ตอนที่ 1391 เงาตระกูลเฟิง

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าว “สนามที่สอง พร้อมหรือไม่?”

การประลองในสนามแรกเสมอทำให้ฝ่ายตำหนักตงจี๋กลัดกลุ้มใจมาก ไป๋อู่ห่ายกล่าว “เฟิงอวิ๋นซิว เจ้าแน่ใจแล้วเหรอว่าจะลงประลองสนามนี้?”

เฟิงอวิ๋นซิว “หากข้าไม่ลง หัวหน้าตำหนักตงจี๋ท่านจะลงอย่างนั้นเหรอ?”

ไป๋อู๋ห่ายมองไปที่ร่างในชุดขาวที่เย็นยะเยือกนั้น สุดท้ายเขาก็ไม่กล้ากล่าวอันใดออกมา เพราะเขายังไม่อยากตาย!

จื่อโยวกล่าว “คนงาม หรือจะให้ข้าลง! ข้าสืบมาแล้วว่านายน้อยอวิ๋นซิวผู้นั้นรับมือไม่ง่ายเลย”

“ไม่ต้อง!” กู้ไป๋อีออกคำขาด

แสงสลัววาบผ่านดวงตาของจื่อโยว อันที่จริงแล้วพลังของจื่อโยวที่ถูกยับยั้งในดินแดนแห่งนี้ เมื่อเทียบกับกู้ไป๋อีแล้วก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก

มู่เฉียนซีกล่าว “งั้นเสี่ยวไป๋ เจ้าระวังตัวด้วย!”

“อืม!”

ร่างทั้งสองพุ่งไปบนลานประลองพร้อม ๆ กัน

กระบี่ยาวสีฟ้าอันเย็นยะเยือกเล่มหนึ่งถูกกู้ไป๋อีชักออกมา

กลิ่นอายอันเย็นยะเยือกของกระบี่เล่มนั้นเย็นยะเยือกไม่ต่างอะไรกับเจ้านายของมันเลย

ส่วนอาวุธของเฟิงอวิ๋นซิวก็คือกระบี่เช่นเดียวกัน กระบี่สีดำแดงเข้มเล่มหนึ่งถูกชักออกมาจากฝัก

พลังวิญญาณของทั้งสองระเบิดออกมาโดยสมบูรณ์ พลังวิญญาณของกู้ไป๋อีคือขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าที่อยู่ในจุดสูงสุดแล้ว เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แล้ว

ทว่า…

“พระเจ้า! นึกไม่ถึงเลยว่าพลังของนายน้อยอวิ๋นจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว”

“มหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าขั้นสูงสุด นายน้อยอวิ๋นซิวต้องเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดที่มีอายุน้อยที่สุดในดินแดนสี่ทิศเป็นแน่!”

“……”

มู่เฉียนซีเองก็ตกตะลึงกับเรื่องนี้เช่นกัน พลังของเฟิงอวิ๋นซิวในตอนนี้ไม่ได้ใช้วิชาลับเพิ่มพลังแต่อย่างใด แต่เขาพลังของเขาเป็นพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าขั้นสูงสุดอย่างแท้จริง

เฟิงอวิ๋นซิวมีพลังขั้นนี้ แต่สีหน้าของกู้ไป๋อียังเรียบนิ่งไม่เปลี่ยน แปลง และทันใดนั้นกู้ไป๋อีก็โจมตีไปที่เฟิงอวิ๋นซิวด้วยปราณกระบี่อันรุนแรง

ปัง! พลังของทั้งสองปะทะกันแล้ว

การต่อสู้ด้วยกระบี่ ถึงแม้ว่าพลังของเฟิงอวิ๋นซิวจะอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว แต่ก็ไม่อาจสู้กู้ไป๋อีได้

ภายในสิบกระบวนท่า ร่างของเฟิงอวิ๋นซิวก็ปรากฏรอยเลือดขึ้นแล้ว

“แม้ว่าพลังวิญญาณของนายน้อยอวิ๋นซิวจะเทียบเท่ากับหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน แต่หัวหน้าตำหนักเป่ยหานก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดมาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว ส่วนนายน้อยอวิ๋นซิวเพิ่งจะเลื่อนขั้นได้ไม่นาน เกรงว่าเขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหัวหน้าตำหนักเป่ยหานหรอก”

“ดูท่าการประลองสนามนี้ หัวหน้าตำหนักเป่ยหานต้องชนะเป็นแน่”

ไป๋อู๋ห่ายเองก็รู้สึกได้ว่าเฟิงอวิ๋นซิวเอาชนะไม่ได้แน่ เขาจึงกล่าวด้วยสีหน้าดุดันว่า “บัดซบ! เฟิงอวิ๋นซิวจะแพ้แล้ว”

หากแพ้สนามนี้ และเอาชนะได้ในสนามสุดท้ายมันก็ไม่มีความหมายใด

มู่เหล่าที่ฟื้นขึ้นมาแล้วจึงกล่าวว่า “หากความสามารถของเฟิงอวิ๋นซิวมีเพียงเท่านี้ ก็รอถูกกล่าวโทษด้วยความตายได้เลย!”

