เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1811 ค่ายกลเชื่อมโยง(2)
รอดสี่จากห้าคน ตายไปหนึ่งคน
สี่คนที่เหลือมองแสงกระบี่บนหัวเหลียงซงค่อยๆ หายไป ทุกคนพูดอะไรไม่ออก
ตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้ว ที่พวกผู้อาวุโสพูดว่า “ผู้ฝ่าฝืนต้องตาย” ไม่ใช่คำพูดไร้สาระ แต่คือการเตือนที่แท้จริง
ในห้อง ผู้อาวุโสซู่มั่นดึงแขนตัวเองกลับมาช้าๆ สีหน้าราบเรียบ เหมือนทำเรื่องไม่สำคัญ เป็นเพียงเรื่องง่ายดายเท่านั้น
ผู้อาวุโสคนอื่นก็สีหน้าเฉยเมย ไม่พูดอะไรสักคำ
มีเพียงคุณชายเฟิงเทียนพูดว่า “ยากนักหรือไง แค่ไม่ให้เขาใช้ออร่าปีศาจมันยากมากเลยเหรอ โง่ขนาดนี้แต่อยากให้สำนักให้ความสำคัญ ให้เขาตายไปแบบนี้ดูไม่ให้ค่าเขาเกินไปหน่อย อีกเดี๋ยวเก็บศพเขาไว้ กลั่นยาศพดีๆ ได้ตั้งหนึ่งเม็ด!”
พวกผู้อาวุโสขานรับแล้วคำนับ “รับทราบ!”
คุณชายเฟิงเทียนลูบคางแล้วพูดว่า “ต่อไปล่ะ พวกนายคงไม่ได้เตรียมบททดสอบเอาไว้แค่นี้ใช่ไหม!”
ผู้อาวุโสซู่มั่นพูดว่า “คุณชายเฟิงรอดูได้เลย!”
……
เลือดสดไหลออกมาจากหัวเหลียงซง ลู่ฝานเดินเข้าไปมองศพเหลียงซงอย่างเฉยเมย
อูเจิ้นที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “ไอ้ปัญญาอ่อนนี่กล้าเมินคำพูดของผู้อาวุโส สมน้ำหน้า!”
สาวสวยพูดว่า “คนโง่รนหาที่ตาย เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้!”
พูดจบ สาวสวยหันมามองลู่ฝานแล้วพูดว่า “เมื่อกี้นายทำได้ยังไง ทำไมแมงมุมกลืนวิญญาณถึงไม่โจมตีนาย”
เมื่อได้ยิน อูเจิ้นกับหลวี่เหวยที่รีบเดินเข้ามาหันไปมองลู่ฝานทันที
ลู่ฝานมองเธอแวบหนึ่งแล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “ทำไมฉันต้องบอกเธอด้วย”
สาวสวยเดินมาข้างลู่ฝาน ยิ้มงดงามแล้วพูดว่า “ถ้านายบอกฉัน ฉันจะให้อะไรดีๆ กับนาย”
เมื่อพูดเช่นนี้ เธอเอานิ้ววางบนริมฝีปาก หรี่ตาเย้ายวน จงใจทำท่าออดอ้อนฉอเลาะ
เห็นได้ชัดว่าเธอรู้ว่าข้อดีข้อเสียของตัวเองคืออะไร
ดังนั้นตอนเธอพูดประโยคนี้ เธอสะบัดผมมาปิดรอยแผลเป็นบนใบหน้า
อีกทั้งอกอึ๋มกำลังจะเสียดสีแขนลู่ฝานด้วย
ลู่ฝานยิ้มบางๆ มองเธอแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วย ฉันไม่สนใจเธอ”
การปฏิเสธตรงๆ ทำให้สาวสวยเสียหน้า
อูเจิ้นหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “สาวสวย ดูเหมือนเธอเจอคนหัวแข็งเข้าให้แล้วล่ะ”
นัยน์ตาสาวสวยมีความเคียดแค้นเล็กน้อย “งั้นเหรอ งั้นเดี๋ยวถ้าเกิดอะไรขึ้นกับนาย อย่ามาเรียกให้ฉันช่วยแล้วกัน”
ลู่ฝานพูดว่า “วางใจเถอะ ฉันไม่ทำแบบนั้นอยู่แล้ว”
สาวสวยส่งเสียงหึอย่างเย็นชาแล้วเดินไปในซากปรักหักพัง เธอจะไปดูค่ายกลนั่นอีกครั้ง
อูเจิ้นพูดกับลู่ฝานอย่างสนใจ “ถ้านายบอกวิธีรับมือแมงมุมกลืนวิญญาณกับฉัน อีกเดี๋ยวถ้าเกิดเรื่องกับนาย ฉันพอช่วยนายได้นะ”
ลู่ฝานยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่มองอูเจิ้นอย่างเฉยเมย
สายตาเขาทำให้อูเจิ้นรู้สึกเหมือนตัวเองพูดเรื่องตลกออกไป
อูเจิ้นที่เสียหน้าทำได้เพียงชี้เหลียงซงที่อยู่บนพื้นแล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม อย่าอวดดีเกิน ระวังจุดจบนายจะเป็นเหมือนเขา!”
