ราชันเร้นลับ 1373 : เผชิญหน้า

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ร่างโคลนที่ไคลน์สร้างขึ้นใหม่ เป็นการจำลองจากสภาพในปัจจุบัน ไม่ใช่ดอน·ดันเตส เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ หรือเมอร์ลิน·เฮอร์มิส เพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคทางจิตใจ

หลังจากหุ่นเชิดของตนเคยถูกอาดัมทำให้กลายพันธุ์ ชายหนุ่มระมัดระวังในแง่มุมดังกล่าวมากขึ้น

จ้องมองร่างโคลนซึ่งมีใบหน้าเหม่อลอยสักพัก ไคลน์ส่งผ่านความคิดบางอย่าง

ทันใดนั้น ร่างโคลนยื่นมือขวาออก ระดมพลังปราสาทต้นกำเนิดพร้อมกับใช้มือจับร่างต้น

หลังจากล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ในที่สุดแสงสลัวก็ถูกดึงออกจากร่างต้น

สำเร็จสักที… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ระงับความคิดที่จะทำเช่นนี้ในการต่อสู้จริง

ทั้งที่ร่างต้นไม่มีการต่อต้านแม้แต่น้อย ปล่อยวางทั้งกายและใจ แต่ร่างโคลนซึ่งอาศัยระดับตัวตนและพลังของปราสาทต้นกำเนิด กลับต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะทำสำเร็จ ผ่านการล้มเหลวหลายต่อหลายหน จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในการต่อสู้จริงมันจะสำเร็จได้ยากเย็นเพียงใด

เมื่อตะกอนพลังส่วนเกินถูกขับออกจากร่าง ไคลน์รู้สึกผ่อนคลายในทันที คล้ายกับในที่สุดก็ได้วางของหนักลงหลังจากแบกไว้เป็นเวลานาน

แต่แน่นอน สภาพจิตใจชายหนุ่มเกิดความผันผวนในระดับหนึ่ง เนื่องจากสูญเสียตราประทับทางจิตของซาราธ เจตจำนงในการคืนชีพอย่างแรงกล้าของราชันสวรรค์ฟ้าดินจึงเริ่มรุกล้ำจิตใจ

สิ่งนี้ไม่เกินความคาดหมาย ไคลน์จึงมิได้หวั่นไหว อาศัยการตระหนักรู้ตัวเองซึ่งมีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง รวมถึงเจตจำนงอันแน่วแน่และหลักยึดเหนี่ยวที่แข็งแกร่ง ชายหนุ่มค่อยๆ กำราบเจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินและสร้างสมดุลใหม่

ในเวลาเดียวกัน เมื่อตะกอนพลังบริวารเร้นลับที่ไคลน์ยังย่อยไม่เสร็จ โอนถ่ายเข้าไปในร่างกายของร่างโคลน ใบหน้าซึ่งเคยว่างเปล่าเกิดการบิดเบี้ยวกะทันหัน ดวงตากลายเป็นสีดำหมองคล้ำ เครายาวสีขาวงอกปกคลุมริมฝีปาก

ปัจจุบัน ร่างโคลนมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับซาราธมาก

ทว่า มันมิอาจต้านทานความบ้าคลั่งอันเกิดจากตะกอนพลังบริวารเร้นลับ ร่างกายจึงเกิดแนวโน้มในการแยกตัว หนอนสีใสดีดดิ้นชอนไชออกมาทีละหนึ่ง หนวดรยางค์ผิวเรียบทยอยงอกยาว

คลุ้มคลั่งคาที่

ไคลน์ไม่นิ่งเฉย เพียงขยับนิ้ว ร่างโคลนดังกล่าวก็กลายเป็นหุ่นเชิดของตน

กระบวนการคลุ้มคลั่งจึงหยุดลง

ณ จุดนี้ เรียกได้ว่าการเตรียมตัวของไคลน์เป็นอันเสร็จสิ้น ร่างต้นอยู่ในสถานะย่อยโอสถเสร็จสมบูรณ์ พร้อมแล้วที่จะปรองดองกับเอกลักษณ์ของเดอะฟูล ขณะเดียวกันก็ยังมีหุ่นกระบอกลำดับ 1 บริวารเร้นลับไว้ใช้งาน

ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้ ทบทวนแผนการขั้นถัดไปอีกครั้งอย่างใจเย็น ตรวจสอบว่าตนมองข้ามสิ่งใดไปหรือไม่

สำหรับศึกระหว่างทวยเทพ เราคงทำอะไรไม่ได้มากนัก แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ… ว่าแต่ เราประมาทขั้นตอนแรกเกินไปไหม? เป็นเพราะมีเทพธิดา ผู้ถือครองน้ำจากแม่น้ำอันธการนิรันดร์ คอยช่วยเหลือ? จึงไม่เกรงกลัวการต่อสู้กับอันทีโกนัสเลยสักนิด? หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์พบว่าตนยังขาดความรอบคอบ มีหลายสิ่งที่เลินเล่อและโอหังเกินไป