ดวงตาสีอำพันคู่นั้นของเฟิงอวิ๋นซิวเคร่งขรึมขึ้นหลายเท่า เขากล่าวเสียงต่ำว่า “เงา…คลาย!”

ทันใดนั้นร่างในชุดดำแดงก็พุ่งเข้าหากู้ไป๋อี พร้อมชี้ปลายกระบี่พุ่งเป้าไปที่คอของกู้ไป๋อีอย่างเหี้ยมโหด

แกร๊ง! การสกัดกั้นการโจมตีนี้สำหรับกู้ไป๋อีแล้วไม่ยากเลยแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นเอง มู่เฉียนซีรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ!

ร่างของเฟิงอวิ๋นซิวที่อยู่ตรงหน้ากู้ไป๋อีนั้นไร้เงา!

นางตะโกนขึ้นว่า “เสี่ยวไป๋ ระวัง!”

ในตอนนี้เอง ทุกคนก็สังเกตเห็นว่ายังมีร่างอีกร่างของนายน้อยอวิ๋นซิวอยู่ด้านหลังกู้ไป๋อี

ร่างในชุดดำร่างหนึ่งเป็นเหมือนเงาของเฟิงอวิ๋นซิว

เขาถือมีดสั้นอยู่ในมือ พุ่งแทงไปที่หัวใจของกู้ไป๋อีมาจากทางด้านหลัง!

การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ ทำให้กู้ไป๋อีตกตะลึงเล็กน้อย!

ร่างในชุดขาวรีบเคลื่อนไหวหลบหลีกอย่างรวดเร็ว มีดสั้นเล่มนั้นแฉลบโดนแขนกู้ไป๋อีจนเกิดรอยเลือดเป็นทางยาว

ไม่นานนักเฟิงอวิ๋นซิวในร่างชุดดำนั้นก็ได้อันตรธานหายไปแล้ว

หากมีศัตรูอยู่ด้านหลัง ไม่มีทางที่เขาจะไม่รับรู้ แต่ในเมื่อครู่ เขากลับรู้สึกว่าไม่มีอะไรอยู่ด้านหลังเขาเลย

คนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงขึ้นเช่นกัน “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดถึงมีนายน้อยอวิ๋นซิวสองคน”

ชุดคลุมยาวสีขาวราวหิมะนั้นของกู้ไป๋อีในตอนนี้ถูกย้อมไปด้วยเลือดแล้ว

มีดเล่มนั้นมีพิษรุนแรงอีกด้วย! ทว่า พิษใช้กับกู้ไป๋อีไม่ได้ผล

ไป๋อู๋ห่ายที่แอบต่อสู้กับเฟิงอวิ๋นซิวมาโดยตลอดก็ตกใจมากเช่นกัน เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเฟิงอวิ๋นซิวมีความสามารถนี้ด้วย

หากเฟิงอวิ๋นซิวใช้วิชานี้ต่อสู้กับเขาแล้วละก็ เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองจะมีความสามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่

“นี่มัน…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

มู่เหล่ากล่าว “วิชาลับของตระกูลเฟิง หากเขาไม่ใช่คนตระกูลเฟิงที่ควบคุมวิชาลับนี้ของตระกูลเฟิงแล้วละก็ เขาจะได้เป็นองครักษ์ข้างกายขององค์หญิงหลินหลาง และเป็นคนสนิทที่สุดขององค์หญิงได้อย่างไรล่ะ”

ไป๋อู๋ห่ายกล่าวด้วยความตกใจว่า “ท่าน นี่ท่านว่าอะไรนะ? นี่เฟิงอวิ๋นซิวเป็นองครักษ์ข้างกายพระนางและเป็นคนที่พระนางไว้ใจที่สุดอย่างนั้นเหรอ ทำไมเขาไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย”

หากรู้ เขาไม่มีทางกล้าต่อสู้กับเฟิงอวิ๋นซิวแน่นอน

เพราะหากเขาไปกล่าววาจาให้ร้ายเฟิงอวิ๋นซิวต่อหน้าองค์หญิงแล้วละก็ มีหวังหัวหน้าตำหนักตงจี๋อย่างเขาต้องตายกลายเป็นเพียงเถ้าธุลีอย่างแน่นอน

มู่เหล่ากล่าว “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

มู่เฉียนซีเองก็ประหลาดใจเล็กน้อย “นี่มันคือวิชาลับอย่างนั้นเหรอ?”

