บทที่ 1814 โหดเหี้ยม

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1814 โหดเหี้ยม!

คุณชายเฟิงเทียนรีบเดินมาหน้าม่านแสง มองไปตรงมุมในม่านแสง ตรงนั้นเปลวไฟโลหิตแผดเผาจนผิดปกติ

แต่เขายังไม่ทันมองอย่างชัดเจน จู่ๆ เงาของอูเจิ้นพุ่งออกมาจากเปลวเพลิง

ทั้งตัวโดนเผาจนเหลืออยู่ซีกเดียว อูเจิ้นฝืนลากกระดูกตัวเองจนมาถึงหน้าประตูเปลวไฟโลหิต

เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเข้าไปในประตู หลวี่เหวยโยนกระบี่ในมือตัวเองออกไปทันที

กระบี่เล่มเล็กปักลงบนตัวอูเจิ้น ทันใดนั้นอูเจิ้นล้มลงพื้น ไม่สามารถขยับได้ โดนเปลวไฟโลหิตแผดเผาต่อไป

อูเจิ้นพูดอย่างอ่อนแรงว่า “หลวี่เหวย นายปล่อยฉันไปเถอะ ตั้งแต่นี้ไปเราจะเป็นสหายที่ดีต่อกัน ไม่มีใครกล้ารังแกนายอีก นายสามารถเป็นมารได้ แค่ฉันมีชีวิตอยู่ นายจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่มีอะไรต้องกังวล”

หลวี่เหวยค่อยๆ เดินไปหาอูเจิ้น ทุกที่ที่ผ่านไปเปลวไฟโลหิตพยายามจะแผดเผาเขา แต่โดนแสงด้านนอกตัวหลวี่เหวยต้านทานไว้

แสงนี้ประหลาดมาก มันบางเหมือนปีกจักจั่น แต่กลับไม่โดนเปลวไฟโลหิตเผาทำลายเลย

นี่คือวิชาพิษของหลวี่เหวย สิ่งปกคลุมอยู่รอบตัวเขาไม่ใช่พลังปราณ แต่เป็นวิชาพิษของเขา

คนมากมายเข้าใจว่าวิชาพิษไม่มีอะไรนอกจากการฝึกฝนพิษ ยิ่งฝึกฝนแข็งแกร่งก็ยิ่งโดนคนอื่นควบคุมได้ง่าย

เพราะของแก้พิษมีมากมาย ผู้ฝึกชี่เพียงคนเดียวก็รู้วิธีแก้พิษเป็นร้อยแล้ว

แต่แท้จริงแล้วบนโลกนี้ไม่มีวิชาอะไรที่ไร้ประโยชน์ อยู่ที่เราจะฝึกได้เชี่ยวชาญหรือเปล่า

แม้วิชาพิษเป็นเพียงวิชาเล็กๆ แต่หลังจากฝึกสำเร็จจะมีร่างพิษ

พลังปราณกลายเป็นพลังพิษ มีพิษอยู่บนตัว พิษใดไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายได้

แม้เปลวไฟโลหิตแข็งแกร่ง แต่จะแผดเผาร่างพิษของหลวี่เหวยไม่ใช่เรื่องง่าย

เลือดพิษก็คือพิษ เปลวไฟพิษก็คือพิษ

เปลวไฟโลหิตที่ออกมาจากแรดเพลิงปีศาจทลายฟ้า ไม่ใช่เปลวไฟโลหิตบริสุทธิ์แน่นอน

มีออร่าปีศาจแปดเปื้อนอยู่ด้านใน อีกทั้งยังมีพิษด้วย

และเป็นเพราะเหตุนี้ พลังทำลายของเปลวไฟโลหิตจึงน่าทึ่งเหมือนพิษรุนแรงที่เข้าสู่ร่างกาย

แต่ถ้าเป็นพิษ หลวี่เหวยไม่กลัวสักเท่าไร

ถ้าพูดถึงร่างพิษของเขา น่าจะแข็งแกร่งกว่าร่างอมตะของนักบู๊ทั่วไปมาก สิ่งที่ทำร้ายเขาได้คงมีเพียงการโจมตีที่เหมือนพลังโจมตีของแรดเพลิงปีศาจทลายฟ้า

