บทที่ 1810 ค่ายกลเชื่อมโยง(1)

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1810 ค่ายกลเชื่อมโยง(1)

“นี่มัน……น่าสนุกมากเลย! ”

คุณชายเฟิงเทียนมีรอยยิ้มเด่นชัดขึ้นบนใบหน้า แล้วก็ผลักหญิงสาวสองคนข้างกายออกไป พร้อมกับขยับตัวขึ้นมาข้างหน้า เพื่อดูชมลู่ฝานในม่านแสงอย่างจริงจัง

ผู้อาวุโสทั้งหมด ที่อยู่ด้านหลัง รวมไปถึงผู้อาวุโสซู่มั่น ต่างก็เผยอาการตกตะลึง ต่อการแสดงออกที่อัศจรรย์ของลู่ฝาน

พวกเขามองไม่ออกและไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า ลู่ฝานกระทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน

ท่ามกลางเศษหิน ลู่ฝานมองไปยังแมงมุมกลืนวิญญาณที่อยู่บริเวณโดยรอบ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ในความจริงแล้วเมื่อครู่นั้นเขาค่อนข้างอันตรายอย่างมาก ซึ่งในขณะที่ถูกชี่สีดำของแมงมุมกลืนวิญญาณพันรอบตัวไปหมดนั้น

ลู่ฝานก็รู้สึกได้ถึงพลังอันแข็งแกร่ง ไม่นึกว่ามันคิดที่จะกลืนกินร่างกายและจิตวิญญาณของเขา

ชี่สีดำที่ราวกับหมอกควันนั้น เหมือนกับหนวดปลาหมึกนับไม่ถ้วนที่ทิ่มแทงเข้าไปในไขกระดูก เพื่อต้องการที่จะล้วงเอาทุกอย่างของเขา

แต่น่าเสียดาย สิ่งที่พวกแมงมุมกลืนวิญญาณเหล่านี้คิดไม่ถึงนั้นก็คือ

ลู่ฝานไม่เพียงแต่จะมีร่างกายที่แข็งแกร่งทนทานแล้ว จิตวิญญาณยังเข้มแข็งอย่างที่สุดด้วย

มีเต๋าแห่งชีวิตอยู่ภายในร่างกาย ฉะนั้นเรื่องการช่วงชิงชีวิต แมงมุมกลืนวิญญาณคิดจะแข่งกับเขาได้อย่างนั้นเหรอ?

ชี่สีดำเหล่านั้นที่เข้าสู่ภายในร่างกายของเขาแล้ว ก็อย่าได้คิดที่จะออกมาอีกเลย

ในส่วนของจิตวิญญาณ ลู่ฝานก็ได้โจมตีใส่แมงมุมกลืนวิญญาณอย่างหนักหน่วงแล้ว

เมื่อพลังจิตวิญญาณของเขาถูกปล่อยออกมา ก็ได้เคลื่อนไหวตามชี่สีดำเหล่านี้เข้าไปภายในร่างของแมงมุมกลืนวิญญาณ

ทันใดนั้น ลู่ฝานก็ “มองเห็น” ภายในร่างของแมงมุมกลืนวิญญาณว่า มีจิตวิญญาณหลากหลายรูปแบบนับไม่ถ้วน

จิตวิญญาณแต่ละรูปแบบมีทั้ง พิการ อ่อนแอ น่าสงสาร สิ้นหวัง กองสะสมอยู่ภายในร่างของแมงมุมกลืนวิญญาณ ราวกับดวงดาวที่กระจายอยู่เต็มท้องฟ้า

ซึ่งกลายเป็นพลังของแมงมุมกลืนวิญญาณ!

โดยเมื่อพลังจิตวิญญาณของลู่ฝานได้พุ่งทะยานเข้าไป แมงมุมกลืนวิญญาณก็รู้สึกได้ว่า จิตวิญญาณนี้มันไม่สามารถที่จะควบคุมได้

พลังจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของลู่ฝานนั้น แทบจะพุ่งทำลายจิตวิญญาณทั้งหมดภายในร่างของแมงมุมกลืนวิญญาณแล้ว

สำหรับแมงมุมกลืนวิญญาณนั้น การโจมตีแบบนี้มันน่ากลัวและรุนแรงกว่าการโจมตีใส่ร่างกายภายนอกเสียที

