การต่อสู้ของกู้ไป๋อีกับเฟิงอวิ๋นซิวนั้นเป็นการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยอันตราย ตอนนี้ไม่สามารถดูออกได้เลยว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร

ฝ่ายใดจะแพ้ ฝ่ายใดจะชนะ!

ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง!

การระเบิดอย่างรุนแรงนี้ทำให้หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย

“เพิ่มความแข็งแกร่งของค่ายกล!” หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าวกับอรหันต์ทั้งสิบแปดองค์

แสงแห่งธรรมสีทองอร่ามส่องเจิดจรัสเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับค่ายกลเพื่อป้องกันค่ายกลแตกจากการต่อสู้กันของทั้งสองคนนี้

พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของทั้งสอง ในดินแดนสี่ทิศมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเป็นคู่แข่งได้อย่างสมน้ำสมเนื้อเช่นนี้ได้

การลอบโจมตีของเงา ไม่สามารถคาดเดาได้ ร่างของกู้ไป๋อีจึงเกิดบาดแผลรอยเลือดขึ้นหลายแผล

ในการโจมตีแต่ละครั้งเขาทำได้เพียงแค่หลบหลีกไม่ให้บาดเจ็บถึงชีวิตได้เท่านั้น เขาไม่สามารถหลบหลีกให้พ้นการโจมตีได้เลย

ตอนนี้ถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว!

มู่เหล่ากล่าว “นึกไม่ถึงเลยว่าพลังในระดับเดียวกันเช่นนี้จะมีคนสามารถหลบหลีกการโจมตีของเงาได้ หัวหน้าตำหนักเป่ยหานผู้นี้หากอยู่ในแดนซวนเทียน ก็ต้องเป็นอัจฉริยะที่น่าทึ่งเป็นแน่”

ตระกูลเฟิง คนที่สามารถฝึกฝนเงาออกมาได้จะถูกเรียกว่าเป็นผู้ฝังศพคู่ต่อสู้ระดับเดียวกัน แทบจะไร้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันก็ว่าได้

อย่างไรเสียนี่เป็นการประลองแบบสองรุมหนึ่ง และหนึ่งในคู่ต่อสู้นี้ก็ไม่มีกลิ่นอายเลยแม้แต่น้อย ไม่สามารถจับหรือรับรู้ได้เลย แล้วนี่ยังมีโอกาสชนะได้มากเพียงใดกัน

และแน่นอนว่าสถานการณ์ของเฟิงอวิ๋นซิวตอนนี้น่าสังเวชยิ่งกว่า

เงากระบี่ของกู้ไป๋อีไม่มีรูปลักษณ์ ปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวของกู้ไป๋อีทำให้เฟิงอวิ๋นซิวยากที่จะหลบหลีกได้

ฉึก ฉึก ฉึก! เฟิงอวิ๋นซิวถูกปราณกระบี่บีบบังคับจนถอยร่นไป ขณะเดียวกันปราณกระบี่ก็พุ่งไปโจมตีจุดสำคัญของเขาราวกับตาเห็น

“วายุพิฆาต!”

“เปลวไฟทำลาย!”

เฟิงอวิ๋นซิวที่เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุคู่ย่อมมีข้อได้เปรียบอยู่แล้ว เขาพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อหลบหลีกปราณกระบี่นับไม่ถ้วนนี้ แต่แขนกับบริเวณเอวของเขาก็ยังคงมีเลือดกระฉูดออกมาอยู่ดี

ถึงกระนั้น มู่เฉียนซีก็รู้ดีว่าสถานการณ์ของเสี่ยวไป๋ก็ไม่ค่อยจะดีนัก

จื่อโยวกล่าว “โชคดีที่กู้ไป๋อีมีประสบการณ์การต่อสู้มากกว่าเฟิงอวิ๋นซิวมานานกว่าสิบปี มิเช่นนั้นการประลองสนามนี้น่าเป็นห่วงแน่”