จื่อโยวเดินไปยืนข้างกายมู่เฉียนซีและพึมพำขึ้นเบา ๆ ว่า “ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเงาของตระกูลเฟิง!”

มู่เฉียนซีผงะไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “เงาตระกูลเฟิง?”

จื่อโยวกล่าวอธิบาย “ราชวงศ์ตงหวงแห่งแดนซวนเทียน ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือตระกูลมู่ ลำดับสองก็คือตระกูลเฟิง ตระกูลเฟิงมีความเชี่ยวชาญในวิชาลับเฉพาะ นั่นก็คือวิชาเงา!”

“ในฐานะที่พวกเขาเป็นเงา เงาเหล่านี้จึงเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้เป็นนาย ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของเงานี้ และพวกเขาก็สามารถปกป้องผู้เป็นนายได้ในขณะที่ศัตรูโจมตีมา!”

“และพวกเขาก็ยังเป็นราชาแห่งการลอบสังหารอีกด้วย! พวกเขาสามารถทำการลอบสังหารได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด และทำให้คู่ต่อสู้ตายไปอย่างเงียบ ๆ”

“ตระกูลเฟิง เป็นเงาของตระกูลมู่จากรุ่นสู่รุ่นสืบต่อกันมา และจงรักภักดีต่อตระกูลมู่มาโดยตลอด”

“เพียงแต่ว่า…” จู่ ๆ จื่อโยวก็เงียบเสียงลง

มู่เฉียนซีสวนขึ้นทันควัน “เล่าต่อให้จบ!”

“ตระกูลเฟิงถูกทำลายล้างตระกูลไปเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว! นึกไม่ถึงเลยว่ายังคงหลงเหลืออยู่อีกคน แถมยังฝึกฝนวิชาเงาได้เก่งกาจถึงเพียงนี้อีก ช่างเป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงจริง ๆ!” แววตาของจื่อโยวเคร่งขรึมขึ้น

มู่เฉียนซีเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเฟิงอวิ๋นซิวจะมีเรื่องราวชีวิตเช่นนี้ นอกจากความรู้สึกแล้ว ยังมีความจงรักภักดีจากรุ่นสู่รุ่นที่สืบต่อกันมาอีก ทำให้เขาจำเป็นต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จอย่างนั้นเหรอ?

จื่อโยวกล่าว “คนงาม เป็นห่วงหัวหน้าตำหนักเสี่ยวไป๋ใช่หรือไม่!”

มู่เฉียนซีกล่าว “เงาตระกูลเฟิงแข็งแกร่งมาก แต่เสี่ยวไป๋เองก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ เขาไม่มีทางแพ้ง่าย ๆ แน่นอน”

และการต่อสู้อันดุเดือดนี้ก็เริ่มมาถึงทางตันขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว!

ในขณะที่กู้ไป๋อีต่อสู้กับเฟิงอวิ๋นซิวนั้น เขาก็ยังต้องรับมือกับเงาที่ลงมืออย่างไร้ความปรานีนี่ด้วย

ไม่สามารถรับรู้กลิ่นอายของเงานี้ได้เลย เงานี้สามารถปรากฏตัวออกมาได้ทุกเมื่อ กระทั่งแฝงตัวอยู่ในเงาของกู้ไป๋อี และปรากฏตัวออกมาจากเงาของกู้ไป๋อีด้วย ยากที่จะป้องกันได้

คนอื่น ๆ ก็เห็นเงานั่นเหมือนกัน พวกเขาต่างจ้องมองจนดวงตาแทบจะถลนออกมาแล้ว

“พระเจ้าช่วย! ช่างเป็นวิชาลับที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!”

“วิชาลับนี้ต้านสวรรค์เกินไปแล้ว!”

“……”

เฟิงอวิ๋นซิวกับเงาร่วมมือกันได้อย่างสมบูรณ์แบบมาก ทำให้คนดูต่างจ้องมองกันตาไม่กระพริบ!

“เงาจันทราหนาวเหน็บ!”

“จันทราเฉียนหาน!”

ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะแปลกประหลาดเพียงใด กระบี่ของกู้ไป๋อีก็ไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ

ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง!

บนลานประลองในตอนนี้เกิดการต่อสู้ที่น่าหวาดเสียวขึ้นแล้ว

กระบี่อันเย็นยะเยือก เงาอันแปลกประหลาด ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ

เฟิงอวิ๋นซิวโคจรพลังวิญญาณขึ้นอย่างบ้าคลั่ง การประลองสนามนี้เขาจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด! จะแพ้ให้กู้ไป๋อีไม่ได้เด็ดขาด

ส่วนกู้ไป๋อีในตอนนี้ แววตาของเขายิ่งทวีความเย็นยะเยือกมากขึ้น เขารับปากกับซีเอ๋อร์ไว้แล้ว จะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด! . .