บทที่ 1194 ฆ่าล้างสำนัก

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,194 ฆ่าล้างสำนัก

ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกจากสำนักหนามทมิฬหรือบรรดามือกระบี่นักผจญภัยที่ซุ่มดูเหตุการณ์อยู่โดยรอบ ต่างก็ตกตะลึงและอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้

ทุกคนย่อมรู้ดีว่าประมุขน้อยเจี๋ยหร่าคือบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักหนามทมิฬ ไม่ว่าอย่างไรเรื่องราวในโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยวันนี้จะต้องจัดการได้อย่างราบรื่นแน่นอน

เดิมที พวกเขาเข้าใจว่าเมื่อเจี๋ยหร่าปรากฏตัวออกมา สถานการณ์จะต้องคลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว

แต่ที่ไหนได้ เหตุการณ์กลับบานปลายมาถึงขั้นนี้

เทวะกระบี่บินกู่ถัวตายไปพร้อมกับความหวาดกลัว

ทุกคนในสำนักหนามทมิฬย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินเป่ยเฉิน

พลั่ก!

หลินเป่ยเฉินกระแทกกำปั้นออกไปอีกครั้ง

หมัดของเด็กหนุ่มแหวกอากาศราวกับมังกรสะบัดหาง ไม่ว่าหมัดพุ่งผ่านไปที่ใด เหล่าลูกสมุนของสำนักหนามทมิฬที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้น ก็จะต้องตัวระเบิดแตกตายไปตาม ๆ กัน…

โดยเฉพาะเล่ยจวิน ‘อสูรขนเหล็ก’ หนึ่งในสามเทพาจารย์แห่งสำนักหนามทมิฬ

ต้องตายไปโดยที่ไม่เหลือแม้แต่กระดูกสักชิ้น

บรรยากาศที่น่าหวาดกลัวแผ่ปกคลุมทั่วลานด้านหลังโรงเตี๊ยม พื้นดินเกิดรอยแตกร้าวกินบริเวณกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ และขณะนี้ รอยแตกร้าวเหล่านั้นก็ลุกลามไปถึงท้องถนนเบื้องนอกแล้ว…

“ปีศาจ เด็กคนนี้เป็นปีศาจ”

หนึ่งในสามเทพาจารย์ที่ยังรอดชีวิตอยู่มีนามว่าจางหมิง บัดนี้กำลังตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ขวานคู่ซึ่งเป็นอาวุธคู่กายและเคยสังหารผู้คนมามากมายกลับมีน้ำหนักมากเกินกว่าจะถือไหวอีกแล้ว

“หยุดมันให้ได้”

ประมุขน้อยเจี๋ยหร่าร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “ใครก็ตามที่สามารถฆ่าเจ้าใบ้คนนี้ได้สำเร็จ ข้าจะมอบของรางวัลให้กับมันผู้นั้นเป็นศิลาเทวะห้าสิบก้อน…”

ทันใดนั้น บรรดาลูกสมุนของสำนักหนามทมิฬที่ตกตะลึงในความแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉินก่อนหน้านี้ พลันกลับมาได้สติกันอีกครั้ง

พวกมันกลายเป็นมดปลวกที่ไม่เข้าใจความแข็งแกร่งของพญามังกร พวกมันไม่สนใจอีกแล้วว่าหลินเป่ยเฉินจะแข็งแกร่งสักเพียงใด เมื่อมีของรางวัลมาล่อตาล่อใจ ต่อให้รู้ตัวว่าตนเองมีโอกาสตายสูง พวกมันก็ไม่หวั่น!

