ตอนที่ 1390 สู้ด้วยชีวิต

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ตอนที่ 1390 สู้ด้วยชีวิต

ในกลุ่มของแคว้นเทพฟ้านอินนี้ไม่มีแม้แต่เงาของอินรั่วเฉิน สีหน้าของมู่เฉียนซีจึงเคร่งขรึมขึ้น

ใบหน้าของหัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินช่างเอิบอิ่ม รอยยิ้มก็ดูเป็นคนใจดีและมีความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง

เขาก็ไม่ได้พูดจาไร้สาระอะไรมากมาย กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “จะยืนยันอีกครั้ง การประลองจะมีด้วยกันทั้งหมดสามสนาม ชนะสองในสามก็นับว่าเป็นฝ่ายชนะ ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นอื่นอีกหรือไม่?”

“ไม่มี!”

“ไม่มี!”

ในข้อนี้ทั้งสองฝ่ายไม่มีความเห็นอื่นใด

หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าวถามเพื่อเป็นการยืนยันอีกครั้งว่า “สนามแรกพวกท่านตัดสินใจแล้วหรือไม่ว่าจะส่งผู้ใดลงประลอง?”

“ตำหนักเป่ยหาน ข้าเป็นคนลงประลอง!” ฉู่เหล่ายืนขึ้นพลางกล่าว

อย่างไรเสีย เขาก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ในกลุ่มคนที่องค์รัชทายาทเป่ยกงส่งมาแล้ว หากไม่ใช่เขาลงประลอง แล้วใครจะลงกันเล่า

“ตำหนักตงจี๋ ข้าลง!” มู่เหล่าก็ยืนขึ้นพลางกล่าวเช่นกัน

หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ดี! เล่นนั้นก็เปิดสนามการประลองได้!”

ขวับ ขวับ ขวับ! อรหันต์ทั้งสิบแปดองค์พุ่งไปที่ใจกลางของเกาะไม่หวนคืน

พลันนั้นแท่นกลมสีทองอร่ามแท่นหนึ่งถูกแสงแห่งธรรมของพวกเขาดึง

เสียง ตูม! ดังสนั่นขึ้น และแท่นกลมนั้นได้กลายเป็นลานประลองที่มีขนาดใหญ่ถึงครึ่งเกาะ

ต่อสู้บนลานประลองนี้ ต่อให้พลังจะแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ไม่สามารถทะลวงค่ายกลของลานประลองนี้ออกมาทำให้คนอื่นบาดเจ็บได้

หลาย ๆ คนอุทานออกมาว่า “นี่เป็นอาวุธวิญญาณขั้นสวรรค์ชิ้นหนึ่งของแคว้นเทพฟ้านอิน แท่นประลองใหญ่!”

“นึกไม่ถึงเลยว่าแคว้นเทพฟ้านอินจะเอาของล้ำค่าเช่นนี้ออกมาใช้เพื่อความสงบสุขของชาวประชาในดินแดนสี่ทิศ”

“……”

หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าว “แท่นประลองเปิดแล้ว เชิญผู้ประลองในสนามแรกทั้งสองเข้าสู่แท่นประลองได้!”

ฝ่ายตำหนักเป่ยหาน ร่างของฉู่เหล่าสวมชุดคลุมยาวสีดำเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

กลางนภา เขาแผ่ซ่านพลังอันน่าเกรงขามออกมา ภายในชั่วพริบตาเดียวร่างของเขาก็ไปถึงลานประลองสีทองนั้นแล้ว

“ท่านผู้นี้ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!”

“นึกไม่ถึงเลยว่าตำหนักเป่ยหานนอกจากจะมีผู้อาวุโสสูงสุดคนเก่าที่ไม่ค่อยเปิดเผยตัวเหล่านั้นแล้ว ยังมีผู้ที่แข็งแกร่งระดับนี้อยู่อีก!”

เหล่าฉู่แสดงพลังออกมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้ว มู่เหล่าย่อมไม่ยอมอยู่เฉยแน่นอน เขาเคลื่อนไหวพาร่างของตนเองไปที่ลานประลองอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าเช่นกัน

เมื่อทั้งสองประจำที่แล้ว หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินจึงประกาศว่า “เริ่มการประลองได้!”

ฉู่เหล่ากับมู่เหล่าจ้องมองหน้ากันบนลานประลองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมู่เหล่าก็กล่าวว่า “ฉู่เฟิง อยู่ในแดนซวนเทียนข้าไม่มีโอกาสได้ประลองฝีมือกับเจ้า ตอนนี้ถึงเวลาประลองฝีมือกับเจ้าแล้ว เรามาดูกันว่าระหว่างเจ้ากับข้า ผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่ากัน”

“ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าสุนัขรับใช้ขององค์หญิงหลินหลางบุตรสาวของอัจฉริยะแห่งแดนซวนเทียนนั้นจะมีความสามารถเพียงใด”

ทันทีที่กล่าวจบ ทั้งสองก็ระเบิดพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา!