ไม่ว่าจะเป็นพลังฟ้าดินอื่นๆ หรือวิชาห้าธาตุ มีประสิทธิภาพกับเขาไม่มากเท่าไร

หลวี่เหวยค่อยๆ นั่งยองแล้วพูดกับอูเจิ้นด้วยรอยยิ้มว่า “คนอย่างนายจะเป็นมารได้ยังไง อย่าบอกนะว่านายดูไม่ออกว่าชีวิตนายอยู่ในกำมือฉันแล้ว”

อูเจิ้นหรี่ตาลง เสียงเย็นชาลงด้วย “หลวี่เหวย นายคงไม่ได้จะฆ่าฉันใช่ไหม นายกล้าเหรอ”

หลวี่เหวยมองเล็บตัวเองแล้วพูดว่า “ใครบอกว่าฉันจะฆ่านาย ฉันแค่ช่วยนายไม่ได้เท่านั้น นายต้องตายท่ามกลางเปลวไฟโลหิต!”

อูเจิ้นได้ยินแล้วอึ้งไป เขาตะโกนเสียงดังว่า “หลวี่เหวย นายกล้ามาก นายก็รู้ว่าหลังจากฉันตายจะมีคนต้องการชีวิตนายมากมายแค่ไหน!”

หลวี่เหวยหัวเราะเบาๆ จู่ๆ เขาสะบัดมือ

กระบี่เล่มเล็กถูกโยนออกจากมือเขา ทะลุผ่านหน้าประตูเปลวไฟโลหิต

ทันใดนั้นเกิดเสียงอึกทึกดังขึ้น

ร่างของเจียวเม่ยเนียงปรากฏออกมา

เสื้อผ้าโดนเผาไปเกือบครึ่ง แขนไหม้เกรียม เจียวเม่ยเนียงที่ยังมีเปลวเพลิงติดอยู่ตรงฝ่าเท้าทรุดลงพื้น มองมาที่หลวี่เหวยอย่างเคียดแค้น

หลวี่เหวยชี้เจียวเม่ยเนียงแล้วพูดว่า “เดี๋ยวไว้ค่อยคุยกับเธอ”

สายตาจับจ้องอูเจิ้น หลวี่เหวยฉีกยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยวสองอัน “ฆาตกรอูผู้โหดเหี้ยม ฉันรู้ว่าในสำนักนายมีฐานะสูงส่งมาก ชื่อเสียงก็โด่งดัง อีกทั้งยังมีเพื่อนเก่งๆ ด้วย”

อูเจิ้นกัดฟันพูดว่า “อย่าเรียกฉันว่าฆาตกรอู!”

จู่ๆ หลวี่เหวยง้างมือตบใบหน้าที่เหลืออยู่เพียงซีกเดียวของอูเจิ้น “ทางที่ดีนายอย่ามาพูดแทรกฉัน เมื่อกี้ฉันพูดถึงไหนแล้วนะ”

อูเจิ้นโกรธจนจะพ่นไฟออกจากตาแล้ว หลวี่เหวยปรบมือแล้วพูดว่า “อ้อ นายมีเพื่อนเยอะมาก ฆาตกรอู อย่าบอกนะว่านายไม่รู้ว่าผู้ฝึกชั่วร้ายที่ประสบความสำเร็จต้องละทิ้งทุกอย่างเพื่อพลัง นายจะมาทำเป็นสหายอะไรกัน ตลกชะมัด นายคิดจะแต่งงานแล้วกลับไปมีลูกและถอยออกจากความยุ่งเหยิงนี้เหรอ!”

จู่ๆ หลวี่เหวยเหยียบหน้าอูเจิ้นแล้วพูดด้วยสีหน้าโหดเหี้ยมว่า “คนโง่ คนปัญญาอ่อนอย่างนาย ความพ่ายแพ้ของนายวันนี้ถูกลิขิตไว้แล้ว คนอย่างนายเป็นได้แค่หินให้ฉันก้าวขึ้นไปเท่านั้น”

หลวี่เหวยพูดพลางใช้แรงที่ฝ่าเท้า เหยียบหัวอูเจิ้นแตกกระจายเสียงดังสนั่น

ไม่มีใครคาดคิดว่าพลังของหลวี่เหวยจะรุนแรงและแข็งแกร่งขนาดนี้

วิทยายุทธที่ระเบิดออกมาเมื่อครู่ ต้องอยู่แดนปราณฟ้าขั้นปลายแน่ๆ แดนปราณฟ้าชั้นสุดยอดก็มีโอกาสเป็นไปได้