ในเวลาเดียวกันนี้ ประมุขน้อยเจี๋ยหร่าก็ระเบิดเสียงคำรามและควบคุมเถาวัลย์โลหะของตนเองพุ่งโจมตีออกไปอีกครั้ง

เถาวัลย์เหล่านั้นไม่ต่างจากอสรพิษทมิฬที่ผุดขึ้นมาจากนรกใต้พื้นดินและทะลวงออกมาจากกำแพงหิน โจมตีเข้าหาหลินเป่ยเฉินเป็นจุดเดียว

หลังจากนั้น เจี๋ยหร่าก็รีบพลิ้วกายหลบหนีโดยไม่ลังเล

นี่คือครั้งแรกที่ประมุขน้อยของหนึ่งในสามสำนักอันธพาลที่ใหญ่ที่สุดในเขตพื้นที่ระดับ 3 ต้องหลบหนี

บัดนี้ เขารู้ความจริงแล้ว

เจ้าเด็กใบ้น่ากลัวมากเกินไป!!

เจี๋ยหร่ารู้ว่าตนเองไม่อาจรับมือได้

ขืนสู้ต่อไปก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น

แต่หลินเป่ยเฉินจะเปิดโอกาสให้เจี๋ยหร่าหลบหนีได้อย่างไร?

ตู้ม!

เด็กหนุ่มย่อเข่าลงและดีดตัวขึ้นสูง

ตัวคนพุ่งเป็นลูกกระสุนปืนใหญ่ บรรดาลูกสมุนของสำนักหนามทมิฬที่อยู่ด้านหลังพากันล้มลงตายนับไม่ถ้วน

โลหิตฉีดพุ่งในอากาศ

วูบ!

ทันใดนั้น เกิดแสงสว่างระเบิดเจิดจ้า

แล้วร่างของเจี๋ยหร่าก็แปรเปลี่ยนเป็นเถาวัลย์ยักษ์เส้นหนึ่ง

วิชาแปลงกาย?

หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสามารถแปลงร่างกลายเป็นเถาวัลย์ขนาดใหญ่ยักษ์เส้นหนึ่งได้จริงๆ

นี่ก็คงต้องอาศัยพลังเวทมนตร์อีกเช่นกัน

น่าสนใจ

และในเวลาเดียวกันนั้น…

ร่างที่แท้จริงของประมุขน้อยเจี๋ยหร่ากลับไปปรากฏตัวอยู่ข้างกายฮันลั่วเซวี่ยและแขนของเขาก็กำลังโอบรัดรอบลำคอของบุตรสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมอยู่อีกด้วย

“หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดอยู่ตรงนั้น”

เจี๋ยหร่าจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินและตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน “หากเจ้าเข้ามาอีกแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะฆ่านาง”

หลินเป่ยเฉินทิ้งตัวกลับลงมายืนอยู่บนพื้นดิน ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับไม่ต่างจากคมกระบี่

“ข้าไม่มีเจตนาเป็นศัตรูกับเจ้า สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ สำนักหนามทมิฬผิดไปแล้ว พวกเรายินดีชดใช้ให้ทุกอย่าง ตราบใดที่เจ้าสัญญาว่าจะปล่อยพวกเราไป ข้าก็จะปล่อยนางไปเช่นกัน…”

ประมุขน้อยเจี๋ยหร่าพูดออกมาเสียงดัง

ต่อให้มีตัวประกันอยู่ในมือ เขาก็เลือกที่จะไม่กดดันหลินเป่ยเฉินเกินไปนัก

เนื่องจากเจี๋ยหร่าเกรงกลัวความแข็งแกร่งของเด็กใบ้ผู้นี้จริง ๆ

ขั้นพลังในการต่อสู้ระหว่างเขากับเจ้าเด็กใบ้นั้นยังต่างกันมาก เพราะฉะนั้น การที่มีตัวประกันอยู่ในมือจึงเป็นการรับประกันความปลอดภัยให้แก่เจี๋ยหร่าได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ เจี๋ยหร่าจึงเลือกที่จะเปิดฉากเจรจา

หลินเป่ยเฉินก้าวเดินเข้ามาอย่างแช่มช้า

‘พวกเจ้ายินดีชดใช้?’

‘คนตายแล้วสามารถฟื้นคืนกลับขึ้นมาได้หรือไม่?’