ต้องทราบนะว่า จิตวิญญาณที่พิการและน่าสงสารเหล่านี้ภายในร่างกายของมันนั้น ถึงจะเป็นแหล่งที่มาของพลังของมันอย่างแท้จริง ถ้าหากถูกลู่ฝานทำลายลงโดยสิ้นเชิง อย่างนั้นมันก็จะสูญสิ้นพลังทั้งหมดลงโดยสมบูรณ์ กลายเป็นแค่แมงมุมที่มีขนาดใหญ่ตัวหนึ่งก็เท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น พลังจิตวิญญาณที่น่ากลัวของลู่ฝานยังทำให้แมงมุมกลืนวิญญาณรู้สึกได้ว่าร่างกายของมันเกือบที่จะถูกบังคับในทันทีแล้ว

แม้ว่าสติปัญญาของมันจะไม่สูงนัก แต่ก็เข้าใจดีว่าร่างกายของมันห้ามถูกคนอื่นมาควบคุมโดยเด็ดขาด

ดังนั้น แมงมุมกลืนวิญญาณจึงได้หลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุน ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้สัมผัสกับลู่ฝานอีก

สำหรับพวกแมงมุมกลืนวิญญาณเหล่านี้ ลู่ฝานก็เหมือนกับเป็นสัตว์อสูรที่เก่งกาจและน่ากลัวตนหนึ่ง พวกมันจะต้องเดินหนีห่างออกไปถึงจะถูกต้อง

ลู่ฝานยังคงยืนอยู่กับที่ โดยที่ไม่มีแมงมุมกลืนวิญญาณสักตัวที่กล้าจะเข้าใกล้ตัวเขาในระยะประมาณสามร้อยเมตร

ทุกบริเวณที่ลู่ฝานกวาดสายตามองไป แมงมุมกลืนวิญญาณต่างก็รีบเผ่นหนีกันอย่างตื่นตระหนก!

สถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ก็ได้ปรากฏขึ้นที่นี่โดยที่ไม่มีเหตุผล

สำหรับคนอื่นแล้ว เหมือนเป็นการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สำหรับเขานั้น มันดูผ่อนคลายและสบายตัวเป็นอย่างมาก

ถึงขนาดที่ ลู่ฝานนั่งลงอยู่ด้านข้างเลย แล้วปล่อยให้เจ้าดำปรากฏตัวขึ้นที่ไหล่ของเขาอีกครั้ง จากนั้นก็หยิบอาหารออกมากิน อย่างกับกำลังนั่งดูละครที่น่าสนุกอย่างไรอย่างนั้น!

ในขณะเดียวกัน พวกเจียวเม่ยเหนียงสามคนนั้นก็ใกล้ที่จะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว

ลู่ฝานกับหลวี่เหวยที่ปลอดภัยไร้อันตราย ทำให้พวกเขาทั้งสามคนจะต้องเผชิญหน้ากับแมงมุมกลืนวิญญาณทั้งหมดเลยทีเดียว

ท่อนแขนของเจียวเม่ยเหนียงเกิดบาดแผลขึ้นแล้ว นั่นเป็นเพราะถูกดาบคมของแมงมุมกลืนวิญญาณฟันฉับเข้าให้ ซึ่งตรงรอยบาดแผลยังเปรอะเปื้อนของเหลวสีเขียวอีกด้วย

เจียวเม่ยเหนียงพลันตะโกนขึ้นเสียงดัง พร้อมกับนำกรรไกรมังกรคะนองน้ำสีทองของตัวเองปักลงไปบนพื้น

หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ก็คงจะเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่

ในเมื่ออดทนต่อไปไม่ไหว ก็คงไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไปแล้ว

“มังกรทองสะท้านพิภพ! ”

ทันใดนั้น กรรไกรมังกรคะนองน้ำสีทองก็กลายเป็นลำแสงส่องสว่างไปทั่ว ลำแสงสีทองนับไม่ถ้วนแผ่กระจายเป็นวงกว้าง เพิ่มพลังขึ้นอย่างรุนแรง

ลำแสงสีทองทุกเส้นกลายร่างเป็นมังกรทองยักษ์ในทันที และพุ่งโจมตีไปยังร่างของแมงมุมกลืนวิญญาณที่อยู่โดยรอบ

เสียงระเบิดดังตูมตาม พื้นดินสั่นสะเทือน ท้องฟ้าถูกฉีกแยกออกเป็นลำแสงสีทอง

ลู่ฝานหรี่ตาลง พลังอานุภาพของกระบวนท่านี้ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว

คิดไม่ถึงว่าพวกผู้ฝึกชั่วร้ายเหล่านี้ไม่ใช้ออร่าปีศาจ ก็ยังสามารถแสดงท่าไม้ตายออกมาได้ดุดันขนาดนี้

ถ้าหากว่าพวกเขาใช้ออร่าปีศาจจริง ๆ ล่ะ? พลังอานุภาพคงจะเพิ่มขึ้นเป็นอีกเท่าตัวเลยใช่หรือไม่?

