ภาพฉายในความฝันของเทพธิดารัตติกาลตอบด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าแค่เพราะต้องการสนับสนุนราชันเร้นลับคนใหม่ ฉันคงเลือกเดิมพันข้างอามุนด์มากกว่า เพราะอย่างน้อย เขาก็มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าคุณพอสมควร”
โดยไม่รอให้ไคลน์ถาม เธอกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงล่องลอยชวนฝัน
“อดีตกาลที่ถูกฝังกลบ ยุคสมัยที่มีพวกเรามีความทรงจำร่วมกัน และยังเป็นยุคที่มนุษยชาติถือกำเนิด บ่มเพาะ และเบ่งบาน ถึงแม้ว่าฉันจะมีอายุยืนยาว แต่ก็ไม่มีความทรงจำใดเทียบเคียงช่วงเวลาดังกล่าวได้… คุณมีตราประทับของสิ่งนั้น ฉันจึงอยากช่วยคุณมากกว่า”
คนบ้านเดียวกันสินะ… ไคลน์สรุปในใจเป็นสำนวน
ทันใดนั้น มันหวนนึกถึงถ้อยคำที่จักรพรรดิโรซายล์เขียนไว้ในไดอารี
บ้านเกิด
ท่ามกลางความเงียบอันเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ไว้พร้อมเมื่อไร คุณสามารถไปที่ยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิสได้ทุกเมื่อ… แต่แน่นอน คุณมีอิสระในการตัดสินใจ ไม่มีใครบังคับคุณได้ และจะไม่มีใครทำแบบนั้น… คุณสามารถเลือกที่จะหยุดความก้าวหน้าเอาไว้กลางคัน ไม่พัฒนาไปถึงระดับวันวาน เพื่อป้องกันมิให้ราชันเร้นลับตื่นขึ้นภายในร่าง… หากเลือกวิธีนี้ เมื่อวันสิ้นโลกมาถึง คุณสามารถนำพาผู้คนและสิ่งที่ต้องการปกป้อง ‘พเนจร’ ไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่นในกาแล็กซีแห่งอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของเทพภายนอกและสร้างอารยธรรมขึ้นมาใหม่”
ไคลน์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว หลังจากเงียบไปสักพัก ชายหนุ่มกล่าว
“ผมไม่แน่ใจว่าโรซายล์เคยพูดเอาไว้หรือไม่: การหลบซ่อนสามารถทำได้เพียงชั่วคราว ไม่มีใครซ่อนตัวได้ตลอดไป”
มันสนทนากับเทพธิดารัตติกาลเป็นภาษาคนยักษ์ เมื่อแปลงประโยคจึงฟังดูค่อนข้างประหลาด
การซ่อนตัวเป็นแค่กลยุทธ์ระยะสั้น ไม่มีทางประสบความสำเร็จในระยะยาว
หลังจากเว้นวรรค ไคลน์กล่าวต่อ
“จักรวาลอาจกว้างใหญ่และไร้ขอบเขตก็จริง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เทพภายนอกคุ้นเคยมันมากกว่าเรา บางตนช่ำชอง บางตนเป็นร่างอวตารในบางมุมของเอกภพโดยตรง การหลบหนีพวกเขาถือเป็นเรื่องยาก ยิ่งไปกว่านั้น ถึงจะหลบหนีสำเร็จ แต่ก็คงซ่อนตัวได้เพียงระยะสั้น และอารยธรรมใหม่จะถูกทำลายภายในหนึ่งพันปี เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว ในหมู่พวกเราจะไม่มีวันวานแม้แต่คนเดียว หมดโอกาสช่วยเหลือตัวเองโดยสิ้นเชิง”
นั่นก็เพราะว่า หากต้องการหลบหนีเทพภายนอกที่รุกรานโลก ทุกคนจำเป็นต้องสละแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดทั้งหมด ไม่อย่างนั้น ‘แก่นแท้ฯ’ จะดึงดูดสายตาเหล่าเทพภายนอกและนำมาซึ่งปัญหา อย่าว่าแต่พเนจรไปในอวกาศเลย อาจไม่รอดตั้งแต่การโจมตีแรกด้วยซ้ำ
เสียงจากภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลกล่าวแผ่วเบา