เมื่อพูดจบ อูเจิ้นก็เดินออกไปเหมือนกัน
ลู่ฝานหันมามองหลวี่เหวยที่เงียบมาตลอด “เหมือนนายรู้นานแล้วว่าจะมีอะไรโผล่มาใช่ไหม”
หลวี่เหวยยิ้มแล้วพูดว่า “เปล่า ฉันก็เพิ่งเคยเจอแมงมุมกลืนวิญญาณครั้งแรกเหมือนพวกนาย ครั้งนี้โชคดีอีกแล้ว แมงมุมกลืนวิญญาณพวกนั้นไม่จับฉัน คิดแล้วยังกลัวไม่หาย มีแมงมุมกลืนวิญญาณตัวหนึ่งอยู่ห่างฉันแค่ฟุตเดียวเท่านั้น ใกล้สุดๆ!”
หลวี่เหวยพูดพลางทำท่าทำทาง ราวกับว่าครั้งนี้รอดมาได้ ถือว่าโชคดีสุดๆ ไปเลย
แน่นอนว่าลู่ฝานไม่เชื่อคำพูดโกหกของเขา ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “โชคดีไม่ได้ทำให้นายเดินจนถึงจุดหมายปลายทางหรอก”
หลวี่เหวยวางมือลงแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันรู้ ฉันไม่เคยคิดว่าจะเดินจนถึงจุดหมายปลายทางด้วยซ้ำ”
ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ เชื่อคำโกหกของเขาก็โง่แล้ว
แต่หลวี่เหวยดูไม่ธรรมดาจริงๆ คนปกติออกจากบ้านไม่มีทางเตรียมสมุนไพรป้องกันแมงมุมกลืนวิญญาณหรอก
ลู่ฝานเห็นยาเทวดาในมือเขา มันไม่ใช่ของธรรมดาเลย คิดว่าคงไม่ได้มันมาง่ายๆ
ในความคิดเขา ถ้าหลวี่เหวยเตรียมการไว้ล่วงหน้าแบบนี้ ก่อนมาเขาต้องรู้ว่าวันนี้จะต้องเจออะไร ดังนั้นจึงเตรียมของเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ถ้าไม่อย่างนั้นบนตัวหลวี่เหวยก็ต้องมีของทุกอย่าง เตรียมไว้พร้อมมาก ขึ้นอยู่กับว่าเจออะไรก็เอาของสิ่งนั้นมารับมือ
ไม่ว่าอย่างไหนไอ้หมอนี่ก็รับมือยากมาก
ลู่ฝานหวาดระแวงเขามากขึ้นอีก แม้ไอ้เก้าใส่สัตว์อสูรสายลมให้เขาแล้ว แต่ก็ประมาทไม่ได้
อูเจิ้นเริ่มเดินเล่นรอบๆ เขาจะดูว่าบริเวณรอบๆ ยังมีอย่างอื่นอีกไหม
แม้ฆ่าแมงมุมกลืนวิญญาณหมดแล้ว แต่พวกเขาคิดว่าการทดสอบครั้งนี้ไม่มีทางจบง่ายแบบนี้ เหตุผลง่ายมาก แม้แมงมุมกลืนวิญญาณแข็งแกร่งมาก แต่ยังอยู่ในขอบเขตที่พวกเขาสามารถรับมือได้
ถ้าเหลียงซงไม่รนหาที่ตายโดยการใช้กลิ่นเลือด พวกเขาทั้ง 5 คนสามารถผ่านได้แน่นอน
พวกผู้ฝึกชั่วร้ายอาวุโสที่ละเอียดรอบคอบ จะวางบททดสอบที่สามารถผ่านทั้งห้าคนได้ยังไงล่ะ พวกเขาไม่มีทางทำพลาดง่ายดายแบบนี้หรอก