สภาพของทั้งสองน่าสังเวชมาก นี่เป็นการประลองนองเลือดที่น่าหวาดเสียวมากจริง ๆ

มู่เฉียนซีกำหมัดแน่น ดวงตาจ้องมองไปยังร่างในชุดขาวที่ถูกย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสดนั้น ก่อนจะตะโกนขึ้นว่า “เสี่ยวไป๋…”

มู่เฉียนซีไม่ทันได้กล่าวอะไรออกไป พลังของกู้ไป๋อีก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง

“ข้าไม่แพ้เด็ดขาด! ไม่ต้องห่วง!” กู้ไป๋อีกล่าวเสียงขรึม

นั่นคือเจตจำนงในการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่ง ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด

กระบี่เฉียนหานคึกคักขึ้นเพราะเจตจำนงในการต่อสู้ของเจ้านายของมัน ในตอนนี้มู่เฉียนซีที่จะตะโกนให้เสี่ยวไป๋ยอมแพ้นางก็พูดไม่ออกแล้ว

แม้ว่าการแพ้ไปหนึ่งสนามจะไม่สามารถตัดสินการประลองโดยรวมได้ แต่เสี่ยวไป๋ก็มีความทะนงในตัวเอง

เสี่ยวไป๋ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด ส่วนเฟิงอวิ๋นซิวนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

ตูม! ทั้งสองต่อสู้พัวพันกันอีกครั้ง ค่ายกลป้องกันของแท่นประลองที่ได้รับการเสริมความแข็งแกร่งแล้วในเมื่อครู่ ตอนนี้เมื่อเกิดเสียงต่อสู้ ตูม ตูม ขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง มันก็ดูเหมือนว่ามีโอกาสจะพังทลายลงได้ตลอดเวลา

เงาปรากฏขึ้นด้านหลังกู้ไป๋อีราวกับภูตผีก็มิปาน

มู่เฉียนซีรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ครั้งนี้เสี่ยวไป๋ยังสามารถหลบได้อีกหรือไม่

ในขณะเดียวกัน กู้ไป๋อีก็ปล่อยพลังกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาออกมา

ลำแสงกระบี่ราวกับกระบี่วงจันทร์พุ่งไปที่หน้าอกของเฟิงอวิ๋นซิว การโจมตีด้วยกระบี่ในครั้งนี้เฟิงอวิ๋นซิวก็ไม่สามารถหลบได้แล้ว

“จันทราสังหาร!”

“เงาสังหาร!”

ฉึก! กระบี่ทั้งสองเล่มแทงเข้าร่างของคู่ต่อสู้ทั้งสองพร้อมกัน

ชั่วพริบตาเดียว สีหน้าของคนอื่นที่มองดูก็พลันเปลี่ยนไปมาก

“หัวหน้าตำหนัก!”

“นายน้อย!”

“นายน้อย!”

สีหน้าของมู่เฉียนซีก็พลันเปลี่ยนไปมาก “เสี่ยวไป๋!”

“เฟิงอวิ๋นซิว!”

ตุบ! ร่างของทั้งสองล้มลงไปพร้อมกัน เลือดสีแดงสดไหลย้อมไปทั่วทั้งลานประลอง

มู่เฉียนซีจ้องมองไปที่ร่างสองร่างที่อยู่บนลานประลองนั้นอย่างไม่กระพริบตา ใช้สายตาของตัวเองสังเกตดูบาดแผลของทั้งสองอย่างละเอียด

ยังไม่ถึงแก่ชีวิต!

แต่มีค่ายกลป้องกันขวางอยู่ นางกลัวว่าตัวเองจะวินิจฉัยผิดพลาด

มู่เฉียนซีรีบกล่าวขึ้นว่า “หัวหน้าแคว้นฟ้านอิน รีบประกาศผลการประลองเร็วเข้า!”

หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินเริ่มนับ “หนึ่ง! สอง…สาม! ทั้งสองไม่ลุกขึ้น การประลองสนามที่สอง เสมอกัน!”