“การอพยพเอกลักษณ์และตะกอนพลังลำดับสูงของเส้นทางที่ไม่ได้ถูกฉีกออกจากเทพภายนอกโดยตรง อาจไม่ดึงดูดความสนใจจากเหล่าเทพภายนอกมากนัก พวกเขาคงไม่มัวเสียเวลาตามหา”
“คุณพูดเองว่า ‘อาจไม่’ ดึงดูดความสนใจ… แต่ในทางกลับกัน เทพภายนอกก็อาจยังต้องการเอกลักษณ์และตะกอนพลังลำดับสูงของเส้นทางใกล้เคียง เพื่อให้ตัวเองเข้าใกล้ความเป็น ‘เสาหลัก’ มากขึ้น” ไคลน์ตอบอย่างใจเย็น “เราไม่สามารถฝากชะตากรรมของมนุษย์ไว้กับอารมณ์ของพวกเขาได้ เทพภายนอกไม่ได้ใจดีขนาดนั้น”
ภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลพยักหน้า
“ในแง่นี้ คุณตื่นตัวมากกว่าโรซายล์ แต่นั่นเป็นเพราะเขารู้เรื่องเกี่ยวกับวันวานและเทพภายนอกช้าเกินไป”
เธอกล่าวต่อไป
“คุณยังมีทางเลือกอื่น: ใช้วิธีเดียวกับพาลีสเพื่อลดระดับตัวตน ยอมให้อามุนด์ขโมยปราสาทต้นกำเนิดไป สำหรับวิธีนี้ คุณจะยังมีชีวิตที่ยั่งยืนในฐานะอัครเทวทูตลำดับ 1 โดยไม่ต้องกังวลว่าราชันเร้นลับจะตื่นขึ้นภายในร่าง ไม่ต้องแบกรับชะตากรรมของใคร”
ในพระคัมภีร์ของโบสถ์รัตติกาล มีการแบ่งแยกระหว่างเทวทูตและอัครเทวทูตไว้ชัดเจน ไคลน์คาดเดามาตลอดว่าอัครเทวทูตหมายถึงลำดับ 1 และในที่สุดก็ได้รับการยืนยัน
แต่แน่นอน นี่เป็นเพียงบรรทัดฐานของศาสนจักรเดียว ไม่ใช่ได้รวมถึงโบสถ์อื่น
หลังจากฟังคำแนะนำจากเทพธิดารัตติกาล ไคลน์เงียบงันเป็นเวลานานก่อนจะถาม
“ไว้ใจอามุนด์ได้หรือ”
เทพธิดารัตติกาลกล่าวอย่างสุขุม
“ฉันเองก็ให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ได้”
ไคลน์ถามต่อ
“หากราชันเร้นลับตื่นขึ้นในร่างอามุนด์ เขาจะดึงตะกอนพลังลำดับสูงของเส้นทางนักทำนาย ผู้ฝึกหัด และนักจารกรรมกลับไปไหม?”
“ฉันไม่ทราบ” เทพธิดารัตติกาลตอบด้วยน้ำเสียงเดิม
ไคลน์เงียบไปอีกครั้ง ตามด้วยกล่าว
“ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ต้องการเป็นวันวาน แต่ผมก็ไม่อยากทรยศความเชื่อใจของเหล่าตัวตนที่เดิมพันข้างผม จนถึงวันนี้ พวกเขาให้คอยความช่วยเหลือไม่มากก็น้อยมาตลอด… เมื่อกลายเป็นราชันเร้นลับ อามุนด์จะช่วยเทพสุริยันบรรพกาลทวงคืนเอกลักษณ์และตะกอนพลังลำดับ 1 จากเทพวายุสลาตันและเทพปัญญาความรู้ ส่งผลพวกเขาต้องร่วงหล่น… นอกจากนั้น อามุนด์ยังเป็นเทพที่เอาแน่เอานอนไม่ได้”
ภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลพยักหน้ารับ
“คุณรักษาความเป็นคนได้ดี”
หลังจากตัดสินใจหนักแน่น ไคลน์หลุดพ้นจากภาวะหดหู่ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ต่อผมให้รักษาความเป็นคนได้ไม่ดี ปล่อยให้ความเป็นเทพมีอำนาจในร่างกาย ผมก็คงไม่เปลี่ยนการตัดสินใจอยู่ดี นั่นเพราะสัญชาตญาณความเป็นเทพของผมคือการผนวกรวม”
เทพธิดารัตติกาลยิ้มอ่อนโยน
“เตรียมตัวให้ดี รีบไปหาอันทีโกนัสโดยเร็ว”
ไคลน์พยักหน้ารับ แต่ทันใดนั้นก็ฉุกคิดบางสิ่ง จึงรีบถามออกไป
“พิธีกรรมของมิสเตอร์ประตู ช่วยให้อามุนด์ปรองดองกับเอกลักษณ์ของเส้นทางผู้ฝึกหัดด้วยหรือไม่?”
