้าสู่สภาเทพเจ้า แต่น่าเสียดายที่กลับต้องมาเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร…”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงแอบบอกข้อมูลผ่านทางกระแสจิต

“แต่นอกจากสามีของนางแล้ว แม่นางหมิงยังมีพี่ชายที่เป็นขุนนางคนสำคัญในสภาเทพเจ้าอีกด้วย ปัจจุบัน พี่ชายของนางได้รับการยกย่องให้เป็นขุนนางนักรบอันดับหนึ่งแห่งสภาเทพเจ้า… เพราะเหตุนี้ เจ้าจึงเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าเหตุใด เราจึงจำเป็นต้องทำให้แม่นางหมิงรู้สึกประทับใจในตัวเจ้าให้ได้”

“ไหนท่านบอกว่านางไม่เคยแต่งงานไงล่ะ”

หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความเดือดดาลใจ “เรื่องที่บอกว่านางเป็นโฉมงามอันดับหนึ่ง ท่านก็คงไม่ได้โกหกด้วยหรอกกระมัง?”

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกับหลินเป่ยเฉินก็ถูกนำตัวมาที่ห้องสุดเฉลียงทางเดินแห่งหนึ่ง

เมื่อเปิดประตูเข้าสู่ด้านในห้อง การตกแต่งที่ยิ่งใหญ่อลังการซึ่งสายตาพบเห็น ก็ทำให้หลินเป่ยเฉินยืนตกตะลึงไปทันที

ในห้องอันใหญ่โตกว้างขวางแห่งนี้ นอกจากมีแม่นางหมิงผู้เป็นเจ้าของหอสุราอ๋าวป่านั่งอยู่แล้ว ก็ยังมีเทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่ผู้ค้าอาหารทะเลรายใหญ่ประจำดินแดนทวยเทพนั่งอยู่ด้วย

“มาแล้วหรือ”

เทพธิดาผมฟ้าผุดลุกขึ้นยืน “กราบเรียนพี่หมิง นี่คือเด็กหนุ่มที่ข้าอยากแนะนำให้ท่านได้รู้จัก เขามีนามว่าเจี๋ยนเซียวเหยา ไม่ทราบท่านมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร?”

“นับว่าดูน่าสนใจดี”

เสียงอ่อนหวานใส่กระจ่างของหญิงสาวผู้หนึ่งดังออกมาจากด้านหลังเก้าอี้หมุนได้ที่มีลักษณะคล้ายบัลลังก์ขนาดใหญ่

นี่คือเสียงของสตรีผู้เป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันตกเฉียงเหนือใช่หรือไม่?

หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่เก้าอี้ของแม่นางหมิงด้วยความสงสัยในใจ