หลังจากสัมผัสถึงน้ำหนักของเครื่องประดับทองคำรูปนกในมือ ไคลน์รีบกลับสู่โลกความจริง สุ่มเลือกที่โล่ง จัดแท่นบูชาและประกอบพิธีกรรมสังเวย
สำหรับความลับอื่นที่ซ่อนอยู่ในเมืองแห่งความตาย กัลเดรอน รวมถึงแม่น้ำอันธการนิรันดร์และร่างคลุมเครือที่เดินเตร็ดเตร่ ไคลน์ไม่มีความคิดที่จะขุดคุ้ยในตอนนี้ เพราะมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ และยังมีคำถามสำคัญที่อยากฟังคำตอบจากปากเทพธิดารัตติกาล
เพียงไม่นาน พิธีกรรมดำเนินไปอย่างลุล่วง แสงเทียนผสานเข้ากับวัตถุดิบวิญญาณจนกลายเป็นบานประตูแห่งการสังเวย
โดยไม่ลังเล ไคลน์รีบวางเครื่องประดับทองคำรูปนกท่ามกลางสายลมพัดผ่าน ปล่อยให้มันลอยเข้าไปในบานประตูมายาที่บรรจงเปิดออก หายไปท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ก้นบึ้ง
วินาทีถัดมา มันตระหนักรู้ว่าตนถูกลากเข้ามาในความฝัน
ใจกลางความฝันคือวังสไตล์โกธิกที่เกือบเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดโดยรอบ รายละเอียดวิจิตรงดงาม สีสันค่อนข้างเข้ม
ไคลน์เดินผ่านกอวานิลลารัตติกาล ผ่านกอบุปผาหลับใหล จนกระทั่งเข้าไปในวัง
ในส่วนลึกของห้องโถง เทพธิดารัตติกาลกำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงทรงโบราณ ยังคงแต่งกายในเดรสยาวสีดำหลายชั้นแต่เรียบง่าย
ประกายแสงบนเดรส สอดประสานกับความแวววาวบนผนังและหลังคาโดม เกิดเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันสุขสงบและชวนฝัน
เทพธิดารัตติกาลซึ่งใบหน้าถูกปกคลุมด้วยผ้าโปร่งหลายชั้น ถือเครื่องประดับทองคำรูปนกพลางบรรจงลุกขึ้นยืน และเดินลงจากบันไดมาหยุดลงตรงหน้าไคลน์
เสียงของเธอฟังดูเหมือนบทเพลงขับกล่อม
“คุณอยากทราบในเรื่องใด”
ไคลน์ถอนหมวกทรงสูงอย่างมีมารยาท คำนับศีรษะลงพลางกล่าว
“ผมอยากทราบว่า หมอกสีเทาอ่อนที่ปกคลุมแม่น้ำอันธการนิรันดร์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชันเร้นลับหรือไม่”
ในความหมายของมันคือ ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค
แม้จะมองเห็นใบหน้าของเทพธิดารัตติกาลได้ไม่ชัดเจน แต่กลับสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้ม
“ถูกต้อง และมิใช่แค่แม่น้ำอันธการนิรันดร์ที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเทา แต่ยังรวมถึงเมืองประตูในท่าเรือแบนชี และทวีปตะวันตกทั้งหมด”
ไคลน์ลังเลสักพักก่อนจะถาม
“มันคือผนึก?”
ภาพฉายความฝันของเทพธิดารัตติกาลผงกศีรษะ
“ถูกต้อง ยกเว้นเพียงปราสาทต้นกำเนิดและทะเลแห่งความโกลาหล แก่นแท้แห่งต้นกำเนิดอื่นๆ ล้วนถูกผนึกไว้ในทวีปตะวันตกโดยฝีมือราชันเร้นลับ”
ทั้งแม่น้ำอันธการนิรันดร์ รังมารดา เมืองแห่งหายนะ โลกเงามืด แคว้นแห่งความยุ่งเหยิง ดินแดนรกร้างแห่งความรู้ และกุญแจแห่งแสง ทั้งหมดล้วนถูกราชันสวรรค์ฟ้าดินผนึกไว้ในทวีปตะวันตก? ไม่มากไปหน่อยหรือ? ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนี้… เข้าใจแล้วว่าทำไมเมืองหลังประตูในท่าเรือแบนชีถึงได้เหมือนเซี่ยงไฮ้นัก… มันคือ ‘เมืองแห่งหายนะ’ ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างโลกความจริงกับแบนชี… ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็เป็นผลจากการถูกผนึก? ไคลน์ตกตะลึงปนประหลาดใจ
ในตอนที่เห็นเมืองด้านหลังประตูแบนชีเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มสงสัยว่านั่นต้องเกี่ยวข้องกับทวีปตะวันตก และจากข้อมูลที่ได้รับ แบนชีเคยเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของตระกูลเทวทูตสีชาดเมดีซี จึงชวนให้คิดว่า ด้านหลังประตูอาจเป็นหนึ่งในแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด เมืองแห่งหายนะ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ไคลน์ถอนหายใจโดยไม่ปิดบังความรู้สึก
“พลังของราชันเร้นลับอยู่เหนือจินตนาการผมไปมาก… วันวานผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งถูกเรียกว่าหนึ่งในเสาหลักของจักรวาลรายนี้ ร่วงหล่นไปอย่างเงียบงันได้อย่างไร?”
ภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลส่ายหน้า
“ก็ไม่ได้เงียบขนาดนั้น… จากข้อมูลที่รวบรวมมาได้ เราสามารถอนุมานได้ว่า เขาร่วงหล่นไปพร้อมกับ ‘พระเจ้า’ โบราณ… ศพของ ‘พระเจ้า’ ก่อตัวเป็นศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่งในทะเลแห่งความโกลาหล และใกล้กันคือเอกลักษณ์ของเส้นทางนักจารกรรม”
กล่าวคือ ในช่วงกลางยุคสมัยที่หนึ่ง ราชันเร้นลับและพระเจ้าต่อสู้กันอย่างดุเดือดแต่แทบไม่มีใครรับรู้ โดยสุดท้ายก็ร่วงหล่นกันไปทั้งคู่? ข้อมูลนี้สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดเทพสุริยันบรรพกาลถึงเดินออกจากทะเลแห่งความโกลาหล แถมยังเป็นผู้ครอบครอง หรือไม่ก็ปรองดองกับเอกลักษณ์ของเส้นทางนักจารกรรมซึ่งถูก ‘พระเจ้า’ โบราณฉีกออกจาก ‘ราชันเร้นลับ’ … ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ถามเจือความสงสัย
“พวกเขาฆ่ากันทำไม? ทั้งสองต่างเป็นเสาหลัก แถมยังอยู่คนละเส้นทาง ไม่น่าจะมีความขัดแย้งใดที่มิอาจสะสางปัญหา”
เทพธิดารัตติกาลกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลและผ่อนคลาย
“การผนวกรวมคือสัญชาตญาณ… ยิ่งลำดับสูงขึ้น สัญชาตญาณก็ยิ่งรุนแรง… ราชันเร้นลับและพระเจ้าโบราณมิอาจหักห้ามสัญชาตญาณในการผนวกรวมเข้าด้วยกัน เพื่อกลายเป็นร่างอวตารของจักรวาลทั้งหมด นั่นคือสัญชาตญาณของพระผู้สร้างต้นกำเนิด”
ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งบ้า? นอกจากจะเจ้าเล่ห์ ทรงพลัง เฉลียวฉลาด ราชันสวรรค์ฟ้าดินยังมีมุมนี้ด้วย? ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะกล่าว
“โดยพื้นฐานแล้ว ราชันเร้นลับและพระเจ้าโบราณต่างก็เป็นด้านหนึ่งของพระผู้สร้างต้นกำเนิดใช่ไหม?”
ภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลเปล่งเสียงชวนให้ผ่อนคลาย
“จะถูกต้องกว่า หากเปรียบว่าเป็นคนเดียวกันแต่ต่างบุคลิก… พระผู้สร้างต้นกำเนิดคือผู้สร้างจักรวาล ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้สิ้นสุด เป็นกลางวัน เป็นกลางคืน เป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ เป็นขุมนรก เป็นความเลวทราม และเป็นการหลอมรวมของความขัดแย้งเชิงนามธรรมทั้งหมด… ดังนั้น พระองค์มีแนวโน้มที่จะแยกออกจากกันอย่างมิอาจเลี่ยง และเมื่อแยกออก จะเกิดแนวโน้มในการผนวกรวมที่รุนแรง… ในประวัติศาสตร์ซึ่งเก่าแก่กว่าที่พวกเราเคยอาศัย พระผู้สร้างต้นกำเนิดได้แบ่งออกเป็นหลายบุคลิกในสถานะหลับใหล แต่เริ่มมีการใช้อำนาจและตะกอนพลังภายใต้การควบคุมเพื่อสร้างอิทธิพลทางอ้อมไปทั่วโลก มีการจัดเตรียมมากมายสำหรับการแยกตัวอีกครั้งในวินาทีที่พระผู้สร้างต้นกำเนิดลืมตาตื่น”
เทพธิดาเว้นวรรค
“จากบรรดาทั้งหมด สองผู้ที่แข็งแกร่งและกระตือรือร้นที่สุดคือพระเจ้าและราชันเร้นลับ รายหลังยังมีอีกชื่อหนึ่งในทวีปตะวันตก… ในช่วงกลางและช่วงต้นของยุคสมัยที่หนึ่ง พวกเขาคงมีวิธีครอบครองแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดเพิ่มเติม และนั่นทำให้สัญชาตญาณการผนวกรวม ทวีความรุนแรงจนควบคุมไม่ได้ ลงเอยด้วยการห้ำหั่นกันเอง… จากการศึกษาของเทพสุริยันบรรพกาล สถานะ ‘เสาหลัก’ คือระดับสูงสุดที่สิ่งมีชีวิตจะคงสภาพจิตใจไว้ได้ หากวันวานตนใดก้าวข้ามเสาหลักไป ลำพังการครอบครองแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดมากกว่าหนึ่ง ก็มากพอจะทำให้ได้รับอิทธิพลจากสัญชาตญาณการผนวกรวมในระดับที่มิอาจย้อนกลับ”
เธอเว้นวรรค
“ส่วนคำถามที่ว่า รายละเอียดการต่อสู้เป็นเช่นไร ไม่มีใครที่ตอบได้ กระทั่งเจ็ดแสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณก็ไม่ทราบ เพียงได้ทราบว่า นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สองวันวานซึ่งถูกเรียกว่าเสาหลักได้หายตัวไปโดยสมบูรณ์ และแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดที่เหลือนอกจากทะเลแห่งความโกลาหลและปราสาทต้นกำเนิด ล้วนถูกปราสาทต้นกำเนิดผนึกไว้ในทวีปตะวันตก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกปกครองโดยราชันเร้นลับ… สถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างปัญหาร้ายแรงขึ้น นั่นก็คือ ก่อนที่ราชันเร้นลับและพระเจ้าคนใหม่จะปรากฏตัวเพื่อสลายผนึกของทวีปตะวันตก จะไม่มีลำดับ 0 คนใดในโลกสามารถกลายเป็นวันวานเพื่อต่อต้านเทพภายนอก… เมื่อวันสิ้นโลกขยับใกล้เข้ามา เหล่าเทพแท้จริงจึงไม่มีทางเลือกนอกจากบ่มเพาะราชันเร้นลับหรือพระเจ้าคนใหม่ โดยที่มีแนวโน้มว่า อดีตราชันเร้นลับและพระเจ้าจะตื่นขึ้นในร่างพวกเขา”
นี่มัน… เหตุผลที่ราชันสวรรค์ฟ้าดินจงใจผนึก ‘แก่นแท้แห่งต้นกำเนิด’ แห่งอื่นทั้งหมดนอกจากปราสาทต้นกำเนิด ก็เพื่อป้องกันมิให้เทพแท้จริงในอนาคตเพิกเฉยเส้นทางของตน จนอดีตราชันเร้นลับคืนชีพกลับมาไม่ได้? และเมื่อมีราชันเร้นลับคนใหม่ถือกำเนิด ก็มีโอกาสสูงที่ราชันสวรรค์ฟ้าดินจะคืนชีพในร่างโดยสมบูรณ์… ชั่วร้ายชะมัด… จากแง่มุมดังกล่าว เขาไม่กลัวที่จะมีใครล่วงรู้แผนนี้ ตรงกันข้าม ยิ่งรู้มากเท่าไรก็ยิ่งดี เพราะเมื่อวันสิ้นโลกใกล้เข้ามา เหล่าเทพแท้จริงก็จะถูกบีบให้ต้องบ่มเพาะราชันเร้นลับคนใหม่โดยเร็ว เพื่อที่แก่นแท้แห่งต้นกำเนิดบนทวีปตะวันตกจะได้ถูกคลายผนึกทันท่วงที และพวกตนจะได้มีเวลาทำความเคยชินก่อนเลื่อนเป็นวันวาน… ยิ่งครุ่นคิด ไคลน์ก็ยิ่งตระหนักว่า ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค’ นั้นเจ้าเล่ห์มากเพียงใด
ไคลน์ทำได้เพียงถอนหายใจ
“สมแล้วที่เป็นวันวานเสาหลัก ผู้สร้างความยากลำบากให้เทพแห่งตะเกียงได้…”
ไคลน์ถามต่อทันที
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมคุณถึงไม่สนับสนุนให้มีราชันเร้นลับถือกำเนิดในยุคสมัยที่สี่?”