ภาพฉายเทพธิดารัตติกาลตอบอย่างไม่รีบร้อน
“หากเป็นตัวตนอื่น คำตอบคือไม่… แต่ถ้าเป็นอามุนด์ มีโอกาสครึ่งต่อครึ่ง… เขารักการผจญภัยและชื่นชอบความตื่นเต้น”
ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงจ้องมองภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลเลือนหายไปต่อหน้า และมองภาพความฝันแตกสลาย
ในการมองเห็นของชายหนุ่ม แท่นบูชาที่ยังไม่ได้เก็บกวาดปรากฏขึ้นอีกครั้ง
สำหรับชายหนุ่ม การมุ่งหน้าไปยังยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิสเพื่อเผชิญหน้ากับอันทีโกนัส ไม่ความจำเป็นต้องเตรียมตัวมากนัก ส่วนใหญ่เป็นการพึ่งพาพลังของปราสาทต้นกำเนิดเพื่อสร้างร่างโคลน และขโมยตะกอนพลัง ‘บริวารเร้นลับ’ ของซาราธซึ่งไคลน์ยังย่อยไม่หมดไปใส่ไว้ในร่างโคลนดังกล่าว ส่งผลให้ร่างต้นอยู่ในสภาพพร้อมปรองดองกับเอกลักษณ์
ขณะที่จิตใจไคลน์ยังอยู่ในสภาวะสมดุล ต่อให้ไม่มีตราประทับทางจิตของซาราธคอยคานอำนาจกับราชันสวรรค์ฟ้าดิน ความเป็นคนในตัวชายหนุ่มก็ยังแข็งแกร่งพอที่จะกำราบมิให้เจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินลืมตาตื่น
แต่ก่อนอื่น สัมผัสวิญญาณของไคลน์แจ้งว่า ตนควรเตรียมการบางอย่างล่วงหน้า
หลังจากมองไปรอบตัว ชายหนุ่มเก็บแท่นบูชา จากนั้นก็ดึงดอน·ดันเตสออกจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์
นั่งลงข้างโต๊ะ ไคลน์กางกระดาษ หยิบปากกาและเขียนจดหมายถึงมิสเตอร์อะซิก
เนื่องจากเพิ่งเขียนจดหมายฉบับล่าสุดไป เนื้อหาในคราวนี้จึงมีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นการเล่าถึงแม่น้ำอันธการนิรันดร์ในเมืองกัลเดรอนอย่างคร่าว เล่าถึงตราประทับความตายที่เดินเตร็ดเตร่อยู่สองฝั่งแม่น้ำสายย่อย เน้นไปที่การได้เห็นอะซิก·อายเกสหลายคน และข้อสันนิษฐานของตน
พับจดหมายเสร็จ ไคลน์หยิบนกหวีดทองแดงอะซิกออกมาจ่อปากเป่า
ผู้ส่งสารกระดูกขนาดเท่ามนุษย์ปรากฏตัวขึ้น คุกเข่าลงหนึ่งข้างและกางฝ่ามือ
ไคลน์ยื่นจดหมายให้อีกฝ่าย จากนั้นก็ดึงหนึ่งเหรียญทองออกจากปราสาทต้นกำเนิด
“ขอบใจที่คอยเป็นธุระให้เสมอมา… หากเจ้าไม่อยากรับมัน จงมอบเหรียญทองนี้ให้กับเจ้านาย ให้เขาตัดสินใจเอาเอง”
นี่คือหนึ่งในห้าเหรียญทองที่ปนเปื้อนออร่าปราสาทต้นกำเนิดและเกิดการกลายพันธุ์เล็กน้อย
ไคลน์ใช้หนึ่งเหรียญไปกับการจ่ายค่าจ้างให้มิสผู้ส่งสาร และเสียหนึ่งเหรียญในวงไพ่ของมาริค
ผู้ส่งสารกระดูกผงะไปนานเกือบห้าวินาที แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของไคลน์ จึงรับจดหมายและเหรียญทองไปพร้อมกัน
ร่างกายของมันแตกตัวในทันที ร่วงกราวลงบนพื้นเหมือนกับน้ำตกกระดูก