ลู่ฝานแอบคาดเดา ดูเหมือนว่าในจำนวนผู้ฝึกชั่วร้ายนี้ ก็มียอดฝีมือยู่มากทีเดียว!

อีกทั้ง ลู่ฝานยังคงมีความสงสัยว่า ทำไมการทดสอบครั้งนี้ก็ดี หรือการทดสอบครั้งก่อนก็ดี ผู้ฝึกชั่วร้ายส่วนใหญ่ถึงพยายามที่จะไม่ใช้ออร่าปีศาจ

ลู่ฝานสงสัยเป็นอย่างมากว่า พวกผู้อาวุโสที่ฝึกชั่วร้ายนั้น จงใจที่จะให้พวกเขาเหล่านี้รวมตัวอยู่ด้วยกัน เป็นไปได้ว่าวัตถุประสงค์คือการมอบหมายภารกิจพิเศษให้กับพวกเขา

ภารกิจเหล่านี้ จำเป็นต้องปกปิดเป็นความลับในระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงห้ามเปิดเผยสถานะผู้ฝึกชั่วร้ายออกมา จึงได้บอกให้ผู้ฝึกชั่วร้ายทั้งหมดห้ามใช้ออร่าปีศาจโดยเด็ดขาด

แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของเขาเท่านั้น จะเป็นจริงหรือไม่จริงนั้น ยังต้องรอให้การทดสอบเหล่านี้สิ้นสุดลงก่อนถึงจะรู้ได้

แต่ว่า สำหรับเขาแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเลย ข้อแรก เรื่องจริงที่ว่าเขาไม่เป็นออร่าปีศาจนั้น ก็สามารถได้รับการปกปิดโดยสมบูรณ์ เพราะว่าภารกิจของเขา ก็คือห้ามใช้ออร่าปีศาจ

อีกข้อหนึ่ง หากเขาผ่านการทดสอบ ก็เป็นไปได้ที่จะสามารถเข้าสู่กลุ่มสำคัญของผู้ฝึกชั่วร้ายอย่างเป็นทางการแล้ว ลู่ฝานไม่เชื่อว่า ถ้าเขาผ่านการทดสอบที่ยากลำบากนี้แล้ว จะยังคงไม่สามารถยกระดับสถานะของตนเองในกลุ่มของผู้ฝึกชั่วร้ายได้

ไม่ว่ากลุ่มองค์กรใด ก็คงจะไม่ทำเรื่องที่โง่เขลาแบบนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ฝึกชั่วร้าย ซึ่งในกลุ่มของคนที่ใช้กำปั้นพูดจานั้น หากคิดที่จะไต่อันดับขึ้นไป ก็จำเป็นต้องแสดงพลังความสามารถที่เหมาะสมคู่ควรออกมา เท่ากับว่า หากสามารถแสดงพลังความสามารถที่เหมาะสมคู่ควรแล้ว การไต่อันดับสูงขึ้นนั้นก็คงไม่เป็นปัญหา

ขณะที่ในหัวสมองกำลังครุ่นคิดเรื่องราวที่สับสนวุ่นวายไปหมดนั้น เวลานี้ การต่อสู้เบื้องหน้า ก็ใกล้จะเข้าสู่ช่วงท้ายแล้ว

หลังจากที่เจียวเม่ยเหลียงได้ปล่อยพลังทำลายล้าง ความกดดันของเหลียงซงกับอูเจิ้นก็พลันลดน้อยลงไปด้วย

ทั้งสองคนเห็นว่าเจียวเม่ยเหนียงแข็งแกร่งดุดันขนาดนี้แล้ว แน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่แสดงท่าทีที่อ่อนแอออกมาเช่นกัน

อูเจิ้นโยนค้อนยักษ์ของตนเองออกไป ทันใดนั้น ค้อนยักษ์ก็กลายร่างเป็นสายฟ้าแผ่กระจายไปทั่ว