ครุ่นคิดอยู่หลายวินาที ชายหนุ่มสร้างร่างโคลนที่มีใบหน้าเหม่อลอยเพิ่มเติม

จัดการเสร็จ ไคลน์ลุกขึ้นยืน นำยุบพองหิวโหยออกจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์และสวมในมือซ้าย

นี่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับศึกย่อยซึ่งอาจเกิดขึ้น ในสถานการณ์ดังกล่าว ‘บลิงค์’ ย่อมรวดเร็วและสะดวกกว่า ‘ปลูกถ่าย’

จัดปกเสื้อเสร็จ ชายหนุ่มมองไปรอบตัวอย่างไม่รีบร้อน หยุดสายตาลงที่ประตูแสงประหลาดซึ่งฉาบด้วยสีน้ำเงินเข้ม จากนั้นก็มองต่อไปยังมนุษย์ที่ถูกแขวนอยู่ภายใน ‘รังไหม’

ตรวจสอบทีละคน สายตาไคลน์หยุดลงที่ ‘รังไหม’ โปร่งใสสามอันซึ่งกำลังว่างเปล่า

วินาทีถัดมา ร่างไคลน์เลือนหายไปและโผล่ขึ้นอีกครั้งในสายหมอกประวัติศาสตร์ มันย่างกรายเข้าสู่ช่วงเวลาก่อนยุคสมัยที่หนึ่ง เดินเข้าไปในเมืองเก่าซึ่งมีโครงสร้างหลายชั้น

มันยืนอยู่บนซากอาคารซึ่งทรุดโทรมชนิดที่พร้อมจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ สายตาก้มมองซากอาคารบ้านเรือนด้านล่าง ซากรถยนต์ที่ซ้อนทับ รวมถึงซากระบบขนส่งสาธารณะซึ่งถูกทับจนแบน

ท่ามกลางความเงียบ ดวงตาไคลน์กวาดไปทั่วอาคารบ้านเรือนที่เหลือ คล้ายกับพวกมันเดินทางข้ามกำแพงแห่งกาลเวลา หลอดไฟภายในบ้านทยอยสว่างขึ้นทีละหนึ่งดวง

แสงของหลอดไฟแผ่ออกไปทุกทิศอย่างอ่อนโยน สะท้อนกับผิวกระจก มอบแสงสว่างให้แก่อาคาร ถนนหนทาง และซากปรักหักพังเมืองเก่า

หลังจากจดจ้องอยู่สักพัก ไคลน์ถอนสายตากลับ ย่างกรายไปทีละก้าวและกลับสู่โลกแห่งความจริง

ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มเทเลพอร์ตไปยังยอดเขาของเทือกเขาโฮนาซิสทันที และได้ ‘เห็น’ วังโบราณที่ปกคลุมด้วยสายหมอก สภาพค่อนข้างทรุดโทรมและมีวัชพืชปกคลุมหนาทึบ

หุ่นเชิดและร่างโคลนปรากฏตัวด้านหน้าไคลน์ประหนึ่งบอดี้การ์ดสองคน

หันหน้าเข้าหาวังโบราณ ไคลน์กดหมวกทรงสูง ยกมือขวาขึ้นและดีดนิ้ว

บรรยากาศโดยรอบยอดเขาบนเทือกเขาโฮนาซิสมืดลงทันที ดวงตาพร่างพราวปรากฏขึ้นทีละดวง

ไคลน์ทำการ ‘ปลูกถ่าย’ ที่นี่เข้ากับโลกดารา

โดยไม่มัวรีรอ ชายหนุ่มนำหุ่นกระบอกและร่างโคลน เดินเข้าไปในทางเข้าหลักของวังโบราณ

นำหน้าโดยหุ่นเชิดที่รูปลักษณ์เหมือนกับไคลน์ มันโน้มตัวไปข้างหน้า เหยียดแขนออก บรรจงออกแรงผลักประตูหินหนัก

ท่ามกลางเสียงเสียดสี ประตูเปิดแง้มพร้อมกับเผยให้เห็นฉากด้านใน

แตกต่างจากครั้งล่าสุดที่ไคลน์นำ ‘หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์’ มาทิ้งไว้ ด้านในมืดมาก จนมองไม่เห็นศพจำนวนมหาศาลที่ถูกแขนไว้บนเพดานห้องโถง และไม่เห็นกลุ่มก้อนหนอนโปร่งใสที่กระจุกตัวอยู่บนเก้าอี้ยักษ์ซึ่งทำจากหิน