‘หากพวกเจ้าทำให้ท่านผู้เฒ่าฮันสามารถฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาได้ ข้าก็จะปล่อยสำนักหนามทมิฬของพวกเจ้าไป แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ข้าก็คงมีแต่ต้องกวาดล้างพวกเจ้าให้หมดสำนักเท่านั้น’

ข้อความจากปลายนิ้วมือของหลินเป่ยเฉินปรากฏขึ้นในอากาศ

ลักษณะไม่ต่างไปจากฉากในการ์ตูนที่เขาเคยอ่านในชาติภพที่แล้ว ดูแปลกประหลาดและมีมนต์ขลังอย่างยิ่ง

“เจ้าอย่าได้บังคับข้า”

ประมุขน้อยเจี๋ยหร่ามีแววตาเป็นประกายดุร้ายขึ้นมา

ถึงอย่างไร เขาก็มีตำแหน่งเป็นจ้าวสำนัก

หากถูกกดขี่ข่มเหงมากเกินไป สู้ตายเสียยังดีกว่า

หลินเป่ยเฉินไม่ว่าอะไรอีก

ในเวลาเดียวกันนี้ ที่ด้านนอกกำแพง

คนขับรถม้าผู้นั่งขัดสมาธิเฝ้าดูสถานการณ์ด้วยความเยือกเย็นแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาและส่ายศีรษะเล็กน้อย กล่าวว่า “นับเป็นพลังที่น่ากลัวนัก เด็กผู้นี้มาจากตระกูลนักรบเทวะใช่หรือไม่? ด้วยระดับพลังอันสูงเช่นนี้ คงเทียบได้กับขั้น 7 แล้วกระมัง…”

“อย่างน้อยก็ขั้น 9 บางทีอาจถึงขั้นยอดนักรบแล้วก็เป็นได้”

เสียงสตรีที่อยู่ในรถม้าดังตอบกลับมา “เพียงน่าเสียดายที่ขาดประสบการณ์ต่อสู้ไปเล็กน้อย มิเช่นนั้น หากนำมาเทียบกับเจ้าตัวโสโครกน้อยอย่างเจี๋ยหร่า เด็กใบ้ผู้นี้ยังนับว่ามีประโยชน์มากกว่ากันหลายเท่า…”

เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย

“อ๊ากกก…”

เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น

ในลานด้านหลังโรงเตี๊ยมเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดขึ้นอีกครั้ง

เสียงกรีดร้องนั้นดังออกมาจากปากของประมุขน้อยเจี๋ยหร่า แขนของเขาที่โอบรัดรอบลำคอของฮันลั่วเซวี่ยถูกฟันขาดตั้งแต่หัวไหล่ด้วยฤทธิ์ของลำแสงกระบี่…

พร้อมกันนั้น ขาทั้งสองข้างก็ถูกตัดขาดเช่นกัน

เจี๋ยหร่าสูญเสียการทรงตัว ล้มลงดิ้นทุรนทุรายบนพื้นดิน

แต่น่าแปลกที่ไม่มีโลหิตไหลซึมออกมาจากบาดแผลของเขาเลย

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง

ฮันลั่วเซวี่ยได้สติรีบฉุดดึงมารดาของตนเองถอยไปยืนอยู่ด้านหลัง

ทันใดนั้น เงาร่างคนพุ่งเป็นลำแสง

หลินเป่ยเฉินกลับมายืนอยู่ข้างกายฮันลั่วเซวี่ยอีกครั้ง

“เขาใช้พลังเวทมนตร์อันใดกัน?”

คนขับรถม้าอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง

“ไม่… นี่ไม่ใช่พลังเวทมนตร์… แต่มีคนลอบลงมือช่วยเหลือเจ้าเด็กใบ้” สตรีที่อยู่ในห้องโดยสารของรถม้ากล่าวออกมาช้า ๆ “ปรากฏว่ายังมีคนคอยอารักขาเขาอยู่อีกผู้หนึ่ง”

ในลานด้านหลังโรงเตี๊ยม

“ช้าก่อน ฟังข้าก่อน…”

ประมุขน้อยเจี๋ยหร่าขอร้องอ้อนวอนด้วยความเจ็บปวดทรมาน

แต่หลินเป่ยเฉินไม่มีความเมตตาอีกแล้ว

ป๊อก!