แม้แต่ลู่ฝานเองก็ยังมองไม่ออกว่า ค้อนยักษ์นี้ยังจะเป็นอาวุธเทพที่แฝงไปด้วยวิถีแห่งสายฟ้าด้วย

ตัวอูเจิ้นเองก็กลายร่างเป็นสายฟ้า ทุบตีไปแต่ละครั้ง ก็สังหารจนตายลงไปได้สามสี่ตัวในทันที

เหลียงซงเองก็กัดฟันอย่างหนัก โดยได้แสดงวิชาสุดยอดของตนเองออกมาเหมือนกัน

กระบี่คู่พลันรวมกันเป็นหนึ่ง ลำแสงสีแดงและสีฟ้าเคลื่อนไหวสลับกันไปมาอยู่บนตัวกระบี่

เมื่อฟาดฟันกระบี่ออกไป ลำแสงก็กลายเป็นมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล

เปลวไฟลุกโชนขึ้นบนผิวน้ำ นึกไม่ถึงว่ากระบวนท่ากระบี่ของเหลียงซงนี้จะแสดงออกถึงท่วงท่าพลังสังหารของเขตวิถี

พริบตาเดียว แมงมุมกลืนวิญญาณหลายตัวที่อยู่รอบข้างเขานั้นก็ถูกสังหารลงเป็นชิ้น ๆ

เมื่อเก็บพลังลำแสงกลับคืน ชายเสื้อของเหลียงซงก็พลิ้วไหว สง่างามราวกับสายลม

“ไม่ใช่ว่าฉันสู้ไม่ได้ เพียงแต่ฉันไม่อยากจะเสียแรงก็เท่านั้น ทำไมจะต้องบังคับฉันด้วย! ”

เหลียงซงเงยหน้า และพูดขึ้น

เหมือนเขาจะรู้สึกว่าท่าทางแบบนี้ค่อนข้างจะองอาจ สง่างาม

เจียวเม่ยเหนียงกับอูเจิ้นต่างก็มองไปที่เขา แล้วก็หัวเราะออกมาโดยพลัน

เหลียงซงมองไปยังท่าทางของสองคนนั้น ก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า: “ทำไมเหรอ? พวกเธอตะลึงกับกระบวนท่าของฉันแล้วใช่ไหมล่ะ? ”

อูเจิ้นชี้ไปที่ใต้ฝ่าเท้าของเหลียงซงและพูดขึ้นว่า: “ถ้าฉันเป็นนาย ก็คงจะไม่ยืนอยู่บนชิ้นศพของแมงมุมกลืนวิญญาณหรอก”

เหลียงซงตกใจเล็กน้อย และยังไม่ทันที่จะตอบโต้กลับไป

ชี่สีดำก็พ่นออกมาจากชิ้นศพนั้นอย่างกะทันหัน และปกคลุมตัวเหลียงซงเอาไว้

ทันใดนั้น เหลียงซงก็ล้มลงไปที่พื้นพร้อมกับเสียงโอดครวญ เขาที่ใช้พลังไปแทบจะทั้งหมดแล้วนั้นเวลานี้ดูเหมือนจะค่อนข้างอ่อนแอไปสักหน่อย

“ไอ้สารเลว! ไปตายซะ! ”

ทันใดนั้น คู่ดวงตาของเหลียงซงก็แดงก่ำ พร้อมกับปรากฏฟันเขี้ยวขึ้นในปาก โดยลำแสงสีเลือดได้ทำลายชี่สีดำนั้นจนจางหายไป

เจียวเม่ยเหนียง อูเจิ้นเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้ว ก็ค่อย ๆ ถอยห่างออกไป

เวลานี้เหลียงซงตั้งสติกลับคืนมาได้ ก็รีบเก็บฟันเขี้ยวและลำแสงสีเลือดของตนเองขึ้น พร้อมกับพูดเสียงดังว่า: “ฉัน……”

คำว่าฉันยังไม่ทันจะพูดจบ ลำแสงกระบี่ก็ฟาดฟันลงมาจากท้องฟ้า

ฉับ!

ลำแสงกระบี่ฟันลงมาอย่างแม่นยำจนศีรษะของเหลียงซงร่วงตกลงไปเจาะบนพื้น หลังจากที่ชักกระตุกอยู่สักครู่หนึ่ง เหลียงซงก็ตายลงอย่างสิ้นเชิง

ลู่ฝานขมวดคิ้วแน่นขึ้นโดยพลัน