ปัง! พลังของทั้งสองปะทะกัน แม้จะมีค่ายกลป้องกันของแท่นประลองต้านทานอยู่ แต่ทุกคนก็รับรู้ได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้

อาวุธรบของฉู่เหล่าคือกระบี่โค้ง ส่วนอาวุธรบของมู่เหล่าคือค้อนเหล็ก!

ชั่วพริบตาเดียวอาวุธรบของทั้งสองก็ได้ปะทะกันหลายต่อหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน!

แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!

ลมอันน่าสะพรึงกลัวได้ก่อตัวเป็นพายุบนลานประลอง พุ่งกระแทกค่ายกลป้องกันของลานประลอง

ทุกคนร่นตัวถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เชื่อมั่นในค่ายกลป้องกันของแคว้นเทพฟ้านอินหรอกนะ แต่เป็นเพราะพลังที่พวกเขาโจมตีกันนั้นมันน่ากลัวเกินไปแล้วจริง ๆ

ดูเหมือนว่าฉู่เหล่ากำลังเข้าใกล้ตัวมู่เหล่าแล้ว กระบี่โค้งเล่มนั้นพุ่งเข้าไปหมายจะฟันไปที่คอของมู่เหล่า!

และในตอนนี้ค้อนเหล็กของมู่เหล่าก็พุ่งโจมตีกลับมาอย่างโหดเหี้ยมจนร่างของฉู่เหล่ากระเด็นลอยออกไป

สีหน้าของฉู่เหล่าดุดันขึ้น เจ้าหมอนี่รับมือได้ยากเสียจริง!

มู่เหล่ากล่าว “สุนัขรับใช้ขององค์รัชทายาทเป่ยกง ฝีมือก็งั้น ๆ! แต่ก็จริงนะ เจ้าก็เป็นเพียงแค่สุนัขรับใช้ขององค์รัชทายาทเป่ยกงที่ไม่ค่อยมีตัวตนสักเท่าไหร่ แม้แต่หน้าตาขององค์รัชทายาทเป่ยกงเจ้าก็คงจะไม่มีโอกาสเคยเห็น”

มู่เฉียนซีมั่นใจว่าฉู่เหล่าผู้นี้ต้องไม่เคยเห็นเป่ยกงจั๋วมาก่อนแน่นอน มิเช่นนั้นตอนที่เห็นหน้าเสี่ยวไป๋เขาต้องรีบคุกเข่าลงแล้ว

มู่เหล่ากล่าววาจาจี้จุดเจ็บของฉู่เหล่า ฉู่เหล่าเองก็ไม่ยอมเหมือนกันจึงตอบโต้ไปว่า “แล้วเจ้าคิดว่าตัวเองได้รับความพึงพอใจมากพอที่จะได้เห็นองค์หญิงหลินหลางอย่างนั้นเหรอ?”

ทั้งสองจ้องหน้ากันด้วยสายตาดุดัน และต่อสู้ประมือกันอย่างไม่อาจแยกจากกันได้

เซียวเหยากล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “นายท่าน นายท่านคิดว่าใครจะเป็นผู้ชนะ?”

สีหน้าของมู่เฉียนซีเคร่งขรึมขึ้น “ยาลูกกลอนที่ตำหนักตงจี๋สนับสนุนให้ผู้ประลองนั้นเทียบของเราไม่ได้แน่นอน หากฉู่เหล่าพยายามอย่างสุดกำลัง มู่เหล่าก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาก็ได้!”

“เพียงแต่ว่า…”

“เพียงแต่อันใดรึขอรับ?”

“หากมู่เหล่าสู้อย่างสุดชีวิตแล้วละก็ ชีวิตอันมีค่าของฉู่เหล่าก็จบสิ้นแน่นอน”

มู่เฉียนซีไม่มีความมั่นใจต่อคนที่เป่ยกงจั๋วส่งมาเลย

คนของมู่หลินหลางพร้อมที่จะบุกน้ำลุยไฟเพื่อช่วยให้องค์หญิงของพวกเขาได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไปครอง แต่คนของเป่ยกงจั๋วดูเหมือนจะไม่ได้เสียสละถึงเพียงนั้น

กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ซีเอ๋อร์ หากฉู่เหล่ากล้าแพ้! ก็อย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปอยู่ข้างกายเป่ยกงจั๋วเลย”

เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด ต่อสู้กันจนถึงวินาทีสุดท้าย ยาลูกกลอนฟื้นฟูพลังวิญญาณของมู่เหล่าไม่สามารถฟื้นฟูความเร็วให้เขาได้เลย

มู่เหล่าสบถด่าออกมาว่า “นี่ตำหนักตงจี๋เอายาลูกกลอนกระจอก ๆ อะไรมาให้ข้า ดินแดนสี่ทิศสมกับที่เป็นดินแดนชั้นต่ำจริง ๆ!”