“เอาค่ายกลออก เร็วเข้า!”

ในขณะที่อรหันต์ทั้งสิบแปดองค์เอาค่ายกลออก เข็มยาในมือมู่เฉียนซีก็พุ่งออกไปที่ร่างของกู้ไป๋อีและเฟิงอวิ๋นซิวแล้ว

ในตอนนี้ มู่เหล่าก็พุ่งตัวออกไปแล้ว

“สาวน้อย การประลองสนามที่สองจบลงแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล้าลอบทำร้ายนายน้อยเฟิงอีก เจ้าช่างจิตใจโหดเหี้ยมยิ่งนัก!”

จื่อโยวขวางเจ้ามู่เหล่าผู้นี้เอาไว้ และกล่าวเย้ยหยันว่า “อายุแก่ปูนนี้แล้ว สายตายังเลอะเลือนอีก ช่างน่าสงสารน่าเวทนาเสียจริง ตอนนี้คนงามอารมณ์ไม่ดี เจ้าอย่าได้อยู่ขวางทางตรงนี้เลยนะ!”

เปรี๊ยะ! จื่อโยวตบเจ้าเฒ่าผู้นี้จนร่างกระเด็นลอยออกไป

อ๊า! มู่เหล่ากระเด็นลอยอยู่กลางอากาศอยู่นาน สุดท้ายร่างของเขาก็ลอยไปตกยังกลางทะเล

เขารู้สึกเหมือนถูกสัตว์ร้ายตัวหนึ่งตบก็มิปาน!

“นี่พวกเจ้า…” เหล่าบรรดาสุนัขรับใช้ของมู่หลินหลางโกรธเกรี้ยวขึ้นแล้ว

ในตอนนี้เอง ซวนอีกล่าวขึ้นว่า “ผู้นำตระกูลมู่กำลังช่วยนายน้อยต่างหากล่ะ นางไม่มีทางทำร้ายนายน้อยแน่นอน”

คนเหล่านั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะออกปากออกเสียงได้”

เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายของกู้ไป๋อีและเฟิงอวิ๋นซิวแล้ว ไม่นานนักยาก็ออกฤทธิ์ห้ามเลือดพวกเขาเอาไว้

มู่เฉียนซีถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นางไม่ได้วินิจฉัยผิด ไม่ถึงแก่ชีวิต

ทุกคนล้วนแต่คิดไม่ถึงจริง ๆ สองคนนี้ต่อสู้กันอย่างน่าหวาดเสียวมาก สุดท้ายทั้งสองล้วนแต่ถูกกระบี่แทงในจุดสำคัญ แต่พวกเขากลับยังไม่ถึงตาย

หลังจากที่รักษาบาดแผลให้พวกเขาทั้งสองเสร็จแล้ว มู่เฉียนซีก็โยนขวดยาหลายขวดให้กับซวนอี

“เจ้านายของเจ้า เจ้าจัดการเองล่ะ ข้ารักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้นให้ ให้ยารักษาก็นับว่าใจดีมากแล้ว ส่วนเขาจะเป็นหรือจะตายนั้น ข้าไม่อยากสนใจ”

ตอนนี้เฟิงอวิ๋นซิวเป็นศัตรู แถมยังทำให้เสี่ยวไป๋ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก

แม้เฟิงอวิ๋นซิวจะเป็นสหายกับนาง แม้ว่าเขาจะมีความอึดอัดใจ แต่ตอนนี้นางก็ยังโกรธมากอยู่ดี

กู้ไป๋อีกลับได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างออกไป มู่เฉียนซีตั้งใจรักษาอาการบาดเจ็บให้เขาเป็นอย่างดี

แสงสลัววาบผ่านดวงตาของซวนอี โชคดีที่ตอนนี้นายน้อยหมดสติอยู่ มิเช่นนั้นหากนายน้อยได้เห็นภาพนี้คงหดหู่ใจเป็นแน่!