อันที่จริง มันพอจะทราบคำตอบอยู่แล้ว เพราะถ้ายิ่งเวลาผ่านไป บุคลิกที่แตกต่างกันของพระผู้สร้างต้นกำเนิดอย่างราชันเร้นลับและพระเจ้าโบราณ ก็จะยิ่งสูญเสียความเข้มแข็งของเจตจำนง ยิ่งเข้าใกล้วันสิ้นโลกเพียงใดก็ยิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น ส่งผลให้ราชันเร้นลับและพระเจ้ารุ่นใหม่มีโอกาสต่อสู้ขัดขืนได้มากขึ้น หากโชคดีก็อาจไม่สูญเสียความเป็นตัวเองไป
นั่นคือเหตุผลที่อาดัมยืดเวลามาจนถึงปัจจุบัน จึงค่อยเลื่อนลำดับเป็นนักสร้างฝัน
ภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ในเวลานั้น อามุนด์และเบเทลไม่เต็มใจ พวกเขาทั้งคู่ต้องการเตรียมตัวให้พร้อมเสียก่อน อยากเสี่ยงในช่วงที่ใกล้กับวันสิ้นโลกมากกว่า… ในส่วนของซาลินเจอร์ เขาคิดจะใช้แม่น้ำอันธการนิรันดร์ทางอ้อมโดยการหลอมรวมเข้ากับเอกลักษณ์ของนักบวชสีชาด สร้างเส้นทางวันวานใหม่ขึ้นมาเป็นของตัวเอง แต่ผลลัพธ์ก็คือ เขาเสียสติทันที จนไม่สามารถยับยั้งความปรารถนาที่จะผนวกรวมกับเส้นทางรัตติกาลและสนธยา”
เทพมรณาถูกบีบให้ไม่มีทางเลือก ในแง่หนึ่ง วันสิ้นโลกเหลืออีกเพียงพันกว่าปี แต่แม่น้ำอันธการนิรันดร์กลับถูก ‘เสาหลัก’ อย่างราชันสวรรค์ฟ้าดินผนึกไว้จนมิอาจใช้งานได้… ชั่วร้ายเกินไปแล้ว… รับไม่ได้! ไคลน์อดไม่ได้ที่จะตำหนิราชันสวรรค์ฟ้าดิน
ทันใดนั้นเอง ภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลเล่าต่อ
“เมื่อเวลาผ่านไป ผนึกของทวีปตะวันตกจะค่อยๆ อ่อนแอลง จนถึงระดับที่แก่นแท้แห่งต้นกำเนิดสามารถสร้างอิทธิพลกับโลกภายนอกอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ คอยบงการและดึงดูดเอกลักษณ์กับตะกอนพลังในขอบเขตของตัวเอง ชักนำให้มากัดเซาะผนึกที่ห่อหุ้มตน… สิ่งแรกที่รั่วซึมออกจากผนึกได้คือแม่น้ำอันธการนิรันดร์ มันแผ่ออกมายังโลกภายนอกผ่านพลังของเกรจารีในยุคสมัยที่สอง จนกระทั่งถึงยุคสมัยที่สี่ แก่นแท้แห่งต้นกำเนิดทยอยรั่วซึมขึ้นตามทวีปเหนือใต้และเกาะต่างๆ บนห้าห้วงสมุทร… นั่นคือปัจจัยที่ทำให้เกิดความผิดปรกติมากมายในยุคสมัยที่สี่”
ในยุคสมัยที่สี่ ยังมีแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดอื่นๆ พยายามแยกตัวออกจากผนึกและสร้างอิทธิพลทางอ้อมกับโลกภายนอก… เข้าใจแล้วว่าทำไมอาดัมถึงกล่าวว่า เรายังมีข้อมูลของประวัติศาสตร์ในยุคสมัยที่สี่น้อยเกินไป… ดูเหมือนว่า การที่ท่าเรือแบนชียังคงรักษาธรรมเนียมของเอลฟ์ไว้ ไม่ใช่แค่เพราะที่นั่นเคยเป็นถิ่นฐานของเอลฟ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นร่วมอยู่ด้วย… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะยิ้มและพูด
“พอจะเข้าใจแล้ว… นั่นคือเหตุผลที่คุณช่วยเหลือผมมาตลอด?”
……………………………