ไป๋อู๋ห่ายเองก็รู้สึกผิดมาก! นี่เป็นยาลูกกลอนที่ดีที่สุดที่เขาหามาได้แล้ว

ส่วนฉู่เหล่ารู้สึกสบายตัวมาก พลังวิญญาณของเขาฟื้นฟูกลับมาได้เร็วมาก ต่อให้ได้รับบาดเจ็บเขาก็สามารถห้ามเลือดได้อย่างรวดเร็ว

ยาลูกกลอนที่เขาเคยกินมาก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยได้ผลดีเท่านี้มาก่อนเลย

หากจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ก่อนกลับไป เห็นทีเขาจะต้องขอยาลูกกลอนจากกู้ไป๋อีให้มากสักหน่อย

การต่อสู้ในช่วงหลัง มู่เหล่าเสียพลังไปเยอะมาก

เขารู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจะแพ้ไปเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ครั้งนี้เขาต้องเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์กลับไปให้พระนางให้จงได้

ดวงตาคู่นั้นของมู่เหล่าแดงก่ำขึ้น พลังในร่างกายก็เริ่มรุนแรงขึ้นแล้ว เขาเริ่มต่อสู้ด้วยชีวิต!

ฉู่เหล่าเองก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น “นี่เจ้าบ้าไปแล้วรึไง!”

เผชิญหน้ากับการต่อสู้ด้วยชีวิตเช่นนี้ ต่อให้ฉู่เหล่ามียาลูกกลอนมากมายเพียงใดก็ทำให้เขาตื่นตระหนกได้เช่นกัน

“วันนี้ ข้าจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด!”

ตูม เปรี้ยง ปรี้ยง!

คนหนึ่งต่อสู้ด้วยชีวิต อีกคนหนึ่งกลับแค่พยายามอย่างสุดความสามารถ เดิมทีฉู่เหล่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ตอนนี้กลับเสียเปรียบโดยสิ้นเชิง

ฉู่เหล่าแค่มาช่วยเท่านั้น ไม่ได้คิดจะเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อกองกำลังระดับสามเลยแม้แต่น้อย

สีหน้าของกู้ไป๋อีทวีความเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อย ๆ เขากล่าวด้วยความเย็นชาว่า “ฉู่เหล่า หากเจ้ากล้ายอมแพ้ ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้!”

ฉู่เหล่ารู้สึกเย็นวาบด้านหลังขึ้นไปถึงก้นบึ้งของหัวใจทันที

เขาจึงกัดฟันสู้อีกครั้ง!

การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด เสียง ปัง! ปัง! ดังสนั่นขึ้นสองครั้ง พวกเขาทั้งสองล้มลงไป กระอักเลือดข้นคลั่กออกมาหนึ่งครั้ง เรี่ยวแรงจะลุกนั่งหดหาย สุดท้ายก็หมดสติไปทั้งสองฝ่าย

ทุกคนล้วนเงียบงัน หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินจึงเริ่มนับ “หนึ่ง สอง สาม!”

ทั้งสองไม่มีการตอบสนองหรือเคลื่อนไหวใด ๆ หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินจึงตัดสินประกาศผลว่า “การประลองสนามแรก เสมอกัน!”

เสมอกัน! ไป๋อู๋ห่ายได้ยินเช่นนี้ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้น

ต่อให้บุตรสาวของตนเองจะเอาชนะมู่เฉียนซีได้ แต่สุดท้ายก็ต้องเสมอกันอยู่ดี ผลลัพธ์นี้ไม่เป็นไปดั่งความต้องการของเขา

แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีทางอื่นแล้ว

กู้ไป๋อีกับมู่เฉียนซีกลับรู้สึกดี ตราบใดที่ยังไม่แพ้ ก็นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลว

มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ อวิ๋นซิวยืนยันที่จะประลองกับเจ้า นั่นหมายความว่าเขามีความมั่นใจมาก เจ้าต้องระวังตัวให้มาก การประลองสนามสุดท้ายยังมีข้าอยู่”

กู้ไป๋อีกล่าว “ข้าจะเอาชัยชนะมาให้เจ้า!” เขาไม่อยากให้ซีเอ๋อร์มีความกดดันมากนัก อย่างไรเสียไป๋เหยียนเอ๋อร์ผู้นั้นก็ไม่ใช่ไป๋เหยียนเอ๋อร์จริง ๆ เพราะร่างของนางมีวิญญาณของหมิงจีสถิตอยู่