อูเจิ้นโดนเปลวไฟโลหิตกลืนกิน หลวี่เหวยไม่มองอูเจิ้นสักนิด เขาเดินมาข้างหน้าเจียวเม่ยเนียงพร้อมใบหน้าที่มีรอยยิ้มชั่วร้ายมาก

มองใบหน้าที่หวาดกลัวและตกตะลึงของเจียวเม่ยเนียง หลวี่เหวยพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันเป็นคนใจกว้างกับผู้หญิง มาจูบรองเท้าฉันสิ มอบความจงรักภักดีของเธอให้ฉัน”

เจียวเม่ยเนียงกัดฟันมองหลวี่เหวยแล้วพูดว่า “ฉันจะเชื่อนายได้ยังไง”

หลวี่เหวยหัวเราะร่าแล้วพูดว่า ตอนนี้ฉันอารมณ์ดี แต่อีกเดี๋ยวก็ไม่แน่นะ”

สีหน้าของเจียวเม่ยเนียงเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก จากนั้นพยายามขยับเข้าไปหาหลวี่เหวยทีละนิด

เธอหมอบลงบนพื้นแล้วค่อยๆ จูบรองเท้าที่มีเลือดของหลวี่เหวย จากนั้นพูดเสียงเบาว่า “ฉันมอบความจงรักภักดีของฉันให้นาย เจ้านายของฉัน!”

หลวี่เหวยก้มมองเจียวเม่ยเนียงแล้วพูดว่า “ดีมาก แบบนี้ฉันจะได้ให้เธอตายง่ายๆ หน่อย!”

เจียวเม่ยเนียงตกใจมาก จู่ๆ หลวี่เหวยเอากระบี่เล่มเล็กแทงเข้าไปตรงหว่างคิ้วของเจียวเม่ยเนียง ตอนดึงกระบี่ออกมา เจียวเม่ยเนียงตายคาที่แล้ว แม้แต่วิญญาณก็โดนทำลายจนหมด

ค่อยๆ เช็ดกระบี่ในมือตัวเอง หลวี่เหวยพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สำหรับศัตรู ต้องฆ่าไม่มีละเว้นอยู่แล้ว”

หลวี่เหวยหัวเราะเหมือนคนบ้า

ด้านหน้าม่านแสง ผู้อาวุโสสิบคนกับคุณชายเฟิงเทียนยิ้มให้หลวี่เหวย

ผู้ฝึกชั่วร้ายไม่กลัวคนบ้า ไม่บ้าก็ไม่ประสบความสำเร็จ คนที่เป็นผู้ฝึกชั่วร้ายที่แข็งแกร่งได้ มีสักกี่คนที่ไม่บ้า

คุณชายเฟิงเทียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ทำได้ไม่เลว ฆ่าอย่างเด็ดขาด ความร้ายกาจโหดเหี้ยมมาก เป็นคนที่มีความสามารถ”

เมื่อพูดจบ คุณชายเฟิงเทียนมองไปอีกด้านหนึ่ง ตรงนั้นเปลวไฟประหลาดยังคงแผดเผาอยู่

หลวี่เหวยเก็บกระบี่ในฝ่ามือ จากนั้นหันหลังเดินออกไป

เขาค่อยๆ ผลักประตูอากาศธาตุที่รวมตัวจากเปลวไฟโลหิต

“ทุกอย่างเรียบร้อย ดูเหมือนฉันจะได้เป็นมารแล้ว!”

หลวี่เหวยพึมพำแล้วหัวเราะเบาๆ

แต่ขณะนั้นหลวี่เหวยรู้สึกถึงสายลมรุนแรงโจมตีเข้ามา

เขายังไม่ทันตั้งตัว ก็โดนคนหิ้วขึ้นมา

ตูม!

หลวี่เหวยโดนกระแทกลงพื้นอย่างแรง พลังแข็งแกร่งพุ่งเข้ามาในตัวเขา

ตอนนี้หลวี่เหวยเพิ่งเห็นว่าคนที่โจมตีเขาคือใคร ใบหน้าอันคุ้นเคย ถ้าไม่ใช่ลู่ฝานจะเป็นใครได้อีก

“เงามืด!”

หลวี่เหวยตะโกนเสียงดัง

ลู่ฝานใช้กระบี่กำราบเขาลงบนพื้นอย่างไม่ลังเล

ปัดเปลวไฟโลหิตบนตัวออกเบาๆ ลู่ฝานพูดอย่างเฉยเมยว่า “เป็นมารงั้นเหรอ นายรีบดีใจเกินไปหน่อยหรือเปล่า!”