มู่เฉียนซีกำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้กู้ไป๋อีอยู่ แต่ในตอนนี้เอง ไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็ออกมายืนกล่าวว่า “มู่เฉียนซี อย่ามัวแต่เสียเวลาอยู่เลย รีบมาเริ่มการประลองสนามที่สามกันดีกว่า!”

มู่เฉียนซีกล่าว “ประลองติดต่อกันสองสนามแล้ว พักก่อนสักหนึ่งชั่วยามเถอะ! อย่างไรเสียอรหันต์ทั้งสิบแปดองค์ที่ควบคุมค่ายกลป้องกันติดต่อกันมาสองสนามก็คงจะเหนื่อยแล้ว”

“เซียวเหยา เอายาลูกกลอนฟื้นฟูพลังวิญญาณไปมอบให้เหล่าผู้อาวุโส ลำบากพวกเขาแล้ว”

ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “พักเหรอ! มู่เฉียนซี ข้าว่าเจ้าไม่กล้ามากกว่า! ตอนนี้การประลองสองสนามแรกเสมอกัน หากสนามสุดท้ายข้าเป็นฝ่ายชนะ เจ้าต้องแย่แน่”

รักษาอาการบาดเจ็บของเสี่ยวไป๋เป็นเรื่องสำคัญกว่า มู่เฉียนซีคร้านที่จะสนใจคนอวดดีอย่างไป๋เหยียนเอ๋อร์

เมื่อเห็นมู่เฉียนซีเพิกเฉยต่อนางเช่นนี้ ไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็โกรธเกรี้ยวขึ้น

ทางด้านหัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินเห็นว่าคำขอนี้ของมู่เฉียนซีมีเหตุผล จึงตอบตกลงให้พักยกการประลองก่อน

“ดี เช่นนั้นก็พักหนึ่งชั่วยามแล้วค่อยประลองต่อ”

เวลาหนึ่งชั่วยาม เพียงพอที่จะให้มู่เฉียนซีรักษากู้ไป๋อี

และในช่วงเวลาหนึ่งชั่วยามนี้ ทุกคนก็ได้เห็นวิชาการรักษาอันน่าทึ่งของมู่เฉียนซีเช่นกัน

สีหน้าของหัวหน้าตำหนักเป่ยหานที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสฟื้นตัวได้เร็วมาก ทุกคนเห็นกับตาว่าเมื่อครู่เขาบาดเจ็บสาหัสมากเพียงใด!

ส่วนนายน้อยอวิ๋นซิวที่ถึงแม้ว่าจะถูกทิ้งอยู่ข้าง ๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดถามไถ่ แต่มียาของมู่เฉียนซีที่ให้ไว้ ดูเหมือนว่าอาการของเขาก็ดีขึ้นมามากแล้ว

พวกเขาอุทานขึ้นว่า “ผู้นำตระกูลมู่สมกับที่เป็นหนึ่งในเจ้าของหอหมอปีศาจจริง ๆ ฝีมือการรักษาขั้นนี้ช่างหายากนัก”

“ฝีมือการรักษาที่น่าทึ่งเช่นนี้ คาดว่าคงไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านหมอปีศาจแน่นอน!”

“รอให้พลังของผู้นำตระกูลมู่เพิ่มระดับขึ้นสูงกว่านี้ คาดว่าฝีมือของนางต้องเหนือกว่าท่านหมอปีศาจได้แน่นอน”

เซียวเหยาได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกภูมิใจมาก หากคนพวกนี้รู้ความจริงว่าท่านหมอปีศาจที่พวกเขากล่าวถึงก็คือนายท่าน ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้จะตกตะลึงมากเพียงใด

ไป๋เหยียนอ๋อร์เห็นคนเหล่านี้มองมู่เฉียนซีด้วยสายตาชื่นชม สีหน้าของนางก็ดูแย่ลงเรื่อย ๆ อีกไม่นาน นางจะทำให้มู่เฉียนซีพ่ายแพ้ไปด้วยน้ำมือของนางให้ได้ . .