เขายกมือดีดนิ้ว

พลัน ลำแสงกระบี่พุ่งทะลวงศีรษะของเจี๋ยหร่า

ประมุขน้อยแห่งสำนักหนามทมิฬตายแล้ว

โลหิตไหลทะลักย้อมพื้นดินราวกับต้องการจะล้างบาปที่เคยเกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้

“ท่านเจ้าสำนัก…”

เมื่อสมาชิกสำนักหนามทมิฬที่ยังเหลืออยู่เห็นดังนั้น พวกมันก็ต้องอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ

หลังจากนั้น พวกมันก็หันหลังวิ่งหนีไป

ไม่ต่างจากมดดำแตกรัง

‘ข้าบอกว่าจะให้พวกเจ้ามาช่วยฝังศพท่านผู้เฒ่าฮันก่อนไม่ใช่หรือ?’

กลุ่มตัวอักษรปรากฏขึ้นในอากาศอีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินลงมือด้วยความเย็นชา

ผ่านไปชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย

รอบโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยเต็มไปด้วยซากศพไร้ชีวิต โลหิตเนืองนองราวกับสายน้ำ

ลูกสมุนของสำนักหนามทมิฬถูกฆ่าตายหมดสิ้น

เหลือเพียงผู้อาวุโสเจิ้งซานถงเท่านั้นที่ยังนั่งคุกเข่าอุ้มแมวสามหางตัวสั่นเทาอยู่ท่ามกลางพื้นดินที่เจิ่งนองไปด้วยโลหิต และพยายามพูดออกมาด้วยความหวาดกลัวว่า “ข้าน้อยผิดไปแล้ว ได้โปรดอย่าสังหารข้าน้อยเลย ข้าน้อย…”

วูบ!

ลำแสงกระบี่พุ่งทะลวงศีรษะ

“เหมียว”

เจ้าแมวสามหางรีบกระโดดออกมาจากอ้อมแขนเจิ้งซานถงอย่างมีความสุข

แม้มันจะเป็นแมวอสูรที่มีร่างกายแข็งแรง แต่การถูกบีบรัดโดยเจิ้งซานถงทุกวันทุกคืนก็สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่เจ้าแมวน้อยเป็นอย่างยิ่ง มันไม่กล้าหลบหนี ยิ่งไม่กล้าขัดขืน เพียงทำได้อย่างเดียวคือเสแสร้งแกล้งทำตัวน่ารักเพื่อความอยู่รอด…

ในที่สุด วันนี้มันก็ได้เป็นอิสระแล้ว

ต้องขอบคุณหลินเป่ยเฉินจริง ๆ

เมื่อสังหารคนของสำนักหนามทมิฬหมดสิ้น หลินเป่ยเฉินก็หมุนตัวเดินกลับไปหาหรานจื่อชุนอีกครั้ง

“คราวนี้จะมีผู้ใดมาช่วยเจ้าอีกหรือไม่?”

กลุ่มตัวอักษรปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหรานจื่อชุน

ชายฉกรรจ์เบิกตาโต หัวใจกระตุกวูบ

เขาไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าเด็กใบ้จะมีความแข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถกวาดล้างสำนักหนามทมิฬได้ด้วยสองมือเปล่าเช่นนี้

หากรู้ว่าเจ้าเด็กใบ้เป็นพญามังกรซ่อนเล็บ หรานจื่อชุนก็คงไม่คิดยุ่งเกี่ยวด้วยตั้งแต่แรก

“ข้า…”

หรานจื่อชุนตัวสั่นเทา ฟันกระทบกันดังกึกกึก สีหน้าไม่ปรากฏความดุร้ายและเย้ยหยันเช่นก่อนหน้านี้อีก เพราะมันหลงเหลือเพียงความหวาดกลัวแสดงออกมาเท่านั้น