ทันทีหลังจากนั้น ไคลน์หยิบเหรียญทองออกมาเพิ่ม สอดไว้ในกระเป๋าเสื้อ
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มสั่งให้หนอนวิญญาณที่คอยเฝ้าบนปราสาทต้นกำเนิด ชำเลืองไปทางดาวสีแดงเข้ม
…
ไบลัมตะวันออก ภายในวิหารของเทพธิดารัตติกาล
ในฐานะครึ่งเทพกลุ่มแรกที่เข้าร่วมปฏิบัติการล้อมโจมตีโรงเรียนกุหลาบ เลียวนาร์ด·มิเชลใช้สมบัติปิดผนึกเพื่อเดินทางมายังทวีปใต้
อย่างไรก็ดี ช่วงนี้ยังไม่มีงานให้ต้องทำ เพราะดูเหมือนว่าครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบจะได้กลิ่นอันตราย จึงซ่อนตัวมิดชิดยิ่งกว่าเดิม
เลียวนาร์ดจำเป็นต้องรอคอยอย่างอดทน พร้อมออกปฏิบัติการในทุกเมื่อ
เนื่องจากไม่มีอะไรทำ เลียวนาร์ดจึงสวมถุงมือสีแดง เดินเข้าไปในโถงสวดมนต์ใหญ่ของวิหาร และสวดวิงวอนอย่างเคร่งครัดในทุกวัน
ท่ามกลางความมืดและความเงียบ คล้ายกับมันผล็อยหลับไป
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เลียวนาร์ดลืมตาขึ้น ลุกยืน เดินไปตามทางเดินในห้องโถง
ทันใดนั้นเอง มันได้พบกับร่างที่คุ้นเคย แต่งกายด้วยหมวกทรงกึ่งสูงและสูททางการ ไม่ใช่ใครนอกจากไคลน์·โมเร็ตติ เจ้าของผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล
เมื่อรูม่านตาเลียวนาร์ดเบิกกว้างพร้อมกับคิ้ว ไคลน์ซึ่งกำลังสวดวิงวอนได้ลดมือลงและยืนขึ้น เดินผ่านเลียวนาร์ดไปทางแท่นบูชา
ระหว่างนั้น ไม่มีใครกล่าวคำใด ราวกับอีกฝ่ายเป็นเพียงคนแปลกหน้า
จนกระทั่งมาถึงกล่องบริจาคหน้าแท่นบูชา ไคลน์หยิบเหรียญทองออกจากกระเป๋า โยนลงไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ถัดมา ชายหนุ่มหันหน้าและเดินออกจากวิหารผ่านประตูบานอื่น
เลียวนาร์ดซึ่งยืนอยู่บนทางเดินกึ่งกลางโถง เฝ้ามองฉากตรงหน้าพลางขมวดคิ้วด้วยความฉงน
ทันใดนั้นเอง ภายในใจของมัน เสียงค่อนข้างชราของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ดังกังวาน
“หาโอกาสนำเหรียญนั่นออกมา”
…
กรุงเบ็คลันด์ ภายในบ้านหลังหนึ่ง
วิล·อัสตินซึ่งกำลังถือช้อนเงิน จดจ่ออยู่กับการขูดไอศกรีมสีเขียวอ่อนตรงหน้า
ในเวลาเดียวกัน มือซ้ายของมันถูกเหยียดออกมาประคองอาหาร
บนเก้าอี้ด้านข้าง ร่างของดอน·ดันเตสถูกวาดขึ้น
“ดูเหมือนว่าข้าจะพลาดวันเกิดเจ้าสองครั้งแล้ว” ไคลน์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นของขวัญย้อนหลัง”
ขณะกล่าว ชายหนุ่มหยิบเหรียญทองออกมาวางบนโต๊ะ ผลักไปทางวิล·อัสติน
“มันคือเหรียญทองนำโชค”
วิลผงะไปสองวินาที ก่อนจะพึมพำ
“ให้ของขวัญเกิดเป็นเครื่องรางนำโชค… ของขวัญวันเกิดเนี่ยนะ… คิดได้แค่นี้หรือไง”
ขณะกล่าว เด็กเล็กยื่นแขนอันอวบอ้วนออกมารีบคว้าเหรียญทองไว้
ไคลน์ยิ้ม ลุกขึ้นยืนและหายตัวไป