บทที่ 1193 ทรงพลังและไร้เทียมทาน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,193 ทรงพลังและไร้เทียมทาน

เมื่อเห็นเจี๋ยหร่าประมุขน้อยแห่งสำนักหนามทมิฬปรากฏตัว ผู้สังเกตการณ์หลายคนก็รู้แล้วว่าเหตุการณ์ครั้งนี้บานปลายเกินคาดคิด

เนื่องจากเจี๋ยหร่ามีอีกหนึ่งสถานะเป็นถึง…

ยอดฝีมืออันดับสามในกลุ่มนักรบเทวะห้าอันดับแรกประจำแดนตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเยี่ยเฉิง

เขาคือนักรบที่ทรงพลัง

นอกจากเป็นนักรบเทวะที่ทรงพลังแล้ว เด็กหนุ่มยังเป็นหัวหน้าสำนักอันธพาลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งประจำเขตพื้นที่ระดับ 3 ส่วนตัวเขาเองอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ระดับ 2 ยากนักที่เจี๋ยหร่าจะลงมาจัดการเรื่องราวถึงที่นี่

ปรากฏว่าหรานจื่อชุนคงมีสถานะในสำนักหนามทมิฬใหญ่โตไม่เบา มิฉะนั้น ประมุขน้อยของพวกมันก็คงไม่ต้องออกโรงเองเช่นนี้

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

กำแพงที่กั้นรอบบริเวณของโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยพังทลายลง

สมาชิกสำนักอันธพาลที่สวมใส่ชุดเครื่องแบบสีดำพากันกรูเข้ามา

วูบ! วูบ! วูบ!

เงาร่างคนเคลื่อนไหววูบวาบ

บรรดาสมาชิกสำนักอันธพาลระดับสูงถือธนูและหน้าไม้ปิดล้อมรอบกำแพงและบนหลังคาไม่ต่างไปจากวิญญาณร้ายในความมืด ธนูและหน้าไม้ของพวกมันต่างก็เล็งเป้าตรงมาที่หลินเป่ยเฉิน

ในเวลาเดียวกันนี้ กระบี่ก็ได้ถูกชักออกมาจากฝัก

กลุ่มชาวบ้านที่อยู่ในกระท่อมตั้งศพรีบหลีกหนีไป

ประมุขน้อยเจี๋ยหร่าเดินเข้ามาอย่างแช่มช้า

ด้านหลังเขาติดตามมาด้วยสามเทพาจารย์และเก้าผู้อาวุโสใหญ่ แต่ละคนมีรังสีอำมหิตดุดัน เพียงปรากฏตัวขึ้นมา ก็ทำให้บรรยากาศในกระท่อมตั้งศพเปลี่ยนไปทันที

“ท่านประมุข!”

เมื่อเห็นโฉมหน้าของเจี๋ยหร่า บรรดาผู้คนที่ถูกจับหักขามานั่งคุกเข่าอยู่หน้าโลงศพก็พร้อมใจกันร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

มีคนมาช่วยเหลือพวกมันแล้ว

พวกมันปลอดภัยแล้ว

“ฮ่า ๆๆ…”

หรานจื่อชุนผู้ที่ใบหน้าถูกทุบตีจนบวมช้ำไปเกินครึ่ง แม้จะไม่สามารถพูดอะไรได้ แต่ก็ยังสามารถระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเหยียดหยาม

หลินเป่ยเฉินยังคงมีสีหน้าเย็นชา

ฮันลั่วเซวี่ยไม่ได้ขอร้องอ้อนวอนให้หลินเป่ยเฉินหลบหนีไปไหนอีก

แม้นางจะตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว หอบหายใจออกมาถี่กระชั้น หัวใจเต้นรัวเร็ว ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ แต่นางก็ยังก้าวออกมาข้างหน้าด้วยฝีเท้ามั่นคงและกล่าวว่า “นี่…นี่คือเรื่องราวของตระกูลฮัน พวกท่านเป็นคนนอก…”

เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย

วูบ!