อีกทั้งตอนนี้ยังไม่มีใครมาแจ้งพวกเขาด้วยว่าการทดสอบสิ้นสุดลงแล้ว
นั่นหมายความว่าตอนนี้การทดสอบยังดำเนินอยู่ มีอะไรที่พวกเขายังไม่ได้เจออีกแน่ๆ
ลู่ฝานกวาดตามองรอบๆ พื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ นอกจากตำหนักแล้วก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างอื่นอีก ดูเหมือนทุกอย่างต้องเริ่มที่ค่ายกลในตำหนัก
ลู่ฝานเดินวนในตำหนักหนึ่งรอบ เขาเห็นรอยเท้าสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย
คราวนี้ลู่ฝานไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ เขาพูดอย่างห้าวหาญว่า “ถ้าฉันเดาไม่ผิด ถ้าเราใส่พลังเข้าไปในค่ายกลเรื่อยๆ จะเรียกสัตว์อสูรมาได้อีกเยอะ”
หลวี่เหวยยื่นหน้ามาพูดว่า “เหรอ ทำไมถึงคิดแบบนี้ล่ะ”
ลู่ฝานชี้รอยเท้าบนพื้นแล้วพูดว่า “เพราะรอยเท้าพวกนี้ไม่มีรอยเท้าของแมงมุมกลืนวิญญาณเลย นั่นหมายความว่ารอบตัวเราน่าจะมีสัตว์อสูรตัวอื่นอีก”
สาวสวยยกยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า “ตลก ถ้ามีสัตว์อสูรตัวอื่น เมื่อกี้ก็ต้องมาด้วยกันสิ อย่าบอกนะว่าทุกครั้งที่ใส่พลังเข้าไปในค่ายกลจะเรียกสัตว์อสูรที่ไม่เหมือนกันออกมา”
ลู่ฝานเดินมาหน้าค่ายกล ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ ขนาดคนที่ไม่ค่อยเข้าใจค่ายกลอย่างฉันยังรู้เลยว่าบนโลกนี้ยังมีค่ายกลชนิดหนึ่งที่เรียกว่าค่ายกลเชื่อมโยง!”
หลวี่เหวยพูดว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็แค่หยุดใส่พลังเข้าไปในค่ายกลชั่วคราวก็จบแล้วนิ พักผ่อนและฟื้นฟูสักพัก จากนั้นวางกรอบดักศัตรูไว้รอบๆ แล้วค่อยรับมือกับสัตว์อสูรที่เหลือก็ยังไม่สาย!”
อูเจิ้นรีบเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “เป็นความคิดที่ดี พักผ่อนสักหน่อยคือวิธีที่ดีที่สุด”
ลู่ฝานพยักหน้า เตรียมจะหันหลังเดินไป
ขณะนั้นหลวี่เหวยยิ้มบางๆ ถือโอกาสตอนคนไม่เห็น สะบัดมือโยนหินสีดำใส่ค่ายกล
ทันใดนั้นแสงค่ายกลสว่างขึ้น
ลู่ฝานและคนอื่นหันกลับมา หลวี่เหวยพูดเสียงดังว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงเปิดเองล่ะ!”