โดยไม่ต้องเดาสุ่ม ไคลน์อาศัยสัมผัสวิญญาณของนักทำนายระดับราชาเทวทูต ยืนยันจนมั่นใจว่าสถานการณ์ปัจจุบันเกิดจากฝีมือของ ‘เทพธิดารัตติกาล’ ผู้ใช้น้ำจากแม่น้ำอันธการนิรันดร์เพื่อทำให้บรรพชนอันทีโกนัสอยู่ในสภาพหลับใหล

หลังจากหุ่นเชิดและร่างโคลนเดินเข้าไป ร่างต้นบรรจงเดินผ่านประตูเข้าไปในวัง

ความมืดเริ่มขยับเขยื้อน จากนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลง

อาคารมากมายปรากฏขึ้นรอบตัวชายหนุ่ม ผู้คนจำนวนมากเดินเตร็ดเตร่ไปตามถนน เสียงบทสนทนาดังระงม เปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้คึกคักและมีชีวิตชีวาในทันที

ผู้คนต่างเพิกเฉยไคลน์ หุ่นเชิด และร่างโคลนโดยสมบูรณ์ เอาแต่มุ่งหน้าไปยังปลายทางของตน บางคนพูดคุยในหัวข้อต่างๆ

ผู้คนและอาคารโดยรอบมีสีหม่น เกือบจะกลายเป็นขาวดำ ราวกับภาพถ่ายเก่าแก่จากประวัติศาสตร์เกิดมีชีวิตขึ้นมากะทันหัน

ทำเอาไคลน์นึกถึงภาพฉายโฮโลแกรมขาวดำ ฉากในช่องว่างประวัติศาสตร์ และภาพในความฝันที่แท้จริง

มันเดินไปรอบเมือง ตามแนวถนนที่ค่อยๆ ลาดขึ้น

ยิ่งสูงเพียงใด อาคารบ้านเรือนก็ยิ่งอลังการมากเท่านั้น หลังคาโดมขนาดมหึมาถูกค้ำจุนโดนต้นเสายักษ์

ชาวเมืองที่อาศัยอยู่ใน ‘ภาพถ่ายขาวดำโบราณ’ ส่วนใหญ่จะตัวสูง ดูคล้ายกับกำลังเรียนหนังสือ ทำงาน หรือไม่ก็พักผ่อนหย่อนใจ

ฉากรอบตัวเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง มีทั้งฉากทารกแรกคลอด ฉากเด็กเล็กกำลังเจริญเติบโต ฉากวัยรุ่นไร้เดียงสา ฉากผู้ใหญ่กำลังเผชิญปัญหาชีวิต ฉากวัยกลางคนกำลังเผชิญความเครียด และฉากวัยชรากำลังเผชิญความเศร้า

แต่แน่นอน ฉากทั้งหมดถูกฉายสลับไปมา มีเพียงบางช่วงที่ฉากหลังดูคล้ายคลึงกัน

เมื่อไคลน์สำรวจลึกเข้าไป มันเริ่มพบชาวเมืองบางคนเสียชีวิต

ญาติของผู้ตายมิได้เศร้าโศกมากนัก เพียงนำคนตายกลับบ้าน วางลงบนเตียง นำคอพาดหมอน ราวกับศพดังกล่าวยังมีชีวิต

เมื่อไคลน์เตรียมออกจากเมือง ศพลุกขึ้นจากเตียงกะทันหัน ทิ้งญาติพี่น้องและเดินออกจากบ้าน ตรงไปตามถนนจนกระทั่งถึงจุดสูงสุด

ที่นั่นก็มีเมืองเช่นกัน แต่เป็นเมืองคนตาย ปลายทางสุดท้ายของทุกชีวิต อาณาจักรแห่งการหลับใหลชั่วนิรันดร์

เมืองดังกล่าวอยู่ใกล้กับย่านพลุกพล่านของคนทั่วไปมาก เมืองปรกติจะกระจายตัวอยู่ตามไหล่เขาถึงสันเขา แต่เมืองคนตายจะอยู่บนยอด

คนอื่นอาจประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น แต่ไคลน์เข้าใจได้ทันทีว่า ที่นี่คือที่ไหน และสถานการณ์รอบตัวหมายถึงสิ่งใด

นั่นเพราะชายหนุ่มเห็นด้ายวิญญาณจากศพคนตาย

ในวินาทีที่พวกมันกำลังจะตาย ด้ายวิญญาณได้ลอยขึ้นไปยังยอดเขา จากนั้นก็ถูกควบคุมโดยตัวตนลึกลับ

กล่าวคือ พวกมันกลายเป็นหุ่นเชิด

ดังนั้น หลังจากคนตายเสียชีวิตไปได้สักพัก มันจะลุกขึ้นเอง ทิ้งครอบครัวและเดินไปยังยอดเขา

สถานการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับรายละเอียดในหนังสือ ‘การค้นคว้าร่องรอยอารยธรรมบนยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิส’ ที่ไคลน์เคยอ่าน

แคว้นรัตติกาลอยู่ในการปกครองของ ‘มารดาแห่งผืนนภา’ จากเส้นทางรัตติกาล แต่บนยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิส กลับมีเมืองหุ่นเชิดของบรรพชนตระกูลอันทีโกนัส

ดังนั้น ชาวเมืองแคว้นรัตติกาลจึงเคารพยำเกรง ‘กลางคืน’ และนับถือ ‘มารดาแห่งผืนนภา’ ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าความตายไม่ใช่จุดจบของชีวิต ญาติพี่น้องที่ตายไปจะคอยคุ้มครองพวกตนในยามค่ำคืน

ความตายย่อมไม่ใช่จุดจบอยู่แล้ว ในเมื่อมี ‘เมืองคนตาย’ ตั้งอยู่ใกล้กันมากขนาดนี้ – บนยอดเขาหลัก แค่เดินเท้าสักพักก็ไปถึง โดยผู้ตายจะมีชีวิตอยู่ต่อไปในสภาพหุ่นเชิด

ในสายตาคนทั่วไป สถานะดังกล่าวเทียบเท่าการมีชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย

แคว้นของคนเป็นและเมืองของคนตายอยู่ห่างกันแค่ปลายถนนสองฝั่ง ชาวเมืองอาศัยร่วมกับคนตายประหนึ่งเพื่อนบ้าน

สิ่งนี้ยังอธิบายได้ว่า เหตุใดแคว้นรัตติกาลถึงไม่มีสุสาน นั่นเพราะคนตายไม่จำเป็นต้องถูกฝัง พวกมันกลายเป็นหุ่นเชิดที่มุ่งหน้าไปยังยอดเขา

ที่นี่คือแคว้นรัตติกาลในอดีตไม่ผิดแน่… ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา ไต่ขึ้นไปจนถึงยอดเขาท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิด

ภาพแรกที่เห็นคือเมืองซึ่งดูปรกติ เพียงแต่ชาวเมืองทุกคนเป็นหุ่นเชิด

หลังจากเดินผ่านหุ่นเชิดที่มีรูปลักษณ์ต่างกัน แต่งกายต่างกัน ไคลน์เข้าไปในตำหนักอันงดงามซึ่งคล้ายกับสร้างเพื่อสรรเสริญทวยเทพ

ในส่วนลึกของตำหนัก บนเก้าอี้หินยักษ์ ร่างหนึ่งกำลังวางศอกลงบนที่พักแขน ศีรษะเอนพิงพนักเก้าอี้

ใบหน้าค่อนข้างอ่อนเยาว์ แต่ผมยาวเป็นสีขาวกว่าครึ่ง ครึ่งหนึ่งถูกปิด เผยให้เห็นเพียงครึ่งเดียว รูปลักษณ์เป็นเพศชาย ดวงตาซึ่งมีสีเข้มกว่าซาราธ เปี่ยมเต็มไปด้วยผันผวนอันยากอธิบาย หน้าตาค่อนไปทางหล่อเหลา แต่บนแก้มมีขนสั้นสีดำหนาขึ้นเป็นกระจุกคล้ายหมาป่า มอบความรู้สึกขัดแย้งระหว่างแก่และหนุ่ม มีสติและเสียสติ

ไม่ใช่ใครนอกจากบรรพชนตระกูลอันทีโกนัส ในคราวนี้ มันไม่ได้ปรากฏตัวในรูปลักษณ์ของสัตว์ในตำนานเหมือนทุกที เพียงนั่งอยู่บนเก้าอี้หินยักษ์ด้วยรูปลักษณ์ดั้งเดิม

ปัจจุบัน ดวงตาของมันกำลังปิดสนิทราวกับหลับใหลชั่วนิรันดร์ ภายในห้องโถงมีศพที่แต่งกายด้วยชุดหรูหราและธรรมดาถูกแขวนอยู่

พวกมันเป็นราวกับผืนป่ากลับหัว ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แกว่งไกวไปตามสายลม

หลังจากถูกส่งเข้าสู่ภาวะหลับใหล บรรพชนตระกูลอันทีโกนัสสูญเสียสถานะคลุ้มคลั่งและกลับสู่สภาพเดิม? ไคลน์ยืนอยู่กึ่งกลางห้องโถง จ้องมองเป้าหมายของตนพลางถอนหายใจ

แคว้นรัตติกาลและเมืองคนตายที่ชายหนุ่มได้เห็น ทั้งหมดคือความฝันของอันทีโกนัส

ความฝันอันยาวนานนับพันปี

………………………