ลำแสงสีดำสายหนึ่งก็พุ่งผ่านอากาศ

เป็นกระบี่เล่มหนึ่ง

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นคว้าจับกระบี่เล่มนั้นไว้ได้ทันเวลาและเขาก็กำมืออย่างแรง

กระบี่ในมือเขาพลันแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย

เศษกระบี่ร่วงกราวลงสู่พื้นดิน

เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าของประมุขน้อยเจี๋ยหร่าก็เกิดความเปลี่ยนแปลง เขายกมือโบกสะบัดแผ่วเบา

กู่ถัวผู้มีฉายาว่า ‘เทวะกระบี่บิน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าผู้อาวุโสใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านหลังเจี๋ยหร่ารีบเก็บกระบี่เล่มอื่น ๆ ของตนเองลงทันที

แต่ชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำที่มีใบหน้ายาวเหมือนม้าผู้นี้ก็ยังจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเย้ยหยัน

“เจ้าคือคนที่ทำร้ายคนของข้าใช่หรือไม่?”

เจี๋ยหร่าใช้สายตาสำรวจมองหลินเป่ยเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นี้จะมีความแข็งแกร่งเหมือนที่ตนเคยได้ยินมา

เป็นไปได้อย่างไรที่ยอดฝีมือหน้าตาดีเช่นนี้อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ระดับ 3 โดยที่ไม่มีผู้ใดในแดนพายัพล่วงรู้มาก่อน

‘เจ้าเป็นใคร เอ่ยนามของเจ้าออกมาซะ’

ใบหน้าของหลินเป่ยเฉินยังคงแสดงออกถึงความเย็นชาราวกับทะเลสาบน้ำแข็ง เขาตวัดนิ้วเขียนข้อความในอากาศถามออกไปเช่นนั้น

“นี่คือท่านประมุขของเรา ท่านเป็นนักรบเทวะขั้น 4 จากตระกูลใหญ่แห่งเผ่าเทพพงไพร เจ้าหนู หากเจ้ารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ก็จงรีบคุกเข่าร้องขอความเมตตาเสียเดี๋ยวนี้ ท่านประมุขของเราอาจจะให้รางวัลเจ้าโดยไม่ต้องตกตายอย่างทรมานมากเกินไป”

เจิ้งซานถง หนึ่งในเก้าผู้อาวุโสใหญ่เขียนข้อความตอบกลับมา

เขาเคยถูกหมัดทมิฬของหลินเป่ยเฉินเล่นงานจนใบหน้าบวมปูด นั่นถือเป็นการสูญเสียศักดิ์ศรีครั้งยิ่งใหญ่ บัดนี้จึงได้เวลาที่เจิ้งซานถงจะเอาคืนบ้างแล้ว

‘พวกเจ้ามาที่นี่กันหมดสำนักแล้วใช่หรือไม่?’

หลินเป่ยเฉินเขียนข้อความสอบถามต่อไป

ดวงตาที่เป็นประกายระยิบระยับของเขากวาดมองรอบบริเวณ

ขณะนี้ สำนักหนานทมิฬยกกำลังพลมามากกว่าหกร้อยคน ทุกคนล้วนสวมใส่ชุดเกราะสีดำทมิฬ

ว่าอย่างไรนะ?

ประมุขน้อยเจี๋ยหร่าตะลึงลาน

ทันใดนั้น ข้อความประโยคใหม่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน ‘ในเมื่อพวกเจ้ามาที่นี่กันทั้งสำนักแล้ว ข้าจะใช้หัวของพวกเจ้าเป็นสิ่งของสักการะศพของท่านผู้เฒ่าฮันเดี๋ยวนี้’

เขียนจบ

ร่างของหลินเป่ยเฉินก็พุ่งเป็นลำแสงราวกับลูกธนูสีขาว

วูบ!

รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด มวลอากาศปั่นป่วน

“รนหาที่ตายนัก”

ผู้อาวุโสใหญ่อันดับสี่ของสำนักหนามทมิฬเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ชักกระบี่ออกมาจากฝักและพุ่งเข้าหาหลินเป่ยเฉิน

“ตายซะเถอะ!”

หลินเป่ยเฉินคำรามเสียงดังสนั่นและกระแทกกำปั้นออกไป

พลั่ก!

ม่านโลหิตโปรยปรายลงมาราวกับสายฝน

ร่างของผู้อาวุโสอันดับสี่ระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด

จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินลงมืออย่างต่อเนื่องตรงหน้าเจี๋ยหร่า

ดวงตาของเจี๋ยหร่าปรากฏความขุ่นมัวขึ้นมาแล้ว

วูบ! วููบ! วูบ! วูบ!

เถาวัลย์ขนาดใหญ่สี่เส้นที่มีลักษณะไม่ต่างไปจากอสรพิษร้ายผุดขึ้นมาจากพื้นดินและรัดพันแขนขาของหลินเป่ยเฉินอย่างไม่มีสัญญาณเตือน

นี่คือหนึ่งในวิชาเวทมนตร์ที่เรียกว่าวิชาเถาวัลย์สายฟ้า

เป็นกระบวนท่าการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของเจี๋ยหร่า

เถาวัลย์ของเขามีความแข็งแกร่งไม่ต่างจากเหล็กกล้า แต่กลับสามารถปรับตัวได้ยืดหยุ่นไม่ต่างจากเส้นเชือก และมีความคล่องแคล่วราวกับอสรพิษ นอกจากนี้ บนเถาวัลย์ยังมีหนามแหลมสำหรับเจาะทะลุร่างกายของเป้าหมายเพื่อฉีดพิษร้ายเข้าไปอีกด้วย!

ว่ากันว่าเมื่อถูกเถาวัลย์ของเจี๋ยหร่ารัดพัน ก็ไม่มีผู้ใดสามารถรอดพ้นความตายได้อีก

“ฆ่ามัน”

เจี๋ยหร่าโบกมือวูบ

แล้วกำลังพลของสำนักหนามทมิฬที่อยู่โดยรอบก็กระชับกระบี่ในมือพุ่งออกไป

“พวกเจ้านี่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริง ๆ”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ ใช้สองมือจับเถาวัลย์เหล็กแนบแน่น พยายามอยู่เพียงไม่นาน เถาวัลย์เหล็กก็ขาดสะบั้นออกจากกัน!

“นี่มันอะไรกัน…”

“เป็นไปไม่ได้”

“ไม่นะ…”

บรรดาสมาชิกสำนักหนามทมิฬที่อยู่ในรัศมีหกวาต่างก็ถูกเถาวัลย์โลหะในมือของหลินเป่ยเฉินเหวี่ยงฟาดแขนขาดขาขาดเลือดสาดกระจาย ตัวคนลอยกระเด็นออกไป กระดูกแตกหักละเอียด ในอากาศเต็มไปด้วยม่านหมอกเลือด

หลินเป่ยเฉินไม่ต่างไปจากหมาป่าใจโหดที่ก้าวเข้าสู่ฝูงลูกแกะและลงมือเข่นฆ่าอย่างบ้าเลือด

“เป็นไปได้อย่างไร?”

สีหน้าของเจี๋ยหร่าแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง

เด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นี้สามารถกระชากเถาวัลย์สายฟ้าของเขาขาดสะบั้นได้อย่างง่ายดาย

ไม่เคยมีผู้ใดสามารถทำได้มาก่อน

แต่เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้มีร่างกายกำยำล่ำสัน ท่าทางก็ไม่ได้แข็งแรงอะไรนัก เหตุไฉนจึงได้ทรงพลังถึงเพียงนี้?

เจี๋ยหร่าตอบโต้กลับไปอีกครั้ง

วูบ! วูบ! วูบ! วูบ!

เถาวัลย์โลหะชุดใหม่ผุดขึ้นมาจากใต้พื้นดินและพุ่งเข้าไปหาหลินเป่ยเฉินราวกับเป็นอสรพิษจากนรก

เห็นได้ชัดว่าวิชาเวทมนตร์ที่เจี๋ยหร่าใช้ออกมามีความแข็งแกร่งมากกว่าวิชาเวทมนต์ที่มือสังหารในตรอกร้างเคยใช้โจมตีใส่หลินเป่ยเฉินหลายเท่า

แต่สำหรับเขา นี่ไม่ได้เป็นปัญหาแม้แต่น้อย

หลินเป่ยเฉินเตรียมตัวอยู่นานแล้ว เขากระทืบเท้าลงไปบนพื้นดินอย่างรุนแรง

แล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น

พื้นดินเกิดรอยแตกร้าวราวกับผิวน้ำที่เกิดระลอกคลื่น โดยมีเท้าขวาของหลินเป่ยเฉินเป็นศูนย์กลางของระลอกคลื่นเหล่านั้น ไม่ว่าระลอกคลื่นผ่านไปที่ใด เถาวัลย์โลหะของเจี๋ยหร่าก็จะแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปทันที…

“เป็นไปได้อย่างไร?”

เจี๋ยหร่าอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง

ครั้งนี้ เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริง ๆ

เพียงกระทืบเท้าครั้งเดียว เจ้าเด็กใบ้ก็สามารถทำลายการโจมตีของเขาได้สำเร็จ

หรือว่าเด็กใบ้ผู้นี้จะมาจากหนึ่งในหกตระกูลใหญ่ประจำแดนเทพเจ้าจริง ๆ?

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วราวกับลูกธนูหลุดออกจากแหล่งอีกครั้ง

วูบ! วูบ!

กระบี่บินได้หลายเล่มพุ่งเข้าไปหาหลินเป่ยเฉิน

นี่ย่อมเป็นการลงมือของเทวะกระบี่บิน กู่ถัว

กระบี่บินเหล่านั้นดูเบาหวิวไม่ต่างจากขนนก แต่พวกมันกลับมีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงยิ่งนัก

ทว่า หลินเป่ยเฉินเพียงยกมือขึ้นมาต่อยหมัดสวนกลับไป

กำปั้นของเขาปลดปล่อยกระแสลมออกมารุนแรงไม่ต่างจากมังกรสะบัดหาง

วูบ!

กระบี่บินเหล่านั้นไม่อาจต้านทานแรงลมลอยกระเด็นกลับไป

ฉึก! ฉึก! ฉึก! ฉึก! ฉึก!

พวกมันลอยกลับไปปักเข้าใส่ร่างของกู่ถัวผู้เป็นเจ้านายจนกลายเป็นมนุษย์เม่นตัวหนึ่ง

“อั่ก อั่ก อั่ก…”

กู่ถัวกระอักเลือดออกมาจากปาก ดวงตาเบิกโตด้วยความเหลือเชื่อ

มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าช่องว่างระหว่างขั้นพลังของตนเองกับเด็กใบ้จะห่างชั้นกันถึงเพียงนี้

ทำไมมันถึงต้องโจมตีใส่เด็กใบ้ผู้นี้ด้วยนะ?

นี่ไม่ต่างจากการหาเรื่องพญามังกร

ความคิดสุดท้ายในชีวิตของกู่ถัวก็คือ ‘สำนักหนามทมิฬ’ ได้จบสิ้นลงแล้ว

พวกมันไปหาเรื่องศัตรูที่ไม่ควรหาเรื่อง ไม่มีผู้ใดในสำนักจะรับมือกับเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นี้ได้อีก

คนอื่น ๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น ก็รู้สึกหวาดกลัวไม่ต่างกัน